วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Back To School

Back To School

ตอนพิเศษ มงซานค่ะ ต่ออารมณ์จากปลายตอนที่ 24 นะค่ะ ขั้นเวลาที่สองสาวจากกันด้วยค่ะ เรามาอ่านตำนานรักดอกเหมยของสองหนุ่มกันดีกว่า ^_^ (แล้วคุณจะเผลอรักมงโด โดยไม่รู้ตัว 555+)

ปวดตากันสักหน่อยนะค่ะ

มงโด สีฟ้า

อีซาน สีเขียน

////////////////////////////////////////////////////

ฉันไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไม?
ทำไม?
นายจะต้องโมโหทุกครั้งที่ฉันเข้าใกล้
ทำไม?
นายจะต้องโกรธฉันทุกครั้งที่ฉันเทคแคร์
ทำไม?
นายถึงเดินหนีฉัน...เวลาที่ฉันบอกความในใจ
ทำไม?......

ฉันยังจำได้ดี ครั้งแรกที่เราพบกัน ตอนนั้นตัวนายยังกับเทวทูตน้อยๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นทำฉันแทบอึ้ง เสียงใสๆที่แว่วกังวานของนายทำฉันแทบลืมหายใจ และรอยยิ้มสดใสนั้นทำให้ฉัน...ตกหลุมรักนายทันที

ระหว่างทางกลับบ้านหลังโรงเรียนอนุบาลเลิก เด็กชายมงโดร้องห้ามขึ้นเมื่อเห็นเด็กผู้ชายสามคนกำลังรุมรังแกเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
“เฮ้ยหยุดนะ” มงโดน้อยรีบวิ่งเข้าไป
“อย่ามายุ่ง ไอ้หัวชันตุ” เจ้าอ้วนหัวหน้ากลุ่มสวนขึ้น และหัวเราะอย่างพอใจกับฉายานั้น ด้วยเพราะมงโดน้อยถูกแม่ของตนอาสาตัดผมให้ทั้งที่ไม่เคยตัดมาก่อนจนทำให้สภาพออกมาหัวเกรียนและมีแผลเต็มไปหมด หากแต่เจ้าอ้วนไม่รู้เลยว่าได้เอ่ยคำต้องห้ามออกไปซะแล้ว มงโดน้อยเลือดขึ้นหน้าทันทีที่ได้ยิน เขาเดินตรงรี่เข้าไปต่อยเจ้าอ้วนจนล้มกลิ้ง เด็กชายอีกสองคนเห็นดังนั้นก็เข้ามาช่วยลูกพี่ตน การตะลุมบอลจึงเกิดขึ้นพักใหญ่ ก่อนจะหยุดลงด้วยอาการตาปูดหัวโนไปตามๆกัน หากแต่ฝ่ายที่วิ่งหนีร้องไห้ไปคือสามเกลอจอมแสบ เหลือเพียงผู้ชนะหนึ่งเดียวที่ยืนเต๊ะท่าไร้เทียมทาน ก่อนที่เลือดกำเดาจะไหลออกมาให้เสียมาด เขาจึงรีบเช็ดออกทันทีแต่เพราะความรีบร้อนจึงไปโดนเข้ากับปากที่ทั้งเจ่อและเป็นแผลจากการต่อสู่เมื่อครู่ หนุ่มน้อยมาดแมนจึงเผลอครางอย่างเจ็บปวดออกมาให้เสียลุค
“ขอบใจมากนะ” เสียงใสจากเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่เขาช่วยไว้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใส ตากลมโตที่ประกายชื่นชมต่อการกระทำของเขา มงโดน้อยจึงรีบเก็บอาการเจ็บปวดและกลับมาเต๊ะท่าแมนเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรจ๊ะน้องสาว เรื่องเล็กน้อย” มงโดน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมเสยผมที่ไม่มีของตนอย่างมาดแมน ก่อนที่ฝ่ามือน้อยๆจะรอยมากระทบหน้าเขาอย่างแรง จนเซถลาล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมๆกับฟันน้ำนมที่หลุดออกเพราะแรงฝ่ามือนั้น
“ไอ้บ้า ฉันเป็นผู้ชายนะ” เสียงใสตะหวาดขึ้นก่อนจะเดินจ้ำๆหนีไป เหลือเพียงคนเอ๋อที่ตอนนี้ก็ยังนอนอยู่บนพื้นท่าเดิม

ฮึๆๆๆ นายมือหนักมาตั้งแต่เด็กจริงๆ ทั้งที่ฉันไม่เคยถูกใครล้มได้ แต่นายกลับตบฉันซะเซล้มในฉาดเดียว ทั้งที่ฉันน่าจะโกรธแต่กลับงงซะมากกว่า ใครจะไปคิดละว่าสาวน้อยน่ารักจะกลายเป็นหนุ่มน้อยไปซะงั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดฉันได้หรอกนะ เพราะตั้งแต่นั้นฉันก็ไม่คิดจะถอนสายตาจากนาย

นายไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไม
เพราะ
ฉันรู้สึกอายและเขินมากเวลาที่นายอยู่ใกล้
เพราะ
ฉันไม่อยากให้นายทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิง
เพราะ
ฉันกลัว...กลัวใจตัวเองน่ะสิ
เพราะ......

ฉันไม่เคยลืมครั้งแรกที่พบนาย เด็กน้อยหัวเกรียนที่เป็นแผลเต็มหัวนั่น ท่าทางเอาเรื่องและโผงผางจนฉันเองยังตกใจ นายทำให้ฉันทึ่งมากทั้งความกล้าหาญและความบ้าบิ่นของนาย ฉันจำได้ดี

ณ ห้องอนุบาลดอกทานตะวัน คุณครูกำลังแจกนมกล่องให้เด็กทุกคนดื่ม อีซานน้อยนั่งหน้าเจื่อนกับนมตรงหน้า มงโดน้อยที่สังเกตเห็นอาการจึงเอ่ยถามขึ้น
“ซาน เป็นอะไร” มงโดน้อยถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ อีซานน้อยไม่ตอบได้แต่จ้องนมกล่อง
“ไม่อยากกินหรอ” มงโดถามขึ้น จึงได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเจื่อนๆ
“งั้นฉันกินเอง” มงโดน้อยพูดขึ้นพร้อมหยิบกล่องนมไปดูดจ๊วบๆอย่างรวดเร็ว อีซานได้แต่มองตาค้าง ก่อนที่มงโดน้อยจะดูดกล่องของตัวเองตามไปอีก และเรอออกมาหลังจากดื่มเสร็จ จากนั้นจึงหันหน้ามาส่งยิ้มแฉ่งให้อีซานน้อยได้บริหารขากรรไกรด้วยการหัวเราะขบขันกับท่าทางของเขา
เมื่อผ่านไปได้สักชั่วโมง นมกล่องก็ทำพิษ มงโดไม่เป็นอันเรียนเขาวิ่งเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น จนต้องนอนซม
“มงโด เพราะนมกล่องของเราหรอ” อีซานน้อยร้องไห้กระซิกเมื่อเห็นเพื่อนต้องนอนซมเพราะตัวเอง
“บ้าสิ เพราะฉันอยากกินเองต่างหาก” มงโดตอบกลับอย่างอ่อนแรง ก่อนจะวิ่งไปห้องน้ำอีกครั้ง

ทั้งที่นายแพ้นมวัวแท้ๆ แต่กลับไม่เคยบอกฉันและดื่มนมกล่องของฉันทุกวันจนจบอนุบาล นายฝืนดื่มมันจนหายจากอาการแพ้นมวัว นายนี่บ้าจริงๆ บ้าจนชนะได้แม้กระทั่งโรคของตัวเอง และชนะใจของฉันด้วย นายมันบ้าที่สุด

___________________________________________________

เมื่อขึ้นชั้นประถมฉันช่างโชคดีจริงๆที่ได้อยู่ห้องเดียวกับนายอีก มาถึงช่วงนี้นายโตขึ้นแล้ว แต่กลับดูไม่ต่างจากเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันเลย ไม่สินายน่ารักกว่าตั้งเยอะ ผิวขาวๆตัวเล็กๆ ตาโตแก้มแดงแถมยังมีผมที่นุ่มสลวยต่างจากฉัน นายคงไม่รู้หรอกว่าฉันแอบมองนายตลอดเวลาเรียน นายมักจะมองตรงไปหน้ากระดานเสมอและตั้งอกตั้งใจเรียนทุกวิชา ต่างกับฉันที่ชอบนั่งหลับประจำ แต่เวลาชั่วโมงพละที่ฉันชอบนายกลับนั่งซึม เพราะเจ้าพวกบ้าในห้องที่ชอบแกล้งนายทำท่ารังเกียจไม่ยอมให้นายเล่นด้วย ฉันเลยต้องสั่งสอนมันสักหน่อย แต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายต้องโกรธฉันด้วยทั้งที่ฉันทำเพื่อนายแท้ๆ

ณ สนามฟุตบอลโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง อาจารย์ให้นักเรียนชายแบ่งออกเป็นสองทีมเพื่อแข่งกัน หากใครมีแววดีอาจจะได้ลงเล่นในทีมของโรงเรียน แต่ทั้งสองทีมต่างเกี่ยงกันที่จะรับอีซานเป็นลูกทีม
“อย่ามางี่เง่า ถ้าอีซานไม่ได้เล่นฉันก็ไม่เข้า” มงโดโวยขึ้นเมื่อไม่มีใครรับอีซานเข้าทีม
“เฮ้ย แต่อีซานมันเล่นไม่เป็นนี่ เอามามันก็ถ่วงเปล่าๆ” เพื่อนคนหนึ่งในทีมมงโดเอ่ยขึ้น เขาจึงหันไปมองตาขวาง
“งั้นทีมแกก็เอาไอ้ตุ๊ดนั่นไปละกัน มาเริ่มกันเลยดีกว่า” นักเรียนชายที่อยู่อีกทีมเอ่ยขึ้น มงโดถึงกับเดือดดานเดินเข้าไปต่อยเขาทันที ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่ทั้งที่อาจารย์ก็ยืนอยู่ไม่ห่างนัก อีซานที่นั่งอยู่ข้างสนามถึงกับตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น

จากนั้นมงโดและคู่กรณีจึงถูกเรียกไปห้องปกครองและโดนตักเตือนพร้อมทำทันบนไว้ มงโดเดินออกมาหน้าห้องเห็นอีซานที่ยืนรออยู่จึงเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม แต่อีกคนกลับทำหน้าบึ้งใส่
“นายมันบ้า อย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีกนะ” อีซานกล่าวหน้าเครียดก่อนจะเดินจากไป

ฉันไม่เข้าใจเลย ไม่เคยเข้าใจเลยว่านายคิดอะไร หรือต้องการอะไรกันแน่ ฉันแค่อยากจะช่วยและปกป้องนายเท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะทำให้นายเสียใจเลย เพราะสำหรับฉันแล้วนายเป็นคนพิเศษที่ฉันไม่อยากให้ใครแตะต้อง แม้แต่ตัวฉันเองก็ตาม

เพราะฉันตัวเล็กและไม่ค่อยได้ออกกำลังกายจึงทำให้เล่นกีฬาไม่เก่ง และเพราะรูปร่างที่คล้ายกับเด็กผู้หญิงจึงทำให้เพื่อนผู้ชายชอบแกล้งและเห็นเป็นคนนอก กับผู้หญิงเองฉันก็เข้าไม่ค่อยได้นัก แต่นายกลับอยู่เคียงข้างฉันเสมอทั้งในยามที่ฉันต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม นายจะอยู่ตรงนั้น ข้างๆฉันเสมอ และไม่เคยปล่อยมือฉันเลย แม้ฉันจะสลัดมันออกกี่ครั้งก็ตาม

หลังเลิกเรียนนักเรียนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อีซานกลับมาแอบฝึกฟุตบอลคนเดียวหลังตึกเรียน
“ฟุตบอลน่ะ มันเล่นคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” มงโดโผล่ออกมาจากมุมตึกหลังจากแอบดูอยู่นาน
“ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันบอกแล้วไง อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน” อีซานพูดอย่างไร้อารมณ์ มงโดถึงกับส่ายหน้าอ่อนใจกับคนอวดดี
“นายอยากเข้าทีมใช่ไหมล่ะ” มงโดเอ่ยขึ้น อีซานที่ได้ยินจึงหันควับตาโตมาทางเขา ประหนึ่งว่าไม่คาดคิดว่าจะถูกอ่านออก มงโดจึงเดินเข้าไปหยิบลูกบอลที่อีซานเตะขึ้นมา
“ฉันจะสอนนายเอง” มงโดกล่าว
“ไม่จำเป็น” อีซานตอบห้วน ก่อนจะรับลูกบอลที่มงโดส่งมาอย่างตกใจ
“เอ้า...เตะมาซิ” มงโดมัดมือชก แต่อีซานยังนิ่งอยู่
“หรือนายเตะไม่เป็น” มงโดพูดด้วยใบหน้ากรุ่มกริ่ม ทำให้อีซานถึงกับของขึ้น เตะบอลกลับไปเต็มแรงจนมงโดแทบรับไม่ทัน
“ก็เตะได้นี่น่า” มงโดยังเหย้าต่อ พอดีกับเพื่อนในห้องกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา
“เฮ้ยดูดิ ไอ้ตุ๊ดสองตัวมันเตะฟุตบอลว่ะ” คู่กรณีที่เคยทะเลาะกับมงโดเอ่ยขึ้น เขาเดือดดานขึ้นมาทันใดหมายจะเข้าไปปิดปากเสียๆนั่นด้วยกำปั้นซักหมัด แต่ก็ถูกอีซานห้ามไว้
“ฉันว่าพวกแกไปเล่นขายของไม่ดีกว่าเรอะ เดี๋ยวเหงื่อจะออกเอานะ” คนปากมอมยังจ้อไม่หยุด
“งั้นถ้า...ไอ้ตุ๊ดที่แกว่าได้เข้าทีมล่ะ แกจะว่ายังไง” มงโดกล่าวท้าทายขึ้น
“ฮึ ฉันจะยอมวิ่งแก้ผ้ารอบสนามฟุตบอลเลย” คนปากดีตอบอย่างมั่นใจ

จากนั้นหลังเลิกเรียนมงโดจะมาฝึกเตะฟุตบอลกับอีซานเสมอ ทั้งที่ตัวเองมีสิทธิเข้าทีมอยู่แล้ว หากไปฝึกกับคนอื่นๆจะยิ่งพัฒนาฝีมือมากกว่านี้ แต่เขาก็เลือกที่จะฝึกกับอีซาน
“ฉันจะทำให้นายเข้าทีมให้ได้” มงโดพูดกับอีซานอย่างมาดมั่น
เมื่อถึงเวลาคัดตัว อีซานเล่นได้ดีจนทุกคนแปลกใจ หากแต่มีอยู่คนหนึ่งที่ยิ้มจนแก้มปริ เพราะเห็นคนที่เขาทุ่มเทฝึกกันมาทำได้ดีถึงเพียงนี้ ในที่สุดอีซานก็ได้เข้าทีมฟุตบอลโรงเรียนสมใจไปพร้อมๆกับมงโด แต่คนที่นั่งหน้าง้อยคือคู่กรณีปากมอมที่ไม่ติดทีมและยังต้องวิ่งแก้ผ้ารอบสนามฟุตบอลตามสัญญาอีกด้วย

ฉันไม่เคยเชื่อในศักยภาพตัวเองเลย แต่คนที่ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกถึงมันคือนาย นายที่ชอบจุ้นจาน นายที่ชอบก่อเรื่องเพราะเรื่องเหลวไหล นายที่ชอบ...ฉัน ทั้งที่ตัวฉันไม่เอาไหนเลย
_____________________________________________________

ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อนายมันก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น จนฉันไม่สามารถควบคุมมันได้ นายคอยดุคอยเอ็ดฉันตลอดเวลา นายพยายามเดินหนีเมื่อเห็นฉันเข้าใกล้ หาข้ออ้างสารพัดเพื่อหลบหน้าฉัน นายเองก็ไม่เข้าใจฉันเหมือนกันนะ ฉันอยากอยู่ใกล้ๆนาย ถึงได้ไปตอแยตลอด เพราะฉัน...ชอบ...ใบหน้านั้น หลงใหลผิวขาวละเอียดนั่น คุ้มคลั่งเพราะดวงตาคู่นั้น และถวิลหาเสียงนุ่นที่อ่อนโยนนั่นเหลือเกิน

เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น มงโดจึงรีบวิ่งออกจากห้องเรียนพร้อมกระเป๋าไปชะเง้อคอรออีซานที่หน้าห้องของเขา
“ฮิๆ อีซาน แฟนมารอแล้วจ๊ะ” เพื่อนสาวร่วมชั้นแซวขึ้นเมื่อเห็นมงโดเจ้าประจำมายืนรอหน้าห้อง อีซานได้แต่ทำหน้ามุ่ยและลุกไปหามงโด
“นายมาทำไมเนี่ย” อีซานเอ็ดขึ้นเมื่อเจอหน้าเก่าเวลาเดิม
“ก็มารอกลับบ้านพร้อมกันไง” มงโดพูดพลางกระพริบตาปิ๊งๆ อีซานได้แต่ส่ายหน้า
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมารอแล้ว ฉันมีงานของห้องต้องทำ นายกลับไปก่อนเลย” อีซานบอกพลางทำมือไล่ มงโดได้แต่ทำหน้าจ๋อย
“ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้นี่ ให้คนอื่นเขาทำมั่งสิ นี่นายเป็นประธานนักเรียนหรือไง” มงโดกล่าวหน้ามุ่ย
“ฉันไม่ได้เป็นประธานนักเรียน แต่ฉันเป็นหัวหน้าห้องก็ต้องรับผิดชอบงานในห้อง แล้วอีกอย่างถ้าเป็นประธานนักเรียนหรือทำหน้าที่ในสภาฉันก็ไม่ต้องรับผิดชอบงานในห้องแล้ว” อีซานอธิบายให้คนสมองทึบเข้าใจ ก่อนที่ร่างอ้อนแอ่นเหมือนผู้หญิงจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้มงโดยืนหน้าจ๋อยอยู่อย่างงั้นแต่ก็ไม่ยอมจากไปไหน จนอีซานถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความรั้น

เมื่อสะสางงานในห้องเสร็จอีซานจึงยอมกลับบ้านไปพร้อมกับมงโด
“ถ้านายได้ทำงานในสภานายจะเลิกเป็นหัวหน้าห้องใช่ไหม” มงโดถามขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน
“นายคิดว่ามันเป็นกันง่ายๆหรอ สภานักเรียนนะ” อีซานตอบ ก่อนที่มงโดจะยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น
“สภาเป็นยากแต่ประธานนักเรียนฉันเป็นได้ แล้วถ้าฉันเป็นประธานแล้ว จะเอานายมาเป็นรอง นายจะต้องฟังฉันทุกอย่างนะ แล้วก็ห้ามทำด้วยงานห้องน่ะ” มงโดพูดอย่างมั่นใจ อีซานได้แต่มองเขาอย่างแปลกๆ
แต่เมื่อฤดูกาลแห่งการเลือกตั้งประธานนักเรียนมาถึง มงโดก็ลงสมัครเข้าเป็นหนึ่งในตัวแทน
“นี่...นายจะบ้าหรอ ใครเขาจะเลือกนาย นายอยู่แค่ม.สามเองนะ อย่างน้อยๆน่าจะรอให้เข้าม.ปลายก่อน” อีซานแย้งขึ้น มงโดยังคงลอยหน้าไม่สนใจ
“นายคอยดูฉันเถอะน่า” มงโดพูดพร้อมส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้
แล้วปฏิบัติการหาเสียงแบบพิสดารก็เริ่มขึ้น มงโดเกณฑ์เพื่อนในชมรมศิลปะและถ่ายภาพมาวางแผนการ
“แผนมีอยู่ว่า...เราจะต้องตัดตัวเลือก ปีนี้มีผู้ลงสมัครทั้งหมดรวมฉันแล้วก็สี่คนเท่านั้น นั่นหมายถึงเรามีคู่แข่งอยู่สามคน และสามคนนี่ล่ะที่เป็นเป้าหมายของแผนการเรา” มงโดแย้มปฏิบัติการ ก่อนที่เพื่อนโอตาคุ (บ้าการ์ตูน) แว่นหนาเตอะท่าทางโรคจิตจะยกมือถาม
“แล้วต้องทำไงล่ะ” เขาถามด้วยเสียงอ่อมแอ้ม
“ฮึๆๆๆ ง่ายมาก นายไอ้แว่น ไปจัดการยัยป้าหน้าจืด มินยูริม ม.5ห้อง1 ด้วยการให้เจ้าหล่อนใส่คอสเพย์ของแกและถ่ายรูปเก็บไว้แบล็คเมล์ ฮ่าๆๆๆ” มงโดหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ส่วนแก ไอ้หล่อ มินโฮ” มงโดชี้ไปยังมินโฮหนุ่มหล่อเพย์บอยประจำโรงเรียนที่มาสิงชมรมศิลปะเพราะเป็นชมรมเดียวที่ไม่บังคับให้เขาทำกิจกรรมที่ไม่ต้องการ เขาจึงมีเวลาไปจีบหญิงได้สบายๆ
“แก ไปจีบ ชางยูโน ม.5ห้อง2 ไอ้นั่นน่ะมันแอ๊บแมน หลอกมันซะ แล้วให้มันเผยตัวตนจากนั้นก็เบล็คเมล์มัน ฮ่าๆๆๆ” มงโดหัวเราะอย่างชั่วร้ายอีกครั้ง
“หา...ไอ้คางคกวาฬนั่นอ่ะนะ ขอเป็นคนอื่นได้ไหมอ่ะ ทำใจไม่ได้ว่ะ” มินโฮต่อรอง
“ไม่ได้ คนอื่นไม่แต๋ว จบ ส่วนเธอ ฉันรู้ว่าเธอนะชอบโชว์ที่สุด โยจู เธอเหมาะมากที่จะเป็นตัวล่อ จางชีวอน ม.5ห้อง5 หมอนั่นมันคงแก่เรียน ฉันมั่นใจว่ามันต้องยังไม่เคยเจอผู้หญิงที่แพรวพราวแบบเธอแน่ๆ” มงโดพูดตาวาวไปยังโยจู ที่ตอนนี้กำลังแอ๊คท่าเซ็กซี่ถ่ายภาพอยู่ ที่เธอเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพไม่ใช่เพื่อมาถ่ายแต่อยากเป็นคนถูกถ่ายมากกว่า
“จากนั้น ก็หลอกให้มันปล้ำฉันแล้วก็แบล็คเมล์มันใช่ไหม” โยจูถามขึ้น
“ใช่ เธอฉลาดมากโยจู” มงโดตอบพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
“แล้วต้องให้มันปล้ำจริงๆป่ะ” โยจูถามต่อ
“แค่แสดงละครเท่านั้น” มงโดตอบ
“โธ่...น่าเสียดาย” โยจูพูดด้วยท่าเช็ดปากเสียดายที่ต้องอดกินชายพรมจรรย์
“ส่วนคนสุดท้าย แกไอ้คิมบอม ไปจัดการ มารุยาม่า ชองซู ม.5ห้อง4 ไอ้นี่มันเป็นลูกครึ่งเพิ่งมาเกาหลีได้ไม่นาน เชอะพูดยังไม่ชัดยังจะมาเป็นประธาน แกพามันไปท่องราตรีหน่อยซิ มันจะได้รู้จักเกาหลีมากขึ้น ฮ่าๆๆๆ” มงโดสั่งการไปยังคิมบอมตากล้องขาเที่ยวที่กำลังถ่ายภาพโยจูอย่างเมามัน ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ในที่สุดก่อนวันเลือกตั้งเพียงวันเดียวผู้สมัครทุกคนก็ต่างมาถอนตัวออกไปหมด เหลือเพียงมงโดคนเดียว ผลจึงออกมาโดยไม่ต้องนับคะแนน มงโดได้เป็นประธานสมใจอยาก อีซานแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่นาย...นายวางแผนทั้งหมดใช่ไหม” อีซานพูดพลางจ้องมองอย่างคาดคั้น มงโดได้แต่หลบตาหนี
“อะไรเหล่า ฉันก็ได้เป็นแล้วนี่ จะได้มายังไงก็ช่างเถอะ แต่นายต้องเป็นรองประธานให้ฉันนะ” มงโดรีบเฉเรื่องอื่น และส่งยิ้มกรุ่มกริ่มให้อีซาน
“นายมันแย่ที่สุด ฉันไม่ยุ่งกับนายหรอกนะ ถ้านายอยากเป็นนักก็เชิญเป็นไปคนเดียวเถอะ ฉันเกลียดนายเจ้าบ้ามงโด” อีซานตอบกลับหน้ามุ่ยและเดินปึงปังจากไป
“อีซานๆๆ” มงโดร้องเรียกตามหลังหากแต่อีกคนก็ไม่แม้แต่จะหันมามอง

นายนี่ชอบทำร้ายจิตใจฉันจริงๆเลยอีซาน นายไม่รู้หรอว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นประธานนักเรียนนัก เพราะฉันอยากจะอยู่ใกล้ๆนายยังไงล่ะ แต่นายคงคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระและโมโหกับการกระทำของฉัน ฉันยอมรับว่าที่ฉันทำไปนะผิด แต่ฉันไม่เคยเสียใจ เพราะถ้าเพื่อนายแล้วฉันยอมทำทุกอย่างเลย

“นายมันบ้า บ้าที่สุด ฉันเกลียดนายมงโด” เป็นคำพูดที่ฉันมักพูดกับนายเสมอ หากแต่ภายในใจของฉันนั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ฉันไม่เคยเกลียดนายหรอกนะ ไม่เคยเลย แม้นายจะทำเรื่องบ้าบอแค่ไหน เพราะฉันรู้ว่านายทำเพื่อใคร และนั่นล่ะคือเหตุผลที่ฉันโมโห ฉันโมโห...ตัวเอง โมโหเหลือเกินที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะแสดงอาการยินดีต่อการกระทำนั้น ทั้งที่ฉันดีใจและซาบซึ้งมันมากแค่ไหน แต่ตัวฉันก็ไม่กล้าให้นายได้รู้

หลังเลิกเรียน มงโดก็มารออีซานกลับบ้านที่ห้องเรียนอย่างเคย
“ฉันบอกแล้วไง ว่าไม่” อีซานตอบเสียงเครียด
“เถอะนะซาน นายจะให้ฉันทำคนเดียวหรอ นายก็รู้นี่ ถ้าให้ฉันเป็นประธานโดยที่ไม่มีนายช่วยนะ มีหวังโรงเรียนพังแน่” มงโดพูดออดอ้อนเอาคางเกยโต๊ะของอีซานที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเอกสารประกอบการเรียน
“ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่ นายอยากเป็นนักนี่ ก็ขอให้สนุกแล้วกันนะ” อีซานตอบกลับอย่างไม่ใยดีและก้มหน้าก้มตาทำงานของตน จนมงโดอ่อนใจยอมเป็นฝ่ายล่าถอยไปก่อน หากแต่ก็ไม่หยุดความพยายาม
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอกน่า ยังไงนายก็ต้องเป็นของฉัน” มงโดพูดกรุ่มกริ่ม อีซานได้ยินดังนั้นถึงกับวางมือจากงานหันมาส่งสายตาพิฆาตให้คนปากบอน
“เออ...เป็นรองประธานของฉันไง” มงโดรีบแก้เมื่อเจอสายตาพิฆาตจู่โจม ก่อนจะเดินคอตกออกห้องไป เมื่อเห็นอีกคนออกไปพ้นห้องแล้ว อีซานก็ลอบมองตามเงาของคนกะล่อนอย่างอ่อนใจ
“เจ้าบ้ามงโด ใครจะยอมเป็นของนายกัน” อีซานเอ่ยขึ้นอย่างเคืองๆเมื่อนึกถึงคำพูดคนกะล่อน ก่อนจะเผยยิ้มที่พยายามเท่าไหร่ก็ห้ามไม่อยู่ มันจึงเผยออกมาให้เจ้าตัวรีบปิดปากด้วยความอายตัวเอง และรีบตั้งสมาธิทำงานต่อให้เสร็จ เมื่อทำงานของห้องเสร็จอีซานจึงกลับบ้าน ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เขารีบเดินออกจากตึกเรียนก่อนที่จะมองไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆร่างสูงใหญ่ของนักเรียนชายฝั่ง ม.ปลาย คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น อีซานชะงักหยุดเมื่อร่างใหญ่นั้นยืนขว้างทางอยู่
“นายรู้จักกับเจ้ามงโดใช่ไหม” ชายแปลกหน้าเอ่ยถามขึ้น อีซานรู้สึกถึงภัยที่จะเกิดกับตัวจึงพยายามก้าวถอยหลังช้าๆและจะกลับตัววิ่งไปอีกทาง หากแต่โดนมือหนาคว้าข้อมือเล็กไว้ทัน ร่างบางจึงถูกเหวี่ยงไปชนกับกำแพง อีซานถึงกับจุกและทรุดตัวลงกองกับพื้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเข้ามาจับเขานอนแผ่ไปบนพื้นและรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้
“ฮึ ทีนี้ก็ให้มันรู้ซะบ้างว่าไม่ได้มีแค่มันคนเดียวที่เล่นงานคนอื่นเขาได้ ฮ่าๆๆๆ” ร่างใหญ่พูดอย่างสะใจ เขาคือหนึ่งในสี่ผู้ลงสมัครที่โดนมงโดเล่นงาน
“ให้ตายเถอะ ตอนแรกฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องข่าวลือนั่น แต่มาเห็นใกล้ๆแบบนี้ นายนี่สวยกว่าผู้หญิงสะอีก มิน่าเจ้ามงโดมันถึงหลงนัก” เขากระซิบข้างหูอีซานก่อนจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าจากร่างนั้น อีซานพยายามขัดขืนจึงใช้ขาของตัวเองเตะเข้าหว่างขาคนร่างใหญ่ เขาถึงกับผงะตัวงอให้อีซานหลุดจากพันธนาการและรีบคุกคลานหนีตัวอันตราย แต่ก็หนีไม่พ้นร่างใหญ่จับขาเขาไว้ ก่อนจะออกแรงดึงทีเดียวร่างบางก็ถึงกับเสียหลักหน้ากระแทกพื้น แล้วร่างใหญ่ก็เข้ามาทับเขาไว้พร้อมดึงกางเกงที่ยังเหลือติดตัวอีซานออก
“ไม่.....” อีซานร้องพร้อมน้ำตาแห่งความหวาดกลัว ก่อนที่ร่างใหญ่จะซุกไซร้ไปตามซอกคอและแผ่นหลังขาว ให้คนถูกกระทำขยะแขยงและหวาดกลัวยิ่งขึ้น
“นายนี่ เนื้อตัวไม่ต่างจากผู้หญิงเลยนะ อยากรู้จริงๆว่าตรงนี้จะรู้สึกดีเหมือนของผู้หญิงไหม” ร่างใหญ่จิกผมอีซานขึ้นมากระซิบข้างหู ก่อนจะล้วงเข้าไปในชั้นในเพื่อเคล้าคลึงก้นกลมกลึง อีซานดิ้นอย่างทุรนทุรายแต่ก็ไม่สามารถต่อต้านคนร่างใหญ่ได้ ทำได้แค่เพียงร้องไห้ให้กับความอ่อนแอของตน และนึกถึงคนที่คอยช่วยเหลือเขาเสมอ “มงโดนายอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย” อีซานภาวนาอยู่ในใจ ก่อนที่ร่างใหญ่จะดึงชั้นในเขาออก แต่มันกลับหยุดกะทันหัน อีซานจึงหันไปมองก็พบร่างใหญ่กระเด็นไปอยู่ข้างๆตัวเอง และคนที่เขาภาวนาให้ปรากฏตัวขึ้นก็มายืนอยู่ข้างๆเช่นกัน มงโดไม่รีรอเข้าไปเตะซ้ำให้ร่างใหญ่ครางอย่างเจ็บปวดออกมาเสียงหลง
“ไอ้เวร ถ้าอยากเล่นงานฉัน มาทำกับฉันนี่ ไอ้ทุเรศ ระยำ” มงโดเตะอัดใส่ร่างใหญ่นั้นไม่ยั้งทั้งใบหน้าและตามตัว ก่อนที่ร่างใหญ่จะสลบจมกองเลือดไปแต่มงโดก็ยังไม่หยุด อีซานเห็นดังนั้นจึงเข้าไปห้าม
“พอแล้ว...พอ มันสลบไปแล้ว” อีซานเข้ามาเกาะขามงโดไว้ จึงทำให้คนบ้าเลือดได้สติ ก่อนจะก้มลงมองร่างบางที่เกาะอยู่กับขาเขาตัวสั่นเทา มงโดจึงถอดเสื้อนอกตัวเองออกและคลุมร่างที่เกือบเปลือยของอีซานไว้ มงโดมองสภาพคนตรงหน้าแล้วนึกแค้นใจจะลุกขึ้นเตะระบายอารมณ์อีกครั้งแต่โดนอีซานรั้งแขนไว้อีก ก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“อีซาน...” มงโดเอ่ยเรียกคนตรงหน้า เขาอยากจะปลอบแต่ก็จนปัญญา จึงได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆอย่างนั้น จากนั้นจึงพาอีซานไปส่งที่บ้าน

วันต่อมามงโดมาหาอีซานแต่เช้า
“นายมาทำไม” อีซานเอ่ยถามเมื่อออกจากบ้านมาเจอมงโด
“นี่นายจะไปเรียนอีกหรอ” มงโดกลับถามกลับ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรนี่” อีซานพูดเสร็จก็เดินผ่านหน้ามงโดไป มงโดจึงรั้งแขนเขาไว้
“เดี๋ยวสิ ฉันว่าหยุดสักวันดีกว่านะ เดี๋ยวฉันบอกอาจารย์นายให้” มงโดพูดอย่างเป็นห่วง แต่อีซานกลับสลัดแขนออก
“ฉันไม่เป็นอะไร” อีซานตอบเสียงเรียบด้วยสายตาดุ มงโดจึงต้องเดินตามอย่างจำใจ หลังจากเหตุการณ์นั้นมงโดก็คอยตามดูแลอีซานทุกฝีก้าว จนเกิดข่าวลือเรื่องพวกเขาหนาหูยิ่งกว่าเก่า
“นายเลิกทำแบบนี้ซะทีเถอะ” อีซานเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด เมื่อมงโดจะเข้ามาช่วยเขายกกองสมุดการบ้านของเพื่อนๆในห้องที่ส่งรวมกันไว้ มงโดได้แต่มองอย่างสงสัย
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ นายไม่ต้องตามมาดูแลฉันตลอดเวลาแบบนี้หรอก” อีซานเอ่ย
“แต่...ถ้าพวกนั้นมันมาเล่นงานนายอีกล่ะ” มงโดพยายามแย้งขึ้น
“มันก็ไม่เกี่ยวกับนายนี่ ในเมื่อมันเล่นงานฉัน มันก็เป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องมายุ่งหรอก” อีซานตอบ
“ได้ยังไงล่ะ ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรนายเป็นอันขาด” มงโดยืนยันเสียงแข็ง
“พอที ฉันเบื่อนายเต็มทีแล้ว ฉันเกลียดนาย ฉันเกลียดทุกอย่างที่นายทำให้ฉัน ฉันเกลียดๆๆ” อีซานตะโกนใส่หน้ามงโดไม่ยั้ง ก่อนที่จะเงียบลงเพราะถูกอีกฝ่ายปิดปากด้วยริมฝีปากร้อน อีซานขัดขืนก่อนจะผลักมงโดออกและตบเข้าเต็มแรง แล้วหยดน้ำใสๆจึงไหลลงมาเป็นทางให้มงโดแทบช็อคกับภาพที่เห็น เขาทำอะไรไม่ถูก อีซานได้แต่ร้องไห้ด้วยสีหน้าที่เจ็บใจจากนั้นก็วิ่งหนีไป

หลังจากนั้นฉันก็ไม่เข้ามาใกล้นายอีกเลย ฉันไม่ได้โกรธนายหรอกนะ แต่นั่นล่ะเพราะฉันแสดงอาการแบบนั้นออกไป นายเลยคิดว่าฉันโกรธ แต่ไม่เลย ที่ฉันโกรธคงเป็นความอ่อนแอของฉันเอง เพราะฉันอ่อนแอเลยโดนคนแกล้งอยู่ตลอดและไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ จนนายต้องเข้ามาช่วยทุกครั้งไป แต่ฉันกลับดีใจที่ได้รับการดูแลจากนาย ฉันระอายใจเหลือเกิน ที่ทำตัวเหมือนผู้หญิงให้นายมาคอยดูแล ฉันเกลียดความอ่อนแอของตัวเองเหลือเกิน นั่นเป็นเหตุให้ฉันตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียนตำรวจ และเพราะต้องแยกจากนาย ฉันเลยคิดว่าคงเป็นการดีหากเราจะแยกกันบ้าง มันอาจทำให้ฉันเลิกพึ่งพานายสักที และคงดีสำหรับตัวนายด้วยเช่นกันที่จะได้ไปเจอคนใหม่ๆ คนที่...เหมาะสมกว่าฉัน

___________________________________________________

ในเมื่อนายไม่อยากอยู่ใกล้ฉัน ฉันเองก็ทนอยู่ใกล้นายไม่ได้เช่นกัน ฉันจึงตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียนศิลปะ ฉันคิดว่ามันอาจจะช่วยให้ฉันเลิกคิดเรื่องนายได้บ้างหากเราอยู่ไกลกัน แต่ไม่เลยฉันกลับคิดถึงนายแทบบ้า ฉันอยากเห็นหน้านาย อยากได้ยินเสียงนาย อยาก...สัมผัสนายเหลือเกิน

ปิดเทอมฤดูร้อนสุดท้ายของช่วง ม.ปลาย มงโดตัดสินใจกลับมายังบ้านเกิด
“ฉันนึกว่าแกจะไม่กลับมาแล้วซะอีก” พ่อเขาพูดเมื่อเห็นหน้าลูกชายที่หายหัวไปตั้งแต่เข้า ม.ปลาย
“ก็...เบื่อหน้าแก่ๆของพ่ออ่ะ” มงโดตอบทะเล้นใส่ให้พ่อวิ่งไล่แจกกำปั้นแทบไม่ทัน
“เออ จริงสิ ลูกบ้านนู้นเขาก็กลับมาเหมือนกันนะ” พ่อพูดเป็นปริศนาขึ้น
“ลูกใครล่ะพ่อ” มงโดถาม
“จะใครล่ะ ก็อีซานไง” พ่อเฉลย มงโดสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของคนๆนี้
เขานอนครุ่นคิดถึงเรื่องอีซานทั้งคืน เพื่อชั่งใจว่าจะไปพบคนที่หัวใจเรียกหาดีไหม

วันรุ่งขึ้น มงโดมายังริมธารที่มักมาเล่นบ่อยๆสมัยยังเด็ก เขาจำได้ดีว่าที่นี่เขากับอีซานจะมาตกปลาด้วยกันเสมอ มงโดเดินไปตามโขดหินริมธาร ก่อนจะพบเข้ากับแผ่นหลังคุ้นตา หากแต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าใช่คนที่เขาคิดหรือไม่ เพราะคนคนนี้มีรูปร่างสูงโปร่งและผิวคล้ำแดดที่แตกต่างจากคนคนนั้นโดยสิ้นเชิง มงโดจึงตัดสินใจเดินเข้าไปทางด้านหลังช้าๆ แต่ก็ไปสะดุดกับเจ้าประป๋องเจ้ากำที่อีกคนนำมาใส่ปลา จึงเกิดเสียงดังให้คนที่นั่งตกปลาอยู่หันมามองตามต้นเสียง และทั้งสองต่างตกใจซึ่งกันและกันที่อีกฝ่ายคือคนที่ทั้งคู่ไม่คิดว่าจะได้เจอ อีซานที่รีบลุกขึ้นยืนเกิดเสียหลักพลัดตกลงไปในน้ำ ให้มงโดที่มองเห็นวิ่งไปคว้าอากาศไว้ แต่ตัวคนลงไปนั่งกองอยู่ในลำธารซะแล้ว มงโดจึงรีบลงมาช่วยพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น เมื่ออีซานยืนได้เต็มตัวก็เป็นโอกาสให้มงโดได้สำรวจเขาได้อย่างชัดเจน รูปร่างที่สูงโปร่งอย่างเห็นได้ชัด ผิวคล้ำขึ้นคงเพราะโดนแดด แต่เคล้าหน้าที่งดงามยังคงอยู่ แม้จะไม่ขาวนวลเหมือนเดิมก็ตาม พลันสายตามงโดก็ไปสะดุดเข้ากับผิวขาวนวลที่คุ้นเคย ซึ่งยังคงมีอยู่หลังเสื้อกล้ามขาวบางที่เปียกน้ำนั่น ก่อนที่สายตาจะเลื่อนลงไปยังกางเกงผ้าร่มขาสั้นแนบเนื้อเพราะเปียกน้ำ ทำให้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน
“นี่นายมองอะไรน่ะ” อีซานเอ่ยขึ้นพร้อมหันหลังให้คนทะลึ่ง หากแต่เมื่อหันหลังมา ก้นกลมกลึงน่ารักก็เผยสัดส่วนให้อีกคนได้จ้องมองอีก
“หยุดนะเจ้าบ้ามงโด ขืนนายมองฉันอีก ฉันต่อยนายแน่” อีซานขึ้นเสียงเมื่อรู้ว่าถูกคุกคามทางสายตา
“อ่ะ...เออ...ฉัน...ฉันไม่ได้มองสักหน่อย มองอะไรล่ะ” มงโดรีบแก้ต่างแต่กลับพูดติดอ่างอย่างมีพิรุธ ให้คนรู้ทันหมั่นไส้เดินเข้ามาตบศีรษะคนทะลึ่งให้หลาบจำ มงโดถึงกับตกใจกับการกระทำนั้น เพราะอีซานไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้มีก่อน เขาดูเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่แค่ร่างกายภายนอกแต่บรรยากาศและท่าทางก็ดูแตกต่างจากอีซานที่มงโดเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง
“ทะลึ่งไม่เปลี่ยนเลยนะนายนี่ สาวๆที่โซลไม่มีให้มองรึไง” อีซานพูดแซวด้วยใบหน้ายิ้มละไมที่มงโดคุ้นเคย เขาถึงกับเคลิ้มไปชั่วขณะกับรอยยิ้มนั่น
“สาวที่ไหนกันล่ะ ไม่มีสักหน่อย” มงโดตอบหน้าแดงเพราะยังรู้สึกเคลิ้มกับรอยยิ้มนั้นอยู่
“อย่ามาไก๋ดีกว่า บอกมาซะดีๆ ตั้งแต่ไปเรียนที่โซล ทำสาวร้องไห้มากี่คนแล้ว” อีซานเข้าไปกอดรัดคอหยอกล้อเล่นตามประสาเพื่อนผู้ชาย หากแต่นั่นกลับทำให้มงโดถึงกับผงะทำอะไรไม่ถูก

หลายวันหลังจากนั้นมงโดและอีซานก็ตัวติดกันตลอด พากันไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ตามประสาเพื่อนเก่าที่อยากระลึกวันวาน
“เหนื่อยชะมัดเลย ฉันเดินไม่ไหวแล้วล่ะนะ พักตรงนี้เถอะ” อีซานกล่าวขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกล้าจากการตะลุยเดินมันทั่วหมู่บ้าน เพื่อระลึกความหลัง พวกเขานักพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มงโดเองก็นั่งเพียบอย่างหมดแรง ก่อนจะเหลือบไปเห็นอีซานกระดกขวดน้ำดื่มอย่างหิวกระหาย น้ำที่ไหลลงมาตามคอของคนดื่ม ทำ ให้ มงโดถึงกับกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะความกระหายน้ำหากแต่เป็นความกระหายอยากของหนุ่มฉกรรจ์ เมื่ออีซานดื่มเสร็จก็ส่งขวดมาให้มงโดที่รีบหลบสายตา เขารับขวดน้ำมาและจ้องมองปากขวดนั่นอยู่นาน
“จะเอาหลอดไหมล่ะ ถ้ารังเกียจขนาดนั้น” อีซานพูดแซวขึ้นเมื่อเห็นอีกคนนิ่งมองปากขวด แท้จริงแล้วใช่ว่ามงโดจะรังเกียจ หากแต่เป็นเพราะปากขวดนี้ได้สัมผัสริมฝีปากบางนั่นตากห่าง มันจึงเหมือนกับจูบทางอ้อมหากเขาจะดื่มต่อจากอีกคน แต่มงโดก็ถือไว้ไม่นานนัก ก่อนจะกระดกมันลงคอไปอึกๆอย่างหิวกระหาย
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก” อีซานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกคนกระเหี้ยนกระหือรือ ก่อนจะล้มตัวลงนอนหงายและหนุนแขนตัวเองพร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ มงโดมองร่างที่นอนอยู่ข้างๆอย่างนิ่งนาน จนอีซานผล็อยหลับไป เขาจึงก้มลงไปมองใบหน้างดงามนั้นใกล้ๆ และบรรจงจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากบางเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกตัวตื่นจากนินทรา

วันต่อมามงโดออกมาคอยอีซานที่เดิมที่พวกเขานัดเจอกัน หากแต่รออยู่นานก็ไม่เห็นอีกคนโผล่มา มงโดเลยตัดสินใจไปยังบ้านอีซาน
“คุณน้าครับ ซานอยู่ไหมครับ” มงโดเอ่ยถามกับแม่ของอีซานที่ออกมาเปิดประตู
“เออ...คือ...ซานไม่ค่อยสบายนะจ๊ะ มงโดมีธุระอะไรรึเปล่าจ๊ะ” แม่อีซานตอบอย่างลำบากใจและถามกลับ
“เออ...คือ...ก็เปล่าหรอกครับ....งั้นขอผมเข้าไปเยี่ยมเขาหน่อยนะครับ” มงโดตอบและทำท่าจะเดินเข้าไปแต่ถูกแม่อีซานขวางไว้
“เออ...คือ...เขาหลับไปแล้วนะจ๊ะ เอาไว้วันหลังดีกว่านะ” เธอต่อรอง มงโดจึงจำใจจากไปทั้งที่เป็นห่วงอีกคน

หากแต่ว่าหลังจากนั้นมงโดก็ไม่ได้พบอีซานอีกเลย แม้ว่าจะไปหาถึงบ้านก็ตาม เขาจะได้รับคำตอบว่าอีซานไม่อยู่เสมอ มงโดรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจมาแอบดักรออีซานอยู่หน้าบ้าน จนในที่สุดอีซานก็เดินออกมา มงโดจึงรีบวิ่งไปขว้าแขนร่างโปร่งไว้
“นายหนีฉันทำไม” มงโดเอ่ยเสียงเครียด
“นายพูดอะไรของนาย ฉันแค่ยุ่งนิดหน่อย” อีซานกล่าวเสียงเรียบ
“ยุ่งหรอ? ตอนปิดเทอมเนี่ยนะ” มงโดถามย้ำ อีซานจึงสลัดแขนออกจากอีกคน
“มันก็เรื่องของฉัน” อีซานตอบเสียงเครียด ต่างสบตากันอย่างดุดัน
“นายตื่นอยู่ใช่ไหม ตอนนั้นน่ะ” มงโดถาม อีซานไม่ตอบหากแต่หันหน้าหนีไปทางอื่น มงโดจึงเข้าไปกระชากแขนอีกคนให้หันมาสบตา
“นายรู้สึกตัวใช่ไหม ที่ฉัน...จู...” มงโดยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีซานและยังไม่ทันพูดจบก็โดนอีกคนสวนขึ้น
“ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังพูดอะไร แต่ถ้านายไม่ปล่อยฉัน ฉันชกนายแน่” อีซานเอ่ยขึ้นพลางจ้องตอบอย่างดุดัน“งั้นก็ต่อยสิ เอาเลย เพราะฉันไม่ปล่อยนายแน่ เพราะว่าฉันรั........” มงโดพูดพร้อมจับแขนอีซานขึ้นมาใกล้ใบหน้าตน หากแต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกอีซานเอามือปิดปากเขาไว้ มงโดจึงแก้มือนั้นออกแต่อีกคนกลับไม่ยอม อีซานเลยผลักมงโดกระเด็นลงไปกองกับพื้นก่อนจะวิ่งเข้าบ้านไป

อีกครั้งที่นายวิ่งหนีฉัน นายจะวิ่งหนีฉันไปถึงเมื่อไหร่ ฉันเองก็เหนื่อยที่จะวิ่งตามนายเต็มทีแล้ว ในเมื่อนายไม่ต้องการความรู้สึกของฉัน ฉันก็คงจะไม่ฝืนนาย หากฉันเข้าใกล้นายไม่ได้ ฉันก็ขอเป็นฝ่ายไปดีกว่า ฉันจะไป ไปที่ๆไกลจากนาย ให้ระยะทางและเวลานั้นมันลบเลือนความรู้สึกนี้ที่มีต่อนาย ภาวนาว่าให้มันหายไป ไม่เช่นนั้น หากฉันเจอนายอีก ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยนายไปเด็ดขาด

ฉันคิดว่าความรู้สึกนั้นมันจะหายไปแล้ว ฉันพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะเป็นคนใหม่ เพื่อที่เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเช่นเดิม แต่ไม่เลยแม้ว่าร่างกายฉันจะเปลี่ยนไปเช่นไร แต่จิตใจฉันมันไม่เคยเปลี่ยน มันยังคงอ่อนแออยู่เช่นเดิม และนายเองก็ยังปฏิบัติต่อฉันเหมือนฉันเป็นผู้หญิงเหมือนเดิม ทั้งที่น่าจะเกลียดแต่ฉันกลับดีใจ ดีใจเหลือเกินที่นายยังเป็นดังเดิม ดีใจเหลือเกินที่นาย...สัมผัสฉัน

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการปิดเทอมชั้น ม.ปลาย มงโดพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะได้พบอีซาน
“มีเรื่องทะเลาะอะไรกันหรอลูก” แม่อีซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นลูกชายหลบหน้าเพื่อนรักมาหลายวัน
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ แค่ทะเลาะกันนิดหน่อยน่ะ” มงโดพูดพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ถ้ายังงั้น ไม่คุยกันซะให้รู้เรื่องล่ะลูก หลบหน้ากันแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ จะคืนดีกัน” แม่เสนอ อีซานได้แต่ยิ้มรับก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องนอนตัวเองและเฝ้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์หน้าบ้านเมื่อหลายวันก่อนที่มงโดมาดักรอ

“เจ้าบ้ามงโด...” อีซานเอ่ยขึ้น เมื่อนึกถึงคำพูดที่มงโดไม่สามารถพูดจบได้เพราะตัวเองเอามือไปปิดปากอีกฝ่ายไว้เสียก่อน แล้วจึงมองดูมือตัวเองที่ใช้ปิดปากอีกฝ่าย เมื่อนึกว่ามือนี้ไปสัมผัสปากมงโดก็ทำให้นึกถึงเรื่องที่อายแสนอายเข้า เพราะริมฝีปากนั้นเคยมารุกรานตัวเองยามหลับ อีซานส่ายหน้าเพื่อตั้งสติ แต่ก็ไม่สามารถสลัดรสสัมผัสที่อีกคนฝากไว้ได้ เขาจึงลูบริมฝีปากบางของตนเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงคิดถึงช่วงเวลาที่ริมฝีปากมงโดสัมผัสลงไปยังริมฝีปากบางของเขา พลันใจก็เต็นระรัวจนต้องรีบเอามือไปลูบหน้าอกไว้เกรงว่าหัวใจที่สั่นมันจะเด้งออกมาข้างนอก
“ฉันจะทำยังไงดี” อีซานรำพึงกับตัวเอง

หลายวันผ่านไปความพยายามเข้าหาของมงโดก็ยังไม่เป็นผล อีซานยังคงหลบหน้าเขาตลอด จนมาถึงคืนก่อนที่อีซานจะกลับไปยังโรงเรียนตำรวจ เขาถูกแม่ใช้ให้ไปซื้อของกลางดึก ทั้งที่ไม่อยากจะออกไปไหนเลยเพราะกลัวจะไปพบคนที่หัวใจวิ่งหนีอยู่ แต่ก็ต้องจำใจออกไปตามคำสั่งของมารดา ระหว่างทางกลับบ้านอีซานก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและหดหู่ใจในเวลาเดียวกัน แต่ในช่วงที่กำลังคิดอะไรเพลินอยู่เขาก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกจู่โจม ชายคนหนึ่งเข้ามากอดรัดเขาจากทางด้านหลัง เขาจึงหันไปดูใบหน้าผู้รุกราน ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่นึกถึงอยู่โผล่มาให้เห็นหน้าใกล้ๆขนาดนี้
“มงโด ปล่อยนะเจ้าบ้า ไม่งั้นฉันทุ่มนายแน่” อีซานพูดขู่
“ก็เอาสิ ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่ปล่อยนายแน่” มงโดพูดข้างๆหู ไอร้อนจากลมปากทำเอาอีซานใจสั่น ก่อนจะลนลานเมื่อถูกมงโดซุกไซร้ที่ซอกคอ
“นี่ปล่อยนะมงโด หยุดเดี๋ยวนี้” อีซานร้องห้ามแต่อีกคนกลับไม่ฟังเสียง ยังซุกไซร้อยู่ที่เดิม จนอีซานเหลืออด
“มงโด!” อีซานตะหวาดสุดเสียง มงโดถึงกับชะงักหยุดการกระทำของตน ก่อนจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำใสที่ตกกระทบแขนของเขา มงโดจึงคลายแขนออกจากร่างโปร่ง และมองใบหน้าที่ตนหลงใหลซึ่งกำลังหลั่งน้ำตาอยู่ เขาเอื้อมมือจะไปซับหยาดน้ำตานั่นแต่ถูกอีกคนปัดมือออกและจะเดินหนีไปอีก หากแต่มงโดก็คว้าแขนร่างโปร่งไว้
“อย่าเดินหนีฉันอีกเลย...ได้โปรดเถอะ....ฉันรักนาย” มงโดบอกความในใจที่มีต่ออีกคนมาเนิ่นนาน แต่อีซานกลับสลัดแขนนั้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจะวิ่งหนีไป เขาวิ่งกลับมาบ้านและทรุดลงร้องไห้อยู่หน้าประตูบ้านอย่างเงียบๆเพื่อไม่ให้คนในบ้านได้ยิน

ฉันขอโทษ ฉันมันขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความรู้สึกนั้นได้ ทั้งที่ฉันก็รู้สึกไม่ต่างจากนาย แต่เพราะความกลัว ฉันกลัวเหลือเกิน ฉันไม่อยากให้นายทำกับฉันเหมือนเป็นผู้หญิง เพราะฉันเป็นผู้ชาย...ฉันเป็นผู้ชาย แต่ทำไม...ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้กับนาย...ทำไมฉันถึง...รักนาย นายควรจะพบคนที่ดีกว่าฉัน คนที่รักนายได้อย่างเปิดเผย คนที่ไม่ขี้ขลาดถึงขนาดวิ่งหนีคนที่ตัวเองรักแบบนี้ ได้โปรดเถอะ...ลืมฉันซะ มีแต่นายเท่านั้นที่ทำได้ เพราะคนอย่างฉันคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ทั้งความรู้สึกกลัวนี้และความรักที่มีต่อนาย

____________________________________________________

แปดปีต่อมา
ณ สนามบินกรุงโซล มงโดลงจากเครื่องบินและมารอรับกระเป๋าของตัวเองอยู่ เขาสังเกตเห็นชายน่าสงสัยคนหนึ่งท่าทางลุกลี้ลุกลน เข้ามาหยิบข้างๆเขา แต่เมื่อชายคนนั้นหยิบกระเป๋าขึ้นตำรวจหลายนายก็เข้ามาล้อมจับเขาทันที มงโดตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก
“ยอมมอบตัวซะ เราล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว” ตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมจ่อปืนไปที่ชายคนนั้น เสียงของเขาช่างคุ้นหูมงโดยิ่งนัก มงจึงหันไปมองยังต้นเสียงนั้น
“อีซาน!” มงโดเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ เจ้าของชื่อเองก็แปลกใจไม่แพ้กันที่มาพบคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานแบบนี้ หากแต่นั่นกลับเปิดโอกาสให้คนร้ายควักปืนออกมาและเข้าไปล็อคตัวมงโดจี้เป็นตัวประกันได้
“อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่งั้นฉันยิงไอ้เวรนี่แน่” คนร้ายกล่าวอย่างลนลาน พลางจ่อกระปอกปืนไปยังขมับมงโด อีซานแทบขยับตัวไม่ได้เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ด้วยใจที่กลัวว่าหากเพรียงพร้ำไปอาจทำให้เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่หัวใจคิดถึงเสมอมานี้อีก แต่เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นคนถูกจี้เป็นตัวประกันบิดแขนที่ถือปืนของคนร้าย พร้อมทั้งจับทุ่มจนตัวคนร้ายลงไปกองกับพื้น
“ไอ้เวรน่ะมันแก ไม่ใช่ฉัน” มงโดพูดเย้ยหยันใส่คนร้ายเมื่อสิ้นฤทธิ์ ตำรวจจึงกรูกันเข้าไปล็อคตัวคนร้ายไว้ ท่ามกลางวงล้อมนั้น มงโดหันมายังคนที่จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ไร้ซึ่งเสียงใดๆออกจากปากคนทั้งคู่ มีเพียงสายตาที่ส่งมาทักทายกันอย่างอบอุ่น
เมื่อเหตุการณ์จบลง ตำรวจจึงต้องสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายไว้เพื่อทำรายงานประกอบรูปคดี และทุกคนก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี เว้นแต่มงโดที่ทำยึกยักไม่ยอมให้ปากคำจนต้องพาไปในห้องสอบสวนของสนามบิน
“ผมบอกแล้วไง ถ้าอีซานไม่เป็นคนสอบปากคำผม ผมก็จะไม่ให้ปากคำอะไรทั้งนั้น” มงโดต่อรอง
“คุณครับ ผู้กองอีซานเขาไม่ว่างมาทำหน้าที่เล็กน้อยแบบนี้หรอกครับ ผมว่าคุณรีบๆบอกมาเถอะ จะได้รีบกลับบ้านยังไงละ” ตำรวจผู้ทำหน้าที่สอบปากคำเกลี้ยกล่อม หากแต่ไม่เป็นผล มงโดยังคงทำท่าไม่สะทกสะท้าน
“ไม่เป็นไร ผมว่าง มีเวลาอีกเยอะ” พูดจบมงโดก็กอดอกพร้อมทั้งยกขาพาดโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ ทำให้ตำรวจนายนั้นแทบอยากวิสามัญเขาเลยจริงๆ แต่ก็ต้องข่มอารมณ์และเดินหงุดหงิดออกมานอกห้อง ไม่ไกลจากห้องนักเขาพบกับผู้บังคับบัญชาของตนเข้า
“เป็นไง เขายอมให้ปากคำหรือยัง” อีซานเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เลยครับ เขายืนยันจะให้ปากคำกับผู้กองคนเดียวครับ” ตำรวจผู้น้อยตอบอย่างอ่อนใจ อีซานเองก็รู้สึกไม่แพ้กัน
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวฉันสอบปากคำเขาเอง” อีซานเอ่ยพลางตบบ่าลูกน้องเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องสอบสวนนั่น เมื่ออีซานเปิดประตูเข้ามามงโดก็รีบลนลานเอาเท้าลงจากโต๊ะและนั่งสงบเสงี่ยม เหมือนนักเรียนที่เห็นคุณครูเดินเข้าห้องมา อีซานเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และนำเครื่องบันทึกเสียงออกมา
“เอาล่ะ...ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณในวันนี้หน่อย” อีซานพูดเสียงเรียบพร้อมกดปุ่มบันทึก
“ฉันนั่งเครื่องมาจากอิตาลี มาถึงราวๆสามโมงได้ แล้วมารอกระเป๋า จากนั้นหมอนั่นก็เดินเข้ามาหยิบกระเป๋าด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน แล้วจากนั้น....ฉันก็ได้พบนาย” มงโดเล่าเสียงนุ่น อีซานถึงกับชะงักเมื่อถูกเอ่ยถึง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองคนเล่า แต่ก็ต้องใจสั่นเมื่ออีกคนรอส่งสายตาหวานซึ้งตรงมาที่เขา เขาจึงรีบหลบตาหนีสายตานั้นทันที
“กรุณาเล่าเฉพาะเรื่องของคนร้ายด้วย” อีซานบอกเสียงเขียว
“มันชักปืนออกมาและจับฉันเป็นตัวประกัน....ตอนนั้นนายรู้สึกยังไง” มงโดเล่าและโน้มตัวเอาศอกไปเท้าโต๊ะไว้ พลางจ้องอีซานด้วยสายตากรุ่มกริ่ม อีซานถึงกับหลบตัวถอยสายตารุกรานของคนกะล่อน
“ฉันบอกให้เล่าเฉพาะเรื่องของคนร้ายไงล่ะ” อีซานเอ็ดเสียงเขียว
“ฉันก็เล่าอยู่นี่ไง แต่ฉันก็อยากรู้ด้วยนี่ว่า....นายเป็นห่วงฉันรึเปล่า ตอนที่ฉันถูกจับเป็นตัวประกันแบบนั้น แล้วนายรู้สึกยังไงที่ได้เจอฉันอีก นายยัง...” มงโดยังรุกไล่ไม่เลิก แต่ก็ไม่ทันที่จะพูดจบอีซานก็สวนขึ้นก่อน
“พอแล้ว นายไม่ต้องให้ปากคำอีกแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว” อีซานกล่าวตัดบทก่อนและหันหลังจะก้าวออกจากห้อง มงโดจึงลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวสิ...นายไม่ต้องตอบก็ได้ ฉันตอบเอง...ฉันดีใจมากที่เจอนายอีก ฉันคิดถึงนายนะ คิดถึงตลอดเวลา ช่างโง่จริงๆที่ปล่อยให้เวลาผ่านมาเนินนานขนาดนี้ ทั้งที่มันไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เลย ฉันยังคง...” มงโดบอกเล่าความในใจ แต่ถูกอีซานสวนขึ้น
“ได้โปรด พอเถอะ” อีซานเอ่ยขึ้นอย่างเว้าวอน แต่นั่นกลับทำให้มงโดเดินเข้าไปหาเขา
“อย่านะ! อย่าเข้ามา อย่า...อย่ามาใกล้ฉัน” อีซานกล่าวห้ามเสียงสั่น มงโดจึงหยุดตามคำสั่งนั้น และจ้องมองแผ่นหลังที่สั่นเทานั่น
“ฉัน...มันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างเลย นายก็ควรที่จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน” อีซานกล่าวขึ้นแฝงด้วยความสะท้อนใจ
“ไม่เลย...ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก ทั้งนายและฉัน เราต่างก็รู้ดี...ใช่ไหม” มงโดกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน ร่างที่สั่นเทาจึงหันกลับมามองเขาอย่างแปลกใจ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจเขาได้ถึงเพียงนี้
“ความจริงที่นายพูดว่า ฉันและนายเปลี่ยนไปคงจริง เพราะฉันไม่งี่เง่าเหมือนเดิม เวลามันทำให้ฉันโตขึ้นและเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้นด้วย” มงโดกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆพลางสบตาอีซานอย่างอ่อนโยน
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ทุกอย่างเลย และฉัน...ฉันรอได้ เพราะความอดทนและอดกลั้น คือสิ่งที่เรียกว่าความรักที่แท้จริง และฉันจะรอนายเสมอ” มงโดพูดอย่างอ่อนโยน อีซานที่ยืนฟังอยู่น้ำตาแทบไหลหากเป็นสมัยก่อนเขาคงปล่อยโฮไปแล้ว แต่เขาโตแล้วพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างแม้กระทั่งหัวใจของตัวเอง อีซานจึงส่งยิ้มพิมพ์ใจที่มงโดหลงใหลมาตลอด กลับไปยังคนที่หัวใจของเขาพร้อมเผชิญหน้าแล้ว

.............................................................................................................

ไหนยังมีใครเกลียดมงโดอยู่บ้างค่ะ เปลี่ยนใจกันแล้วใช่ไหม มงโดก็เป็นคนดีนะ แต่เฉพาะกับอีซานเท่านั้น อิอิ

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

After School ตอนที่ 24

ตอนที่ 24

หลังจากเหตุการณ์แสนเศร้าผ่านไป ยุนนาก็เหมือนคนไร้วิญญาณ เธอเอาแต่นั่งเหม่อลอยและดื่มเหล้าเมามายทุกวัน

“นายยังคิดว่านายทำถูกอยู่รึเปล่า” อีซานเอ่ยถามขณะมองร่างไร้สติของยุนนาที่หลับเพราะฤทธิ์เหล้า

“จะทำงานใหญ่ มันต้องใจแข็ง ฉันเชื่อว่ายัยนี่จะผ่านมันไปได้” มงโดตอบ อีซานได้แต่ส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นของเขา
แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เดือนกว่า จนใกล้เข้าสู่พิธีจบการศึกษาของโรงเรียนศิลปะ ยุนนาก็มีสภาพดีขึ้นมาก ตอนนี้เธอไม่กินเหล้าเมามายเหมือนก่อนแล้ว แต่หันมาทุ่มเทให้กับการศึกษาภาษาอิตาเลียนเพื่อเตรียมตัวไปเรียนที่โดมุส หากแต่ก็มีเหม่อลอยบ้างเป็นบางครั้งเมื่อหวนคิดถึงอดีต

“เป็นไงเรา ขยันจังนะ น่าอิจฉาจังจะได้ไปอิตาลีแน่ะ” ยุนโฮแซวขณะที่น้องสาวกำลังอ่านหนังสืออย่างจริงจังอยู่

“ไม่เอาน่าพี่ยุนโฮ ไปเรียนไกลขนาดนั้นไม่เห็นดีเลย แบบนี้ฉันก็คิดถึงพี่ตายเลย” ยุนนาพูดอ้อนพลางเข้าไปกอดพี่ชาย

“ให้มันจริงเถอะ พี่กลัวว่าพอเจอเพื่อนใหม่ที่โน่น แล้วจะลืมพี่กับพ่อแม่น่ะสิ” ยุนโฮพูดใส่

“ไม่มีทาง ใครจะลืมครอบครัวตัวเองได้ล่ะ” ยุนนายืนยันและกอดพี่ชายแสนรักอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะหยอกล้อเล่นหัวกันอีกยกใหญ่


ในที่สุดก็ถึงพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนศิลปะ วันนี้มีผู้คนมากมายมาร่วมงาน โดยส่วนมากก็เป็นครอบครัวหรือคนรู้จักกับนักเรียนที่จบการศึกษาในปีนี้ ยุนนาถูกเลือกให้เป็นนักเรียนดีเด่นและขึ้นกล่าวคำอำลา ครอบครัวของเธอภูมิใจมาก รวมทั้งมงโดอาจารย์สุดแสบที่เข็นลูกลิงอย่างเธอจนได้ดี เมื่อเธอกล่าวเสร็จเขามีอาการเหมือนจะร้องไห้ อีซานที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่กลั้นหัวเราะเอาไว้
หลังจบพิธีนักเรียนคนอื่นๆต่างออกมายังสนามกลางโรงเรียน เพื่อถ่ายรูปกับครอบครัวเป็นที่ระลึก เช่นเดียวกับครอบครัวซิน แต่ในระหว่างที่ถ่ายรูปอยู่นั้นยุนนาก็เหลือบไปเห็นเงาคุ้นตาของใครคนหนึ่งซ่อนอยู่หลังต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธอนัก หากแต่เมื่อเธอจ้องมองอย่างตั้งใจร่างนั้นกลับหายไป

“ยุนนามาเร็ว” ยุนโฮร้องเรียกให้น้องสาวเข้ามาถ่ายรูปหมู่กับเพื่อนๆ

“คงไม่ใช่หรอกมั้ง” ยุนนาพึมพำกับตัวเอง เธอคิดว่าร่างนั้นอาจจะเป็นจองอา แต่ด้วยประการทั้งปวงก็ทำให้เธอไม่เชื่อว่าจะเป็นหล่อนไปได้ จึงกลับมาแอ็คท่าถ่ายรูปเหมือนเดิม
ร่างบางที่หายไปในพริบตาตอนนี้กำลังเร่งฝีเท้าเข้าไปหลังตึกเพื่อหลบสายตาคมของคนตาไว เมื่อแน่ใจว่าพ้นแล้วจึงหยุดยืนหายใจหอบ หัวใจเธอเต้นระรัว หลายเดือนแล้วที่เธอไม่ได้เห็นยุนนาเลย ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่แอบมองอยู่ห่างๆ ก็สามารถทำให้ใจเธอหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้

“ไม่คิดว่าเธอจะมานะ” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้น จองอาถึงกับสะดุ้งตกใจ เธอรีบหันกลับไปมองต้นเสียง เป็นมงโดนั่นเองที่เดินตามเธอมา

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เธอไม่เห็นฉันหรอก” จองอากล่าว

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” มงโดตอบ

“ฉันอยากขอบใจเธอนะ ที่เธอทำน่ะ มันมีค่ามากต่อยุนนา ถ้ายังไงให้ฉันออกค่าเทอมเรียนมหาลัยให้ไหมล่ะ เธอเองก็คงอยากจะเรียนต่อสินะ ไอ้เงินทำงานร้านโจ๊กกระจอกๆแบบนั้น แค่ค่าที่พักก็ยังไม่พอเลย” มงโดเสนอแต่ก็แฝงไว้ด้วยการประชดประชัน

“ขอบคุณค่ะ แต่ถ้าต้องรับเงินจากคุณ ฉันไม่เรียนดีกว่า” จองอาตอบเสียงเรียบ มงโดถึงกับยิ้มให้ความทระนงของเธอ

“แต่ถ้าจะกรุณา ช่วยเอาผ้าพันคอผืนนี้ให้เขาได้ไหมคะ” จองอาพูดเสียงอ้อนวอน พลางส่งห่อกระดาษให้มงโด เขารับมาเปิดดูก็พบผ้าพันคอลายดอกไม้สีน่ารัก เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพิจารณาแล้ว

“ยัยนั่นคงไม่เชื่อหรอกนะว่าเป็นของฉัน” มงโดกล่าว

“คุณก็บอกว่าได้มาจากไหนก็ได้นี่คะ ได้โปรดเถอะค่ะ” จองอาอ้อนวอน เขานิ่งไปสักพักจึงพับผ้าพันคอเข้าห่อตามเดิม

“ได้” เขาพยักหน้ารับ

“ขอบคุณค่ะ” เธอโค้งขอบคุณอย่างดีใจ ก่อนจะเดินจากไป แม้ว่างานเธอจะยุ่งมากก็ตาม แต่ก็ยังเจียดเวลามาเพื่อแอบดูคนรักในวันที่น่ายินดี ตอนนี้เธอเลิกทำงานเป็นโฮสเตสแล้ว เธอเปลี่ยนมาทำงานในร้านโจ๊กตอนกลางวันและร้านสะดวกซื้อในตอนกลางคืน ถึงแม้ว่างานจะหนักและได้เงินน้อย แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับเธอในตอนนี้ เพราะเธอเรียนจบแล้วจึงหมดภาระในการจ่ายค่าเทอมเซ้นมาเรียน่าที่แสนแพง และด้วยความสามารถทางดนตรีของเธอทำให้เธอได้ทุนเรียนที่มหาลัยดนตรีชั้นนำของเกาหลี แม้จะพูดได้ว่าตอนนี้เธอมีความสุขดีกับชีวิตที่เป็นอยู่ แต่คงพูดได้ไม่เต็มปากนักเพราะในเมื่อความสุขของเธอคือยุนนา หากไม่มียุนนาแล้วแม้ชีวิตจะราบเรียบหรือหรูหรา เธอย่อมไม่สามารถรู้สึกอะไรได้นอกจากความอ้างว้าง


หลายวันหลังจากพิธีจบการศึกษาก็ถึงเวลาที่ยุนนาจะเดินทาง

“นี่เธอจะหอบอะไรไปนักหนา จะย้ายบ้านหรอ” มงโดบ่นอุบเมื่อเห็นยุนนาจัดของใส่กระเป๋าไม่เสร็จสักที

“นี่ของจำเป็นทั้งนั้นเลยนะจารย์ ดูดิ ลูกอม หมากฝรั่ง ป๊อกกี้ มันฝรั่งทอด ฯลฯ” ยุนนาพรรณนารายการอาหารยืดยาว

“นี่มันของกินทั้งนั้นเลยนี่ เธอจะเปิดร้านขนมรึไง จะหอบไปทำไมเยอะแยะที่นั่นก็มี” มงโดเอ็ดใส่

“แต่มันไม่เหมือนกันนี่ นี่ของเกาหลีนะจารย์” ยุนนาให้เหตุผลข้างๆคูๆ

“พอเลยๆ เดี๋ยวก็ตกเครื่องกันพอดีรีบไปแต่งตัวได้แล้ว” มงโดบอกพลางผลักร่างยุนนาเข้าห้องน้ำไป ก่อนที่เขาจะควักห่อกระดาษออกมาจากกระเป๋าที่หิ้วมา และนำมันยัดใส่กระเป๋าเดินทางของยุนนา


เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปที่สนามบิน

“เอานี่ลูก พกติดตัวไว้ตลอดนะ” คุณนายซินยื่นเครื่องรางให้ลูกสาว

“อะไรเนี่ยแม่” ยุนนาร้องทัก

“เอาน่าๆ” เธอยัดมันใส่กระเป๋าเสื้อลูกสาว ยุนนาได้แต่ส่ายหน้าอย่างจำยอม

“เอานี่ ของพ่อ” พ่อยุนนาพูดขึ้นพร้อมยื่นบัตรเครดิตให้เธอ ยุนนาถึงกับตาโต

“โห...พ่อ” เธอรับมาอย่างดีใจ

“ใช้ได้แค่ ร้อยยูโรต่อเดือนเท่านั้นล่ะ พ่อทำลิมิตไว้แล้ว” ยุนนาหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“หรือจะไม่เอา” เขาทำท่าจะเอาคืน ยุนนาจึงรีบเก็บเข้ากระเป๋าทันที

“เอาจ๊ะๆ แหมๆ พ่อหนูนี่...ใจดีที่สุดเลย” ยุนนากัดฟันพูดแต่ก็เข้าไปกอดพ่ออย่างออดอ้อน ก่อนที่ยุนโฮจะเดินเข้ามา

“เอ้า...นี่ เอาไว้ดูเวลาคิดถึง” ยุนโฮยื่นกรอบรูปที่เขาทำเองกับมือให้ รูปข้างในคือภาพครอบครัวซินที่ถ่ายในวันจบการศึกษา เธอรับมันด้วยรอยยิ้มก่อนจะโผเข้ากอดพี่ชายอย่างแสนรัก เขาตบหลังเธอเป็นการตอบรับ

“ตั้งใจเรียนล่ะ” เขาฝากฝัง เธอถึงกลับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ทุกคนเลยเดินเข้ามาลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู

“อะไรกัน จะไปอยู่แล้วเพิ่งมาร้อง” คุณนายซินพูดแซว ก่อนที่อีซานจะยื่นชุดดินสอสีให้ยุนนา

“พี่ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้นะ....เอาไปฝึกระบายสีแล้วกัน” เขาพูดอย่างอายๆ เพราะมารู้จากมงโดที่หลังว่ายุนนาไม่ได้ใช้สีไม้ แถมยังโดนแซวอีกว่าจะเอาไปให้เด็กอนุบาลรึไง เขาจึงรู้สึกอายมากกับความทึ่มของตน แต่ยุนนาก็รับไว้แม้จะแอบหัวเราะเล็กๆ จากนั้นจึงหันไปมองมงโด

“อะไร? มองฉันทำไม” มงโดถามเสียงตื่น ยุนนาจึงแบมือรอรับของ

“ฮึ...อย่าฝันว่าคนอย่างฉันจะเปลืองเงินซื้อของให้เธอเลย” มงโดพูดอย่างสะใจ ยุนนาถึงกับทำหน้ามุ่ย แต่ทุกคนต่างหัวเราะให้กับศิษย์ซ่าอาจารย์แสบคู่นี้ ที่กัดกันจนวินาทีสุดท้าย เมื่อล่ำลากันเรียบร้อย ยุนนาก็เดินเข้าไปที่รับรองผู้โดยสาร ทุกคนต่างยืนรอจนเครื่องของเธอบินขึ้นฟ้าลับตาไป จึงแยกย้ายกันกลับ
ขณะเดียวกันหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเหม่อมองท้องฟ้ากว้างผ่านกระจกใสร้านโจ๊กที่ตนทำงานอยู่


“จองอาๆ ส่งของโต๊ะสิบด้วยจ๊ะ” เจ้าของร้านโจ๊กเรียก จึงทำให้เธอหลุดจากภวังค์และกลับมาทำงานอย่างขยันขันแข็งต่อ ความจริงนั้นเธออยากไปส่งยุนนาใจจะขาด แต่ก็กลัวว่าจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวแล้วโผล่ออกไปรั้งคนรักไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นที่ผ่านมาคงเป็นเรื่องเสียเปล่า และคงทำลายอนาคตคนรักเธอด้วย แต่ถึงแม้จะไม่ได้ไปส่ง ใจของเธอก็คิดถึงคนที่จากไปอยู่ทุกวินาที และภาวนาให้เดินทางอย่างปลอดภัย


เมื่อมาถึงอิตาลียุนนาตื่นตากับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยจนมาถึงหอพักมหาลัย ยุนนาทักทายเพื่อนใหม่และเพื่อนร่วมห้อง ทุกคนต่างต้อนรับเธออย่างดี ทำให้ยุนนาใจชื้นขึ้นเยอะและคิดว่าคงเข้ากันได้ดีกับทุกๆคน จากนั้นเธอจึงนำของออกจากกระเป๋า เมื่อเปิดกระเป๋าเดินทางออกก็พบห่อกระดาษน่าสงสัยห่อหนึ่ง ซึ่งเธอจำได้ดีว่าไม่ได้เอามันใส่กระเป๋ามาแน่ๆ

“อะไรเนี่ย” ยุนนาหยิบมันขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะค่อยๆเปิดห่ออย่างหวาดๆ ในใจก็คิดว่า “จารย์แน่ๆ มีอะไรอยู่ในนี้วะ มันจะกัดเปล่าอ่ะ” เธอค่อยๆลวงมือเข้าไปหยิบสิ่งของข้างใน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมือไปโดนเข้ากับผ้านุ่มๆ เธอจึงรีบหยิบมันออกมาดู มันคือผ้าพันคอลายดอกไม้สีหวานแหวว ยุนนาขมวดคิ้วทันทีที่เห็นมัน ก่อนจะลวงเข้าไปในห่อกระดาษอีกครั้งก็พบกระดาษแผ่นหนึ่ง

“ฉันมีหลายเรื่องที่จะสารภาพ ฉันเองที่บอกจองอาให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับเธอ ทั้งที่ความจริงแล้ว หล่อนรักเธอมาก แม้แต่ฉันเองก็เพิ่งประจัก หล่อนไม่ได้มีใครใหม่หรอก และเลิกทำอาชีพนั้นแล้วด้วย แม้ฉันจะเสนอความช่วยเหลือ แต่หล่อนก็ไม่รับ นั่นอาจเป็นเพราะตัวฉันเอง และความหยิ่งในศักดิ์ศรีของหล่อน ผู้หญิงที่เธอรักนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ และแม้ว่าสิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมด เธอคงจะไม่เห็นด้วย แต่จงรู้ไว้เถอะว่าฉันทำไปก็เพื่อตัวเธอ เธอช่างโชคดีที่ได้รับความรักและความปรารถนาดีมากมายจากคนรอบกาย เพราะฉะนั้น ได้โปรด อย่าทำให้สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อเธอนั้นสูญเปล่าเลย
ปล. ผ้าพันคอผืนนี้ จองอาทำให้เธอ ใช้มันอย่างถนอมล่ะ และจงรู้ไว้ด้วยว่า คนที่เธอรัก เขาก็รักเธอเช่นกัน และกำลังพยายามไปพร้อมๆกับเธออยู่ หากความรักของพวกเธอคือรักแท้ มันย่อมไม่จางหายไปตามกาลเวลาหรอก” มงโดเขียน
ยุนนาน้ำตาล่วงพราวก่อนจะหยิบผ้าพันคอขึ้นมาสูดดมและกอดไว้อย่างสุดรัก พลางคิดคำนึงถึงดวงใจที่อยู่แสนไกล นี่จองอาทำเพื่อเธอขนาดนี้เชียวหรือ มันจะเจ็บปวดเพียงใดหากต้องทำร้ายคนที่รักมาก ยุนนาไม่สามารถจินตนาการถึงความเจ็บปวดของจองอาได้

“รอฉันหน่อยนะจองอา ฉันจะกลับไปหาเธอ” ยุนนากล่าวกับตัวเองด้วยสายตามาดมั่น

เพราะรักที่มีต่อกันอย่างลึกซึ้งหรือเป็นเพียงความอุปทาน ทำให้จองอาที่ตอนนี้พักเที่ยงออกมานั่งพักผ่อนอยู่หลังร้านรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เธอเอื้อมมือไปจับจี้ผีเสื้อที่ใส่ติดตัวตลอด เหมือนดั่งความรักของยุนนานั้นลอยมาตามลม สายลมที่ปะทะใบหน้านวลจึงเหมือนสัมผัสที่คนรักฝากมาให้ เธอหลับตาพริ้มสูดเอาสายลมแห่งรักเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะเดินกลับเข้าร้านโจ๊กไปทำงานตามเดิม พอดีกับลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้าร้านมา จองอาที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่จึงเงยหน้าทักทายลูกค้า

“ยินดีต้อนรับค่ะ....” เธอถึงกับอึ้งเมื่อพบว่าลูกค้ากลุ่มนี้คือครอบครัวซิน

“ลูกแน่ใจหรอว่าร้านนี้ใช่ที่อาจารย์คิมบอก” คุณนายซินเอ่ยถามลูกชาย

“ครับแม่ ร้านนี้แน่นอนครับ” ยุนโฮตอบผู้เป็นแม่อย่างหนักแน่นเพราะเมื่อเขาเห็นจองอาก็มั่นใจได้ทันที

“เอาน่าๆ จะใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างเถอะ หิวจะแย่แล้ว” คุณซินผู้พ่อแย้งขึ้น ทั้งสามจึงนั่งลงยังโต๊ะใกล้ๆ ก่อนที่เจ้าของร้านจะมองเห็นอาการยืนแข็งทือของจองอา

“เอ้า จองอา ไปรับออเดอร์สิ” เธอสั่ง จองอาจึงเดินเข้าไปที่โต๊ะครอบครัวซินอย่างเก้ๆกังๆ

“..ระ...รับอะไรดีค่ะ” เธอกล่าวเสียงสั่นพลางก้มมองต่ำ ยุนโฮมองเธออย่างเอ็นดู

“อุ๊ยคุณ เด็กคนนี้หน้าตาน่ารักจัง” คุณนายซินหันไปกระซิบกับผู้เป็นสามี

“หนูชื่ออะไรจ๊ะ อายุเท่าไหร่เอ่ย” คุณนายซินถามอย่างเอ็นดู จองอาจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ ก่อนจะตอบไปอย่างผิดๆถูกๆ

“เออ...อายุจองอาค่ะ ชื่อสิบแปด” เธอตอบ ครอบครัวซินถึงกับฮาแตกให้ความโก๊ะของเธอ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัว ได้แต่ทำหน้างง

“งั้นพวกเราขอโจ๊กหมูสามที่นะ หนูสิบแปด” คุณซินสั่งอาหารอย่างอารมณ์ดี นั่นจึงทำให้จองอานึกได้ว่าตนพูดผิด เธอถึงกับอายหน้าแดงแต่ยิ่งสร้างความเอ็นดูให้แก่สองสามีภรรยา

“ต๊าย น่ารักจริงๆ นี่ถ้าลูกสาวป้าน่ารักแบบหนูก็ดีน่ะสิ” คุณนายซินพูดขึ้น จองอาก็ยังอายไม่เลิก เธอเลยรีบเดินเอาออเดอร์ไปให้เจ้าของร้าน ก่อนจะหลบเข้าหลังร้านไปนั่งอายอยู่คนเดียว ใจจริงอยากจะตอบกลับคุณนายซินว่า

“ลูกคุณป้าน่ารักอยู่แล้วค่ะ ถ้ามากกว่านี้หัวใจหนูคงรับไม่ไหว เพราะแค่นี้ก็รักจนล้นใจแล้ว” จองอาคิด แล้วก็นั่งหน้าแดงจนต้องเอามือขึ้นมาปิดหน้าอย่างเขินอาย

“มากินข้าวข้างนอกวันหยุดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ” คุณซินกล่าว

“นั่นสิ แบบนี้ต้องมาบ่อยๆนะคะคุณ นะยุนโฮ” คุณนายซินรีบสมทบ

“ครับแม่” ยุนโฮตอบเสียงใสด้วยใบหน้ายิ้มละมุน ก่อนที่จองอาจะยกโจ๊กมาเสริฟ ครอบครัวซินยังคงไต่ถามเธออย่างเอ็นดู
โดยมีชายคนหนึ่งแอบมองพวกเขาอยู่นอกร้าน

“ทำดีไถ่โทษหรอ” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พลางเข้ามายืนเคียงข้าง

“เปล่าซักหน่อย ฉันแค่....ใช่ ทำดีไถ่โทษ” มงโดคิดจะพูดกลบเกลื่อน แต่ก็ต้องแพ้ใจตัวเอง เพราะเขาทำเพื่อไถ่โทษจริงๆ หลังจากประจักในความรักที่จองอาและยุนนามีต่อกัน มงโดจึงแนะนำครอบครัวซินให้มาทานอาหารที่ร้านนี้เพื่อหวังให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน และเขารู้ดีว่าครอบครัวซินนั้นต้องเอ็นดูจองอาอย่างแน่นอน
อีซานที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับตกใจ เมื่อคนดื้อรั้นอย่างมงโดยอมสารภาพแต่โดยดี เขาจึงส่งยิ้มอ่อนโยนให้เป็นรางวัลแก่โจรกลับใจ

“กลับกันเถอะ” มงโดเอ่ยขึ้นพลางมองสบตาอีซาน เขาจึงพยักหน้ารับและเดินตามมงโดที่นำไปก่อน อีซานรู้สึกหนาวเพราะอากาศด้านนอกนี้เย็นไม่ใช่เล่นแถมยังต้องมายืนแอบดูอยู่นานสองนาน เขาที่ใส่เสื้อเพียงสองชั้นจึงต้องยกมือทั้งสองขึ้นมาเป่าลมร้อนใส่ มงโดที่หันไปมองอาการคนข้างหลังก็ส่ายหน้า ก่อนจะเดินมาจับมืออีซานไปข้างหนึ่ง แล้วเอามันไปซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเขา อีซานตกใจกับการกระทำของมงโดรีบชักมือกลับ แต่ถูกอีกคนขืนข้อมือเอาไว้ มงโดกุมมืออีซานในกระเป๋าไว้แน่นพร้อมทั้งออกเดินต่อ อีซานได้แต่เดินตามอย่างขัดใจ หันหน้าที่ตอนนี้เริ่มแดงจนเห็นได้ชัดหนีคนหัวรั้น ในใจก็คิดว่า “ยอมให้วันหนึ่งแล้วกัน” (ตอนนี้ยอมแค่นี้ต่อไปยอมเท่าไหร่เนี่ย)







วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

After School ตอนที่ 23


After School
ตอนที่ 23

ตอนที่ 23
แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาทำให้ร่างเล็กตื่นจากนิทราอย่างสลึมสลือ เธอครางเล็กน้อยจากอาการเจ็บปากแผลหลังจากหลับไปหลายวัน

“ยุนนา ฟื้นแล้วหรอ พ่อแม่ฮะ ยุนนาฟื้นแล้ว” ยุนโฮร้องเรียกพ่อแม่อย่างดีใจ เมื่อเห็นน้องสาวแสนรักลืมตาขึ้น หลังจากที่ลียองเอถูกควบคุมตัวเขาก็เป็นอิสระไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป

“พี่...ยุน...โฮ” เธอเรียกเขาอย่างอ่อนแรง

“เอาน้ำให้น้องดื่มซิลูก” คุณนายซินผู้เป็นแม่บอกลูกชาย ก่อนที่เขาจะหยิบแก้วน้ำพร้อมหลอดให้เธอดูดน้ำอย่างกระหาย ยุนนารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้รับน้ำ เธอหันไปมองครอบครัวที่บัดนี้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเสียทีก็ยิ้มออกมา ก่อนที่มงโดและอีซานจะเดินเข้ามาในห้อง

“ยุนนา ฟื้นแล้วหรอ” อีซานรีบเดินเข้าไปหาเธอ ตามมาด้วยมงโด

“นี่ล่ะนะ คนบ้า มักฆ่าไม่ตาย” มงโดพูดขึ้น อีซานถึงกับหันไปตบไหล่ปรามเขาทันที ยุนนาเองก็พยายามปั้นหน้าโกรธใส่แต่เพราะความอ่อนเพลียจึงดูไม่ค่อยออกนัก ก่อนจะมองไปรอบๆห้อง เพื่อกวาดสายตามองหาใครคนหนึ่ง

“แล้วจองอาล่ะ” เธอเอ่ยขึ้น มงโดและอีซานต่างมองหน้ากัน

“ใครกันหรอลูก” แม่เธอถามอย่างสงสัย

“นั่นสิ พ่อไม่เคยได้ยินชื่อ” พ่อสมทบ ยุนนาได้แต่อึ้ง เมื่อนึกได้ว่าคนในครอบครัวเธอไม่รู้จักจองอาเลยนี่น่า


หลังจากครอบครัวซินกลับไปพักผ่อน เพราะต้องดูแลเธอมาหลายคืน มงโดและอีซานเลยอาสาเฝ้าให้

“พี่ซานรู้ไหมว่าจองอาอยู่ไหน” ยุนนาเจาะจงถาม

“เธอมาให้ปากคำเมื่อสองวันก่อน แล้วก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย” อีซานตอบ

“แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน” ยุนนาซัก

“เอาน่า ไว้เธอหายดี แล้วค่อยไปหาเขาสิ” มงโดรีบตัดบท
ตลอดช่วงที่อยู่โรงพยาบาลยุนนาพยายามโทรหาจองอาตลอดเวลา หากแต่ไม่สามารถติดต่อเธอได้ เหมือนกับว่าเธอไม่ได้ใช้เบอร์นี้แล้ว จนเมื่อได้กลับมาพักที่บ้านยุนนาก็ไม่ยอมอยู่เฉย

“จะไปไหนนะยุนนา เธอยังไม่หายดีนะ” ยุนโฮร้องเรียกเมื่อเห็นยุนนากำลังจะออกจากบ้าน

“ฉันจะไปหาจองอา” ยุนนาตอบ ยุนโฮถึงกับถอนหายใจ

“พี่ไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าเธอจะต้องพบเขาให้ได้ พี่ก็จะไปด้วย” ยุนโฮพูดอย่างอ่อนโยน ยุนนาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหน้าบาน จากนั้นสองพี่น้องก็มุ่งไปยังบ้านของโจอึน

“พี่ว่าไม่น่าจะมีใครอยู่นะ” ยุนโฮกล่าวพลางมองเส้นกั้นบริเขตของตำรวจ “KEEP OUT” บ้านของโจอึนนั้นถูกยึดและตอนนี้อยู่ในระหว่างตรวจค้น ยุนนาเองก็เห็นด้วยกับพี่ชาย จึงยอมจากไป จากนั้นเธอก็ตรงไปยังคอนโดของจองอา เธอมั่นใจมากว่าจองอาต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ แต่หลังจากยืนกดออดอยู่นานก็ชักเริ่มไม่มั่นใจซะแล้ว ด้วยความร้อนใจจึงทุบประตูเสียงดัง เผื่อว่าคนข้างในอาจได้ยิน

“ยุนนา เบาๆ” ยุนโฮร้องห้าม ก่อนที่ห้องข้างๆจะเปิดประตูออกมา

“มาหาใครหนู ห้องนี้เขาย้ายออกไปแล้ว” หญิงแก่ข้างห้องบอก

“ไปไหนทราบไหมคะ” ยุนนาถามอย่างร้อนใจ

“ไม่รู้หรอก เห็นว่าห้องนี้ถูกตำรวจยึดนะ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมานะเนี่ย น่ากลัวจริงเชียวคนสมัยนี้” หญิงแก่เล่าเจื้อยแจ้ว ยุนนาได้ยินดังนั้นก็เดินคอตกออกมา อาทิตย์เริ่มตกดินแล้วเธอยังคิดไม่ตกว่าจองอาจะอยู่ที่ไหน

“เธอไปอยู่ที่ไหนของเธอนะ จองอา” ยุนนารำพึงกับตัวเอง

“ใจเย็นๆ ค่อยๆคิด เดี๋ยวก็คิดออกเอง” ยุนโฮเดินเข้ามาตบไหล่น้องสาวเป็นการให้กำลังใจ เธอจึงครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะอุทานออกมา

“คิดออกแล้ว ที่นั่นต้องเจอแน่ๆ” ยุนนาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับออกวิ่งไปยังจุดหมายอย่างมีความหวัง ยุนโฮแทบจะวิ่งตามไปไม่ทัน เธอมายังคลับแพชชั่นที่ที่จองอาเคยทำงาน หากแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อเห็นสภาพร้านที่ปิดร้าง โดยมีป้ายประกาศว่าเป็นพื้นที่ในอำนาจของตำรวจ เธอแทบล้มทั้งยืนหมดเรี่ยวแรงจะไปต่อ จึงมานั่งหมดอาลัยตายอยากที่ริมฟุตพาท

“เอ้า เติมพลังหน่อย” ยุนโฮยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้เธอ เธอยิ้มน้อยๆก่อนจะรับมาเปิดดื่ม ยุนโฮเองก็นั่งดื่มข้างๆน้องสาวริมฟุตพาทนั้นเช่นกัน

“ทำไม เขาต้องหนีฉันด้วยล่ะพี่” ยุนนาพูดอย่างเศร้าสร้อย

“พี่ว่า เขาน่าจะมีเหตุผลของเขานะ เธอต้องดูด้วยว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ปกติเท่าไหร่ ดูจากบ้านและคอนโดที่ถูกยึดนี่แล้ว พี่ว่าเขาคงลำบากน่าดูเลย” ยุนโฮพูดปลอบน้องสาวอย่างให้เหตุผล จึงทำให้ยุนนาคิดได้

“นั่นสิ เขาต้องกำลังลำบากมากแน่ๆ ฉันจะต้องตามหาเขาให้เจอ” ยุนนาพูดขึ้นอย่างมาดมั่น ยุนโฮมองน้องสาวที่มีไฟฮึดสู้อย่างเอ็นดู


เมื่อยุนนาหายดีแล้วเธอก็กลับไปเรียนตามปกติ เธอดีใจมากที่ได้ไปโรงเรียนพร้อมกันกับพี่อีกครั้ง เมื่อมาถึงโรงเรียนเพื่อนๆต่างรุมล้อมเธอ เนื่องจากเรื่องที่เธอเป็นนักสืบน้อยช่วยตำรวจจนจับผู้ร้ายรายใหญ่ได้นั้นแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียน ตอนนี้ใครๆต่างพากันนับถือเธอ ยุนนากลายเป็นขาใหญ่ประจำโรงเรียนไปเลย

“ฉันอยากกิน ขนมปังใส้แกงกระหรี่” ยุนนาพูดขึ้นกลางกลุ่มเพื่อนที่นั่งล้อมวงกันกินข้าวกลางวันในห้องเรียน โฮวอนที่ถือขนมปังใส้แกงกระหรี่อยู่ก็หน้าเจื่อน

“แต่...มันมีอันเดียวนะ” โฮวอนตอบเสียงอ่อน ยุนนาจึงใช้พลังสายตาพิฆาตใส่ โฮวอนเลยรีบส่งมันให้เธอทันที มงโดที่เดินผ่านมาเห็นกลุ่มประหลาดนี่ก็เดินเข้าไปทักหนักๆที่ท้ายทอยยุนนา ด้วยการตบเข้าให้อย่างงดงามจนเธอหน้าขมำ

“เดี๋ยวนี้ใหญ่แล้วเบ่งหรอ” มงโดพูดขึ้น ยุนนาเงยหน้าขึ้นมาพลางลูบท้ายทอยปลกๆ

“อะไรอ่ะจารย์ มาตีหนูทำไมเนี่ย” ยุนนาตะหวาดใส่

“หมั่นไส้มีไรมะ” มงโดพูดยียวน ยุนนาจึงสวมหน้ายักษ์ใส่ แต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งร่วมวงและแย่งขนมปังจากมือนักเรียนชายข้างๆไปกินหน้าตาเฉย นักเรียนคนนั้นได้แต่มองขนมปังอย่างเสียดายแต่ก็ไม่กล้าหือ

“แล้วนี่ไม่คิดอ่านหนังสือหนังหากันรึยังไง จะสอบเข้ามหาลัยกันอยู่แล้ว” มงโดพูดพลางเคี้ยวขนมปังอยู่ในปาก

“โหฝีมือระดับนี้ ไม่ต้องสอบก็มีแต่คนมาเชิญไปเข้า” ยุนนาพูดยกยอตน

“ถ้ามั่นใจขนาดนั้น จะลองสอบเข้า โดมุส ดูไหมล่ะ” มงโดพูดขึ้น ทุกคนถึงกับอึ้ง “โดมุส” มหาลัยในฝันของเด็กศิลป์ อยู่ที่ประเทศอิตาลี ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก ถ้าไม่เก่งจริงคงไม่มีทางเข้าได้

“ฮึ มันจะยากอะไร ยุนนาซะอย่าง จะ โดมุส หรือ ยู.เอ. (ยูนิเวอซิตี้ออฟอาร์ท) ก็เข้าได้ทั้งนั้นล่ะ” ยุนนาตอบอย่างไม่ยี่หระ ทุกคนต่างมองมาที่เธออย่างเหลือเชื่อ


หลังเลิกเรียนยุนนาก็ตรงมาที่เซ้นมาเรียน่า เธอมาดักรอจองอาอยู่หน้าโรงเรียน เด็กนักเรียนคนแล้วคนเล่าเดินผ่านเธอไป จนในที่สุดเธอก็พบยอดดวงใจของเธอ จองอามีท่าทีตกใจเมื่อเห็นยุนนา

“นึกว่าจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว” ยุนนาพูดขึ้นพร้อมเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าจองอา

“พักนี้ฉันยุ่งน่ะ” จองอาตอบเสียงเรียบ ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“ฉันหาเธอไปทั่วเลย” ยุนนาเล่าพลางยิ้มน้อยๆ

“หรอ” จองอาตอบประหยัดคำ

“เออ...แล้วเธอเป็นไงบ้าง เธออยู่ที่ไหนหรอ” ยุนนาถาม

“ขอตัวก่อนนะ ฉันมีธุระ” จองอาพูดตัดบทก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ยุนนามองตามอย่างงุนงง เธอไม่เข้าใจว่าจองอาเป็นอะไร นี่เธอไปทำอะไรให้เจ้าหล่อนโกรธอีกหรือเปล่า
เมื่อกลับมาถึงบ้านยุนนาก็เอาแต่นั่งถอนหายใจ

“เป็นอะไรอีกล่ะเรา” ยุนโฮเดินมาถามพลางนั่งลงข้างๆน้อง

“ฉันเจอเขาแล้วล่ะ” ยุนนาบอก

“จริงหรอ แล้วเขาเป็นไงบ้าง” ยุนโฮถามอย่างสนใจ ยุนนาได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะถอนหายใจอีกเฮือก

“เขา....ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรอ่ะ เหมือนเขาโกรธฉัน...รึเปล่า” ยุนนาตอบชวนงง

“เขาอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจล่ะมั้ง ชีวิตเปลี่ยนแปลงกะทันหันแบบนี้ เธอต้องให้เวลาเขาหน่อยนะ” ยุนโฮเสนอ ก่อนจะตบไหล่ให้กำลังใจน้อง
หลังจากนั้นยุนนาก็เทียวไปดักรอจองอาที่หน้าโรงเรียนทุกวัน แต่กลับไม่พบเธออีกเลย


ฝั่งมงโดก็พยายามติดต่อไปยังมหาลัยโดมุส เพื่อขอให้ยุนนาได้เข้าสอบชิงทุนไปเรียนที่นั่น จนในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ

“ฉันขอที่เพิ่มให้เธอได้แล้วนะ” มงโดเดินเข้ามาพูดกับยุนนาในเที่ยงวันหนึ่ง เธอได้แต่ทำหน้างง

“โดมุส ไงล่ะ ที่เหลือก็อยู่ที่เธอแล้วล่ะนะ จะมีฝีมือไหม” มงโดพูดใส่เพื่อกระตุ้นยุนนา หากแต่ปฏิกิริยาไม่เป็นไปตามที่คิด เธอแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาเข้าสอบยุนนาก็ทำมันได้อย่างสบายๆ มงโดเองก็เชื่อมั่นในตัวลูกศิษย์ว่าเธอจะทำได้แน่ เขาที่เคยไปเรียนที่นั่นมาแล้วรู้ดีว่าที่นั่นจะให้อะไรแก่เธอบ้าง แม้จะเป็นมหาลัยที่เด่นด้านการออกแบบดีไซน์ แต่นั่นกลับเป็นประโยชน์ต่อศิลปินหัวขบถแบบเขาและยุนนา การได้อยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยศิลปะที่หลากหลายจะช่วยให้เกิดจินตนาการแปลกใหม่ หากเธอได้ไปเรียนที่นั่นอนาคตศิลปินระดับโลกคงไม่ไกลเกินเอื้อม และเขามั่นใจว่าศิษย์คนนี้จะทำได้ดีกว่าที่เขาเคยทำซะอีก


ในที่สุดผลการสอบก็ออกมา ยุนนาได้ทุนไปเรียนโดมุสจนจบปริญญาตรี ซึ่งเป็นทุนที่น้อยคนนักจะได้

“เธอได้ๆ ไม่อยากเชื่อให้ตาย” มงโดร้องตะโกนเมื่อทราบข่าว

“ก็บอกแล้ว” ยุนนาพูดพลางเก๊กท่า

“โห เจ๋งว่ะยุนนา” เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“เอางี้ไหม เราไปเลี้ยงฉลองกันดีกว่า เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” โฮวอนคนขี้โอ่เสนอ

“ดีๆ ไปร้านนั้นที่เราไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนะโฮวอน ที่ผู้หญิงคนนั้นทำอยู่น่ะ” เพื่อนอีกคนกล่าวขึ้น
“ใช่ๆ จำได้ไหมยุนนา ผู้หญิงที่เธอแย่งกับเจ้าคังจุนไงล่ะ” เพื่อนตัวอ้วนกล่าวขึ้น เรียกความทรงจำของยุนนาให้นึกถึงงานเลี้ยงวันเกิดของโฮวอน ที่คังจุนเพื่อนขี้เมาของเธอทำตัวลุ่มล่ามกับจองอา

“นายหมายถึงจองอาหรอ เธออยู่ไหน ร้านอะไร” ยุนนาถามพลางเขย่าตัวเจ้าอ้วนจนกระเพื่อม มงโดได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเครียด
หลังเลิกเรียนทุกคนก็ตรงไปยังร้านดังกล่าว โดยมีมงโดขอติดตามไปด้วย

“อาจารย์ครับ ออกมาเที่ยวกับนักเรียนแบบนี้ไม่ผิดกฎโรงเรียนหรอครับ” เจ้าอ้วนคนเดิมถามขึ้น

“ไม่ผิดหรอก ถ้าเรื่องไม่ถึงหูอาจารย์คนอื่นนะ แล้วอีกอย่างอยู่นอกโรงเรียนฉันก็เป็นแค่คนธรรมดา เอ้าเรียกพี่คิมซิ” มงโดกล่าว ทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจและซ้อมเรียกชื่อพี่คิมกันยกใหญ่ มีแต่ยุนนาเท่านั้นที่ยังทำหน้าเครียด
เมื่อมาถึงร้านยังไม่ทันได้นั่ง ยุนนาก็ถามหาจองอาทันที

“ไหนล่ะจองอา” ยุนนาถามขึ้นพลางมองไปรอบๆร้าน

“จองอายังไม่มาจ๊ะน้องสาว” โฮสเตสสาวคนหนึ่งตอบ

“เพื่อนผมมันหลงเธอมากน่ะครับ” คังจุนขี้เมาเอ่ยแซวขึ้น

“แหมๆ มีแต่คนหลงจองอา ตอนนี้ใครๆก็เรียกหาแต่เธอกันทั้งนั้นล่ะจ๊ะ” โฮสเตสสาวเล่า

“โห...ยังไงก็ช่วยบอกให้เธอแวะโต๊ะเราบ้างนะครับ เดี๋ยวเพื่อนผมมันจะลงแดง” โฮวอนกล่าวอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เครื่องดื่มจะถูกยกมา ยุนนาเทเหล้าใส่แก้วจนเต็มแล้วกระดกดื่มรวดเดียวจนหมด

“เฮ้ยๆ นั่นเหล้านะไม่ใช่น้ำ ดื่มแบบนั้นนะสิถึงได้เมาพับตลอด” มงโดร้องห้าม

“นั่นสิ ยุนนา ดื่มเบาๆหน่อย เดี๋ยวก็เมาหรอก” ยุนโฮสมทบ
หากแต่เธอก็ไม่ฟังยังกระดกแก้วต่อไป จนในที่สุดจองอาก็มาถึงร้าน เธอเข้าไปนั่งกับลูกค้าประจำของเธอก่อน เขาเป็นตาแก่ตัวอ้วนหัวล้านมือปลาหมึก จองอานั่งได้ไม่นานมือเขาก็มาแมะอยู่ที่ขาอ่อนเธอ ยุนนาถึงกับเดือดดาน เดินตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อเขาและต่อยเข้าเต็มแรงจนอีกฝ่ายเลือดกบปากลงไปกองกับพื้น

“ไอ้แก่ ไอ้อ้วน ไอ้หัวล้าน ไอ้หื่น” ยุนนาด่าเป็นชุดและหมายจะเดินเข้าไปเตะซ้ำ แต่ถูกมงโดรั้งคอไว้ การ์ดของร้านรีบวิ่งเข้ามาทันที มงโดและยุนโฮจึงก้มหัวขอโทษทุกคน จากนั้นก็ลากยุนนาออกมาหน้าร้าน

“จารย์ปล่อยนะ หนูจะฆ่ามัน” ยุนนายังไม่หมดฤทธ์ ก่อนที่มงโดจะปล่อยและผลักเธอลงไปกองกับพื้น

“ให้ตายเถอะ เธอนี่จะหาเรื่องให้ได้ใช่ไหม ดูมือของตัวเองสิ ถ้ามือเธอเป็นอะไรไปจะทำไง” มงโดพูดเตือนสติ ยุนนาจึงก้มลงมองมือตัวเองที่ตอนนี้ช้ำจนออกม่วง เธอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดมันคงจะซ้น ยุนโฮนั่งลงดูมือน้องสาวอย่างเป็นห่วง

“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามอย่างห่วงใย แต่เธอกลับชักมือกลับ ก่อนที่จองอาจะตามออกมา ยุนนารีบลุกขึ้นไปหา

“จองอากลับกันเถอะ” ยุนนาจับแขนจองอาด้วยมือข้างที่ไม่เจ็บ แต่ถูกเธอสะบัดออกก่อนที่จองอาจะเบือนหน้าหนี

“เธอกลับไปเถอะ อย่ามากวนฉันอีกเลย” พูดเสร็จเธอก็เดินเข้าร้านไป ยุนนาจะเดินตามแต่ถูกมงโดรั้งไว้และลากกลับบ้านทันที


แม้มาถึงบ้านแล้วแต่ยุนนาก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์

“จารย์มายุ่งทำไม หนูจะเคลียร์กับจองอาให้รู้เรื่อง” ยุนนาตะคอกใส่มงโด

“เคลียร์หรือจะไปหาเรื่องคนอื่นเขากันแน่ ถ้าเขาเรียกตำรวจขึ้นมา เธอชวดทุนแน่” มงโดพูด

“แล้วไง หนูไม่สนหรอก หนูไม่ไปแล้ว” ยุนนาพูดอย่างไม่ยี่หระก่อนจะเดินขึ้นห้องไป มงโดถึงกับอึ้ง

“ขอโทษด้วยนะครับอาจารย์ ยุนนากำลังโมโหน่ะครับ” ยุนโฮกล่าวขอโทษพลางโค้งศีรษะ มงโดได้แต่พยักหน้าและจากไป ระหว่างทางเขาครุ่นคิดถึงคำพูดและท่าทีของยุนนา หากปล่อยไว้แบบนี้มีหวังยุนนาทิ้งทุนโดมุสแน่ๆ ในเมื่อไม่มีทางเลือกเขาก็จำเป็นต้องสวมบทตัวร้ายอีกครั้ง มงโดจึงกลับไปที่ร้านของจองอา รออยู่หน้าร้านจนเลิกงาน

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” มงโดกล่าวพลางเดินเข้าไปดักหน้าจองอาที่เพิ่งเดินออกจากร้านมา เธออารมณ์เสียเล็กน้อยที่ต้องเห็นหน้าเขาอีก

“งั้นก็รีบพูดธุระคุณมาเถอะค่ะ” จองอาตอบหน้าเชิด

“ยุนนาได้ทุนไปเรียนที่อิตาลี โดมุสน่ะรู้จักไหม” มงโดค่อนเสียงถาม

“รู้จักค่ะ” จองอาตอบอย่างขัดเคือง

“ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับยัยนั่นนะ แต่ถ้าแค่สักนิด ถ้าเธอรักยัยนั่นแค่สักนิด เธอคงไม่รั้งเขาไว้ใช่ไหม” มงโดพูดเสียงเครียด

“คุณหมายความว่ายังไง” จองอาถามอย่างสงสัย

“ฉันอยากให้เธอปล่อยเขาซะ ปล่อยยัยนั่นเป็นอิสระจากความรักจอมปลอมนี่ซะที” มงโดตอบ จองอามองเขาอย่างเคืองขุ่น ก่อนที่มงโดจะเดินจากไป


วันต่อมายุนนาได้รับโทรศัพท์แต่เช้า

“ไปเจอฉันที่นัมซันทาวเวอร์ตอนสี่ทุ่มนะ” ปลายสายพูดแค่นั้นก็วางสายไป แต่ยุนนาก็จำได้ว่าเป็นเสียงของจองอา เธอกระโดโลดเต้นดีใจยกใหญ่และรีบไปรื้อเสื้อผ้า หยิบลองแล้วลองอีกจนรกเต็มห้อง กว่าจะออกจากห้องได้ก็เกือบไปโรงเรียนสาย
วันทั้งวันยุนนาไม่เป็นอันเรียนนั่งยิ้มหน้าบานเหมือนคนบ้า ก่อนจะรีบวิ่งกลับบ้านเมื่อได้ยินเสียงออดดังเลิกเรียน เธอรีบเข้าบ้านมาอาบน้ำแต่งตัวและรีบออกไปตั้งแต่สองทุ่มเพราะคราวนี้เธอจะไม่ให้จองอาต้องรอเธออีกเป็นอันขาด


ยุนนามาถึงก่อนเวลาเกือบชั่วโมง เธอยืนรออย่างมีความสุขแหมอากาศจะเริ่มเย็นแล้วแต่ในใจเธอนั้นอบอุ่นเหลือเกิน เวลาก็ใกล้สี่ทุ่มเข้าไปทุกทีคนก็เริ่มน้อยลงไปด้วย จนในที่สุดร่างบางที่เธอปรารถนาก็ปรากฏตัวขึ้น ยุนนาถึงกับยิ้มหน้าบานที่ได้เห็นหน้าคนรักอีกครั้ง

“วันนี้มาไวเชียวนะ” จองอาเอ่ยแซว ยุนนายิ้มอายก่อนจะตอบ

“แหม จะให้มาสายตลอดเลยหรอ” ยุนนาโต้กลับอย่างอายๆ ก่อนจะมองดวงหน้าอันสวยซึ้งของจองอา วันนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ช่วยขับให้หน้าเธอขาวนวลยิ่งกว่าปกติ

“งั้นเราไปกันเถอะ” ยุนนาพูดขึ้นพลางจับแขนจองอาจะพาเดินไปด้วยกัน แต่เธอกลับขืนแขนไว้ ยุนนาจึงหันมามองจองอาอย่างงุนงง

“พอเถอะ พวกเราน่ะ พอแค่นี้เถอะ” จองอาพูดขึ้น ยุนนาถึงกับอึ้งและพยายามคิดว่าจองอาคงพูดเล่น

“พูดอะไรนะ อย่ามาอำน่า” ยุนนาพูดอย่างอารมณ์ดี จองอาจึงแกะมือที่เกาะกุมแขนเธออยู่ออก ยุนนาถึงกับใจหาย ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในความเงียบ ก่อนที่จะปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งเดินเข้ามา

“นี่หมายความว่ายังไง หมอนั่นเป็นใคร” ยุนนาถามเสียงสั่น น้ำตาพาลจะไหล จองอาก้มหน้าอย่างลำบากใจ

“เขาเป็นแฟน....”จองอากลั้นใจตอบออกไปแต่ยังไม่ทันพูดจบ ยุนนาที่ตอนนี้น้ำตาล่วงพราวก็เขย่าตัวเธออย่างแรง

“โกหก เธอโกหก มองหน้าฉันและพูดความจริงมาสิ” ยุนนาตะคอกใส่หน้าจองอาทั้งน้ำตา คนฟังแทบอยากจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าเมื่อเห็นหยดใสๆนั่น แต่ก็ต้องตัดใจพูดทำร้ายจิตใจคนรักออกไป

“ความจริงก็คือ ฉันรำคาญเธอเต็มทีแล้ว เธอคิดเหรอว่าฉันจะจริงจังกับเด็ก ม.ปลาย อย่างเธอ เธอดูแลฉันไม่ได้หรอก ต่อไปนี้...เราอย่าเจอกันอีกเลยนะ” จองอาแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองที่พูดจาเหยียบย่ำน้ำใจคนรักแบบนี้แต่ก็ทำเพื่อตัวยุนนาเอง เธอจึงแกะมือที่เกาะกุมไหล่บางเธอออกและเดินไปเคียงข้างร่างสูงของชายหนุ่มที่แต่งตัวภูมิฐาน ก่อนจะคล้องแขนกันเดินจากไป ร่างยุนนาทรุดลงกับภาพสะเทือนใจนั้นก่อนจะร้องไห้ฟูมฟาย

“ไม่จริงๆ เธอโกหก ไม่จริง” ยุนนาคร่ำครวญจนคนที่ยืนแอบดูทนไม่ไหวต้องเดินออกมาปลอบ

“ตัดใจซะเถอะ” มงโดพูดพลางนั่งลงลูบหลังยุนนา ก่อนที่เธอจะโผเข้ากอดเขาอย่างหาหลักค้ำจุนจิตใจ

“อาจารย์ ฮือๆๆๆ จองอาทิ้งหนูแล้ว” เธอร้องไห้คร่ำครวญอยู่อย่างนั้น
จองอาเองแม้จะไม่หันไปดูสภาพคนรัก แต่ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด เธอกอดแขนชายคนนั้นไว้แน่น ก่อนที่หยดน้ำตาแห่งความเสียใจจะไหลแอบแก้ม จนชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เธอมี แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นก็ตาม


หลังจากนั้นเขาพาเธอไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง

“ต้องขอโทษจริงๆนะคะ ที่ขอร้องให้คุณมาทำเรื่องแบบนี้” จองอากล่าวอย่างอ่อนน้อมด้วยดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้

“ไม่หรอก ฉันดีใจซะอีก ที่เธอเลือกฉัน แทนที่จะเป็นลูกค้าคนอื่นๆของเธอ” ชายหนุ่มตอบ จองอาทำหน้าลำบากใจ

“แม้จะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ฉันก็ดีใจนะ ที่ได้เป็นแฟนหลอกๆของเธอ แต่ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากให้มันเป็นจริงนะ” เขากล่าวพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ

“ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันคงไม่คู่ควรกับคุณหรอกค่ะ” จองอาปฏิเสธอย่างมีมารยาท ชายหนุ่มจึงหัวเราะ ฮึๆ

“ไม่ให้โอกาสกันเหมือนเดิมเลยนะ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี เขาเป็นหนึ่งในลูกค้าประจำของเธอ ด้วยความที่เขาเป็นคนสุภาพและเข้าใจอะไรง่าย เธอจึงขอร้องให้เขาร่วมแสดงละครตบตาฉากนี้

“แต่ว่า...เป็นแบบนี้จะดีแน่หรอ” ชายหนุ่มถามขึ้น

“แบบนี้ดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ มันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะทำเพื่อเขาได้” จองอากล่าวพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลริน ชายหนุ่มจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าของเขาให้เธอ

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

After School ตอนที่ 22

ตอนที่ 22

เมื่อวันปฏิบัติการมาถึงยุนนาก็ได้รับโทรศัพท์จากโจอึนแต่เช้า

“ไปที่ท่าเรือเขต 5 “โจอึนบอกเพียงแค่นั้นก็วางสายไป ยุนนาจึงรีบเตรียมตัวเพื่อออกปฏิบัติการ เธอติดวิทยุสื่อสารอันจิ๋วไว้ในหู

“พี่ซาน ได้ยินไหม” ยุนนาพูดทดสอบสัญญาณ

“ได้ยินแล้วยุนนา มันติดต่อมาแล้วหรอ” อีซานตอบกลับ

“ค่ะ มันให้ไปที่ท่าเรือเขต 5” ยุนนาตอบ

“งั้นไปเลย ไม่ต้องห่วงนะ มีสัญญาณจีพีเอสอยู่ พี่ตามเธอได้ตลอด” อีซานพูดให้เธอเบาใจ ก่อนที่เธอจะเดินผ่านครัว ซึ่งพ่อกับแม่เธอนั่งรออยู่ที่นั่นนานแล้ว พ่อเธอเดินเข้ามาขว้างทางไว้ทันที

“ถ้าฉันยังเป็นพ่อแกอยู่...ก็กลับเข้าห้องไปซะ” พ่อเธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมด้วยแม่ที่เดินร้องไห้เข้ามากอดเธอ

“อย่าไปเลยนะลูก แม่ไม่อยากเสียลูกไปอีกคน” แม่เธอกล่าวทั้งน้ำตา ยุนนาได้ยินดังนั้นก็โมโห จับไหล่แม่เขย่าเตือนสติ

“พี่ยุนโฮยังไม่ตายนะคะ แต่กำลังรอให้เราช่วยอยู่ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบ ครอบครัวเราก็จะไม่มีวันเหมือนเดิม” ยุนนาพูดเตือนสติทั้งคู่

“แต่ถ้าแกตาย ครอบครัวเราก็ไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิมเหมือนกัน” พ่อเธอสวนขึ้น เธอจึงนิ่งไป

“ถ้ามันช่วยทุกคนได้...หนูก็ยอม” เธอพูดก่อนจะเดินผ่านพวกเขาไป แม่เธอถึงกับทรุดลงร้องไห้จนพ่อต้องลงไปปลอบ ยุนนาได้แต่เดินใจแข็งมุ่งออกประตูไป

“ยุนนา? ไหวนะ” อีซานที่ได้ยินทุกคำสนทนา เอ่ยถามขึ้นอย่างเห็นใจ

“เราถอยไม่ได้แล้วนี่คะ” เธอตอบ ก่อนจะเดินพ้นประตูบ้านออกมา เมื่อออกมานอกบ้านเธอก็ขึ้นแท็กซี่ตรงไปยังท่าเรือเขต5 โดยที่ไม่รู้ว่ามีรถคนหนึ่งขับตามเธอไป

“มีรถตามเธอ คงเป็นรถคนของโจอึน” อีซานบอกผ่านวิทยุ

“หะ?”ยุนนาอุทานออกมาอย่างตกใจและหันไปมองรถข้างหลัง

“อย่า! อย่าพูดอะไร ไม่แน่คนขับแท็กซี่อาจเป็นคนของมันด้วย” อีซานกล่าว

“อ้า! ดันลืมลิปติกแท่งโปรดซะได้ แย่จัง” ยุนนากลบเกลื่อน เพื่อไม่ให้คนขับสงสัยในอาการตื่นตกใจเมื่อครู่ หากแต่อีซานกลับคิดว่ามันเป็นการกลบเกลื่อนที่ไม่เข้าท่าที่สุดจริงๆ เพราะแท้จริงแล้วเธอไม่เคยพกของแบบนั้นติดตัวอยู่แล้ว เขาถึงกับส่ายหน้าให้ไอเดียนี้
เมื่อรถแท็กซี่ขับมาถึงท่าเรือ ยุนนาก็ลงไปยืนงงอยู่ที่นั่นสักพัก ก่อนจะมีสายโทรศัพท์เข้ามา

“ไปที่โกดังท่าเรือ หาตู้คอนเทนเนอร์หมายเลข RM 541-987” โจอึนบอกก่อนจะวางสายไป ยุนนาจึงมองหาทิศทางเพื่อเดินไปยังที่หมาย เมื่อเข้ามาภายในบริเวณโกดัง เธอก็พบคอนเทนเนอร์มากมายตั้งเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ เธอพยายามมองหาหมายเลขที่โจอึนบอก ก่อนจะพบเข้ากับคอนเทนเนอร์สีเขียวอันใหญ่ ซึ่งมีหมายเลขตรงกับที่โจอึนบอก แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“รหัสเปิดคือ 13200144” เขาพูดจบก็วางสายไปอีกครั้ง ยุนนาได้แต่ยืนงงว่ามันคืออะไร ก่อนจะเหลือบไปเห็นแป้นคีย์ตัวเลขซึ่งเป็นตัวปลดล็อคคอนเทนเนอร์อันนี้ เธอกดมันตามตัวเลขที่เขาบอก ล็อคก็ถูกปลดอย่างง่ายดาย แล้วเธอจึงดึงประตูคอนเทนเนอร์ มันเปิดออกอย่างยากเย็นเพราะทั้งใหญ่และหนัก แต่ในที่สุดเธอก็เปิดมันออกจนได้ ยุนนาเดินเข้าไปภายในคอนเทนเนอร์นั้น สิ่งที่เธอพบคือ รถบรรทุกคันหนึ่ง เธอเดินเข้าไปใกล้มันเพื่อสำรวจดู ก่อนที่โทรศัพท์จะดังขึ้นอีกครั้ง

“ขับมาที่ตึกร้างเขต 9” เขาพูดจบก็วางสายไปอีก ณ จุดนี้ยุนนาเริ่มรู้สึกรำคาญโทรศัพท์ชักกระตุกนี่ซะแล้ว หากแต่เธอก็ทำตามที่เขาบอก แม้จะไม่เคยขับรถบรรทุกมาก่อนก็ตาม เมื่อรถแล่นออกจากท่าเรือไป ชายสองคนที่ตามเธอมาตลอดก็โทรไปรายงานโจอึน

“ออกไปแล้วครับท่าน” ชายคนหนึ่งบอก

“ดี พวกแกก็ขับตามมาแล้วกัน เผื่อเกิดอะไรขึ้น” โจอึนสั่งการ ก่อนที่ชายทั้งสองจะเดินกลับไปขึ้นรถ ทันใดนั้นพวกเขาก็ถูกคนจำนวนหนึ่งล็อคตัวไว้

“จับตัวได้แล้วครับ” ตำรวจนายหนึ่งรายงานไปยังอีซาน

“ดีมาก กระจายกำลังและกระชับพื้นที่ ตามเป้าหมายไปนะ” อีซานสั่งการ ในขณะที่ยุนนามุ่งหน้าไปยังที่หมาย

“ยุนนา ตอนนี้พี่จับคนที่ตามเธอได้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะ ไปตามมันบอกเลย พี่ล้อมพื้นที่ไว้หมดแล้ว” อีซานบอกให้เธอเบาใจ

“ขอบคุณค่ะ พี่ซาน” ยุนนาตอบอย่างแข็งขัน ตอนนี้ใจเธอแทบอยากจะกระโจนไปให้ถึงที่นั่นทันที และจับไอ้ชั่วนั่นซะ จะได้ช่วยจองอาและพี่ชายของเธอให้เป็นอิสระสักที

“เอาล่ะ ทุกคนไปกันเถอะ ที่เหลือฝากด้วยนะ” อีซานบอกกับผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนจะออกจากศูนย์บังคับการเพื่อตรงไปยังที่หมายเดียวกันกับยุนนา แต่มาเจอเข้ากับมงโดตรงทางออก

“นี่นาย มาที่นี่ทำไม” อีซานเอ่ยถามเมื่อเห็นมงโด

“นายคิดว่าฉันจะนอนเฉยๆอยู่บ้านได้หรอ” มงโดตอบ อีซานถึงกับถอนหายใจในความรั้นของมงโด ทั้งที่เขาก็บอกไปแล้วแท้ๆว่าให้รออยู่บ้าน เมื่อไม่มีทางเลือกอีซานจึงต้องให้มงโดติดตามไปด้วยอย่างจำใจ

“อย่ามาขว้างงานของฉันเป็นอันขาด” อีซานพูดดักมงโดไว้ ก่อนที่จะออกเดินทาง


ณ ตึกร้างเขต9 โกดังเก็บยาเสพติดของโจอึน

“ที่นี่มีอะไรหรอคะ ทำไมท่านต้องพาฉันมาที่นี่ด้วย” จองอาถามขึ้น เมื่ออยู่ๆก็ถูกพามายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย

“ฉันแค่...มีอะไรจะเซอไพร์เธอนิดหน่อยน่ะ” โจอึนตอบด้วยใบหน้าอ่อนโยน แต่คนฟังกลับรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างประหลาด ไม่นานนักรถบรรทุกคันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาภายในตึก

“นั่นไง เซอไพร์ของเธอ” โจอึนพูดพลางชี้ไปยังรถที่แล่นเข้ามา จองอาหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าใครลงมาจากรถ

“ยุนนา” เธอร้องทัก คนถูกเรียกจึงหันไปมองตามต้นเสียง

“จองอา ทำไมเธอมาอยู่นี่” ยุนนาไม่คาดคิดว่าโจอึนจะพาเธอมาด้วย

“ทำได้ดีมากยุนนา ฉันมองคนไม่ผิดจริงๆ” โจอึนพูดอย่างอารมณ์ดีพลางเดินเข้าไปหายุนนา

“แล้วข้อตกลงล่ะ” ยุนนาทวงสัญญา โจอึนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะจับต้นแขนของจองอา ทำท่าจะผลักร่างเธอให้ยุนนา แต่ทันใดนั้นก็ชักปืนขึ้นมาจ่อไปที่ยุนนาพร้อมดึงจองอากลับ

“นี่แก...ไอ้ตอแหล” ยุนนาสบถเมื่อถูกโจอึนหักหลัง

“เป็นยังไงล่ะ เวลาถูกคนอื่นหักหลังน่ะ” โจอึนเย้ยหยัน

“แย่แล้ว ยุนนาอยู่ในอันตราย” อีซานที่มองเหตุการณ์ผ่านกล้องสอดแนมอยู่อุทานออกมาเมื่อเห็นว่ายุนนาถูกปากกระบอกปืนจ่อ

“ยุนนา พี่จะบุกแล้วนะ พอพี่ให้สัญญาณเธอรีบหลบไปหลังรถเลยนะ เอาล่ะนะ 1 2 3” สิ้นเสียงยุนนาก็รีบวิ่งไปหลบอยู่หลังรถ พร้อมกับที่เหล่าตำรวจซึ่งล้อมพื้นที่นั้นไว้แสดงตัวเข้าจับกุม ลูกน้องของโจอึนต่างยิงต่อสู้ โจอึนอาศัยจังหวะช่วงชุลมุนลอบออกไปด้านหลังตึก พร้อมดึงจองอาไปด้วย หาแต่ยุนนาสังเกตเห็นเข้าพอดี

“พี่ซาน โจอึนมันจับจองอาหนีไปด้านหลังแล้ว” ยุนนาบอกผ่านวิทยุ ก่อนจะวิ่งตามโจอึนไป มงโดได้ยินดังนั้นก็แย่งวิทยุจากมืออีซานมา

“นี่! เธอห้ามตามมันไปเด็ดขาดนะ พวกฉันกำลังไป นี่...ยัยบ้าฟังอยู่ไหม” มงโดตะโกนใส่วิทยุ หากแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เพราะตอนนนี้ยุนนาวิ่งตามโจอึนไปหลังตึกแล้ว เมื่อมงโดและอีซานเข้ามาสู่ภายในตึกต่างก็มองหาร่างของยุนนา แต่ก็ไม่พบทั้งคู่จึงวิ่งไปด้านหลังตึกตามที่ยุนนาบอก ในขณะที่ตำรวจคนอื่นๆกำลังยิงปะทะกับลูกน้องของโจอึน เมื่อยุนนาวิ่งมาด้านหลังตึกก็ทันเห็นหลังโจอึนอยู่ไวๆ

“โจอึน หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้ชั่ว” ยุนนาตะโกนไล่หลัง โจอึนจึงหยุดและหันมาทางเธอ

“ปล่อยจองอาเดี๋ยวนี้” ยุนนาสั่งเสียงแข็ง

“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ฉันไม่มีวันปล่อยจองอาไปให้ใครหรอก ตายซะเถอะแก!” โจอึนพูดก่อนจะลั่นไก

“ไม่!” จองอาร้องห้ามและผลักมือข้างที่ถือปืนของโจอึน ลูกกระสุนจึงไม่ถูกร่างของยุนนา โจอึนโมโหจึงตบหน้าเธอเต็มแรงจนร่างบางลงไปกองกับพื้น ยุนนาเห็นดังนั้นจะวิ่งเข้ามาช่วย แต่โจอึนกลับจ่อปืนไปที่เธออีกครั้ง

“คราวนี้ฉันไม่พลาดแน่” เขากล่าวก่อนจะลั่นไก หากแต่โดนอีซานที่วิ่งมาทันพอดี ยิงสวนเข้าที่แขน แต่นั่นไม่สามารถล้มโจอึนได้ เขายิงสวนกลับไปที่อีซาน กระสุนเข้าที่หัวไหล่ขวาอีซานจึงล้มลง มงโดตกใจกับภาพที่เห็นวิ่งเข้าไปหาร่างอีซานทันที โจอึนฉวยโอกาสนี้หันกระบอกปืนกลับไปที่ยุนนาอีกครั้ง และคราวนี้คงไม่มีใครขวางเขาได้ เมื่อจองอาเห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปขวางวิถีกระสุน หากแต่ยุนนาก็ไม่ปล่อยให้เธอทำเช่นนั้น ยุนนาวิ่งเข้าไปกอดร่างบางไว้กระสุนจึงฝังเข้าที่หลังของเธอ เลือดแดงฉานไหลเปื้อนมือจองอา ร่างของยุนนาค่อยๆทรุดลงกับพื้น

“ยุนนาๆ” จองอาร้องเรียกทั้งน้ำตา พลางกอดร่างโทรมเลือดไว้ปานจะขาดใจ มงโดจึงหยิบปืนของอีซานขึ้นมายิงไปที่ท้องของโจอึน จนล้มตึงลงไปกับพื้นหากแต่ไม่สะใจมงโด เขาหมายจะเดินเข้าไปยิงซ้ำ

“อย่า...อย่ามงโด อย่าฆ่าเขา” อีซานร้องห้ามอย่างอ่อนแรง ก่อนที่มงโดจะตัดใจไว้ชีวิตโจอึน เขาเก็บปืนของโจอึนและวิ่งเข้าไปหาร่างของอีซาน

“นายเป็นยังไงบ้าง” มงโดถามอย่างห่วงใย
อีซานได้แต่ส่ายหน้า ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะตอบแล้ว ก่อนที่ตำรวจนายอื่นๆจะวิ่งตามมาสมทบ ยุนนา อีซานและโจอึนจึงถูกนำส่งโรงพยาบาล


จองอาและมงโดนั่งรอหน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย ก่อนที่ร่างของอีซานจะถูกเข็นออกมา มงโดจึงรีบวิ่งเข้าไปหาร่างนั้น

“ซานนายเป็นไงมั่ง” มงโดถามกับร่างที่นอนหลับเพราะยาสลบ

“คนไข้ปลอดภัยดีค่ะ กำลังจะย้ายไปห้องพัก” นางพยบาลคนหนึ่งบอก

“แล้วผู้หญิงอีกคนล่ะคะ” จองอาเอ่ยถามขึ้น นางพยาบาลทำหน้าลำบากใจที่จะตอบ

“เธออาการสาหัสมากค่ะ กระสุนฝังใน ดูเหมือนจะลึกมากและโดนอวัยวะสำคัญ ตอนนี้คุณหมอกำลังเร่งช่วยอยู่ค่ะ” นางพยาบาลตอบก่อนจะเข็นเตียงอีซานไปห้องพักฟื้น มงโดได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง ใจจริงเขาอยากจะตามไปดูแลอีซานแต่ยุนนายังไม่พ้นขีดอันตรายเขาจึงต้องรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินต่อไป จองอาเองเมื่อได้ยินที่นางพยาบาลพูดเธอก็แทบยืนไม่อยู่เอาแต่นั่งร้องไห้ จนมงโดรู้สึกรำคาญขึ้นมา

“ยัยนั่นไม่มีค่าพอกับน้ำตาเธอหรอก” มงโดเอ่ยขึ้น จองอาถึงกับอารมณ์สะดุด งุนงงกับคำพูดของเขาบวกโมโหเล็กน้อย

“คุณหมายความว่ายังไง” จองอาถามอย่างเอาเรื่อง

“ก็หมายความว่า เด็ก ม.ปลายธรรมดาๆอย่างยัยนั่น ไม่เหมาะกับผู้หญิงแบบเธอหรอก” มงโดพูดเน้นเสียงเสียดสี จองอาผุดลุกขึ้นอย่างมีอารมณ์

“ฉันว่าอย่าเสียเวลาเลย เธอรีบไปหาเสี่ยคนใหม่เถอะ ยังไงโจอึนก็ไม่รอดแน่” มงโดยังยียวนต่อ จองอาโกรธจนแทบระเบิด หากแต่ประตูห้องฉุกเฉินที่เปิดออกก็เรียกความสนใจของคนทั้งคู่ไป มงโดและจองอารีบเดินเข้าไปถามหมอหนุ่มคนหนึ่งที่เดินออกมา

“คุณหมอครับ ผู้หญิงที่ถูกยิงเป็นยังไงบ้างครับ” มงโดถาม

“อาการเธอหนักครับ แล้วก็...เรามีเลือดไม่พอ” หมอตอบด้วยใบหน้าตึงเครียด

“เลือดหรอครับ เอาของผมสิครับ ผมกรุ๊ปเดียวกับเธอ” มงโดเสนอ หมอจึงรีบพาเขาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แต่ก่อนจะเข้าห้องเขายังหันมาสบตาเย้ยหยันจองอาให้เจ็บใจอีก เธอได้แต่เก็บอารมณ์คุกรุ่นนี้ไว้ในอก เพราะตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรยุนนาได้ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้ยุนนาต้องบาดเจ็บขนาดนี้ เธอได้แต่ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ให้ช่วยคุ้มครองคนรักของเธอด้วยเถอะ
วลาผ่านไปครู่ใหญ่การให้เลือดก็เสร็จสิ้น มงโดจึงเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน จองอาจะเดินเข้าไปถามอาการแต่ก็ช้ากว่าคุณซินและคุณนายซินที่เพิ่งมาถึงและตรงเข้าไปถามมงโดทันที

“อาจารย์คิมคะ ยุนนาเป็นยังไงบ้าง” คุณนายซินเอ่ยถามน้ำตาซึม

“ปลอดภัยแล้วล่ะครับ ผมให้เลือดเธอ คุณหมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว” มงโดตอบอย่างอ่อนโยน

“โอ้ ขอบคุณพระเจ้า” คุณนายซินโผเข้ากอดมงโด คุณซินเองก็ตบหลังตบไหล่ขอบอกขอบใจเขายกใหญ่ จองอาที่มองภาพนั้นอยู่ก็รู้สึกสะท้อนใจ มงโดนั้นเหนือกว่าตัวทุกอย่าง เป็นที่พึ่งให้แก่ยุนนาและคอยช่วยเหลือเสมอ ผิดกับเธอที่นำแต่เรื่องมาให้ แล้วเขายังสนิทสนมกับครอบครัวยุนนาอีก เธอเสียอีกที่เป็นคนแปลกหน้าของครอบครัวนี้ เธอคงไม่มีทางสู้เขาได้เลย เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเดินจากไปอย่างเงียบๆ อย่างน้อยก็วางใจว่าคนที่เธอรักปลอดภัยแล้วและอยู่กับคนที่พึ่งพาได้


ขณะเดียวกัน ลียองเอที่รู้ข่าวการจับกุมตัวโจอึน ก็กระวนกระวาย

“เป็นยังไงบ้าง ได้ความว่ายังไง” ยองเอถามอย่างร้อนใจ

“โกดังของเราถูกควบคุมแล้วครับ โจอึนเองก็บาดเจ็บตอนนี้ถูกส่งไปโรงพยาบาล” ลูกน้องคนหนึ่งของเธอรายงาน เธอครุ่นคิดสักครู่

“ส่งคนไปจัดการโจอึนซะ ถ้าไม่มีเขาพวกนั้นก็สาวมาถึงฉันไม่ได้หรอก” เธอสั่งการอย่างเฉียบขาด ก่อนที่ลูกน้องจะปฏิบัติตามสั่ง


เช้าวันต่อมาอีซานก็รู้สึกตัว เขารีบเปลี่ยนชุดเตรียมจะออกไปปฏิบัติงานต่อ พอดีกับที่มงโดกลับจากซื้ออาหารเช้าเข้ามาทาน

“นี่นายจะทำอะไรนะ” มงโดเอ่ยถามทันทีที่เปิดประตูเข้ามา

“ฉันก็จะไปทำงานนะสิ” อีซานตอบพลางเช็คปืนของตน

“นี่ๆ เดี๋ยวนะ ฉันไม่ยอมให้นายไปเด็ดขาด” มงโดเข้ามาขวาง อีซานมองหน้าเขาอย่างเซ็งๆ

“งั้นก็ไปด้วยกัน” อีซานบอกก่อนจะลากมงโดออกมาด้วย เมื่อพ้นห้องออกมาอีซานก็โทรหาลูกน้องทันที

“โจอึนอยู่ที่ไหน” อีซานพูดกับปลายสาย

“ชั้น4ครับ เราส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแลแล้วครับ” ปลายสายตอบ

“ดี แล้วลียองเอล่ะ” อีซานถามต่อ

“ตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ครับ” ปลายสายตอบเสียงอ่อน

“โธ่ เดี๋ยวก็หนีไปได้หรอก เดี๋ยวฉันจะเข้าไปที่ศูนย์นะ เตรียมกำลังไว้ให้ด้วย” อีซานสั่งการ ก่อนจะกดลิฟท์
ลงไปชั้นล่าง ระหว่างเดินออกจากลิฟท์เขาสวนกับหมอหนุ่มคนหนึ่ง จึงเปลี่ยนใจกะทันหัน เดินกลับเข้าไปในลิฟท์อีกครั้ง

“นี่นายเป็นบ้าอะไรเข้ามาอีกทำไมเนี่ย” มงโดบ่นอุบกับพฤติกรรมเข้าใจยากของอีซาน

“คุณหมอจะไปชั้นไหนครับ” อีซานถามเสียงเย็นกับหมอหนุ่ม

“ชั้น...ชั้น4ครับ” หมอหนุ่มตอบตระกุกตระกัก อีซานจึงกดชั้นให้แก่เขาพร้อมกับกดชั้น5ให้แก่ตัวเอง มงโดได้แต่มองพฤติกรรมน่าสงสัยของอีซานอย่างเงียบๆ ก่อนที่ลิฟท์จะจอดที่ชั้น4 หมอหนุ่มจึงเดินออกจากลิฟท์ไป เมื่อประตูลิฟท์ปิดอีซานก็ชักปืนออกมา

“นี่ๆ...นายชักปืนออกมาทำไม” มงโดโวยวาย

“นายรออยู่ในนี้นะ” อีซานพูดก่อนจะวิ่งออกจากลิฟท์ไปเมื่อมันมาจอดที่ชั้น5 เขาวิ่งลงบันใดไปชั้น4 ทันเห็นหลังไวๆของหมอหนุ่มคนเมื่อกี้เดินเข้าห้องคนไข้ที่มีตำรวจเฝ้าอยู่หน้าห้อง เขาจึงรีบวิ่งตรงไปยังห้องนั้น เมื่อตำรวจหน้าห้องเห็นชายแปลกหน้าวิ่งถืออาวุธเข้ามาก็ชักปืนขึ้นมา แต่ก็ต้องลดปืนลงเมื่ออีซานโชว์ตราประจำตัว

“เงียบๆ คนร้ายอยู่ข้างใน ข้างในมีใครเฝ้าอีกไหม” อีซานถาม

“ไม่มีครับ” นายตำรวจตอบหน้าตาตื่น

“เอาล่ะ งั้นคุณอยู่ข้างหลังผม พร้อมนะ 1 2 3” อีซานนับก่อนจะถีบประตูเข้ามา เขาจ่อปืนไปยังหมอเก๊ที่กำลังจะฉีดยาพิษใส่ในน้ำเกลือ

“วางเข็มลงซะ” อีซานบอก แต่คนร้ายขัดขืนทิ่มปลายเข็มลงไปที่สายน้ำเกลือ อีซานจึงยิงเข้าที่แขนก่อนที่นายตำรวจจะเข้าไปล็อคตัวคนร้ายไว้ มงโดที่ได้ยินเสียงปืนก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา เมื่อเห็นอีซานปลอดภัย เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ให้ตายเถอะ นายช่วยอยู่ห่างๆจากปืนบ้างได้ไหม” มงโดพูดพลางส่ายหน้า อีซานได้แต่ยิ้มชอบใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนร้ายในคราบหมอที่ตอนนี้ถูกใส่กุญแจมือเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าจะปลอมตัวก็ให้มันเนียนหน่อย หมอผู้ชายเขาไม่ใส่ตุ้มหูกันหรอก” อีซานพูดใส่คนร้าย ก่อนที่จะถูกควบคุมตัวไป

“เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ” อีซานพูดกับมงโด ก่อนจะตรงไปยัง ปปส. และนำกำลังไปจับลียองเอ ถึงที่ทำการ
ของหล่อน
เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานเธอทันที

“คุณลียองเอ คุณถูกจับแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะคำพูดของคุณจะใช้ปรักปรำคุณในชั้นศาล” อีซานอ่านสิทธิ์อย่างกวนๆให้เธอฟัง ยองเอได้แต่หัวเราะ

“ผบ. ดูเหมือนว่าสมองของคุณมันจะน้อยพอๆกับอายุของคุณเลยนะ ที่โรงเรียนตำรวจเขาไม่ได้สอนหรอว่าจะจับคนมันต้องมีหลักฐานน่ะ” ยองเอพูดด้วยใบหน้ายิ้มอย่างใจเย็น

“แล้วหลักฐานนี้พอจะจับคุณได้ไหม” อีซานโชว์ภาพวาดของยุนนา ยองเอถึงกับหน้าเสียก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“รูปกิ๊กก๊อกแบบนี้ มันใช้ในชั้นศาลไม่ได้หรอกนะ” เธอแย้งอย่างอารมณ์ดี

“แล้วถ้าเป็นคนที่วาดรูปนี้ล่ะ จะใช้เป็นพยานในชั้นศาลได้ไหม” มงโดเอ่ยขึ้นบ้าง ยองเอได้แต่ทำหน้างง เพราะไม่เข้าใจว่าพวกนี้จะไปเอาคนตายมาขึ้นศาลได้อย่างไร ก่อนที่อีซานจะพลิกกระดาษด้านหลังให้เธอดู เธอมองมันก่อนจะทำตาโต “ซินยุนนา”

“ใช่คนที่เขียนนะไม่ใช่เด็กผู้ชายที่เธอส่งคนไปฆ่าหรอก แต่เป็นเด็กผู้หญิงที่ตอนนี้กำลังรอลากคอเธอเข้าคุกอยู่ยังไงล่ะ” มงโดพูดเย้ยหยัน ก่อนที่ตำรวจคนอื่นๆจะเข้าไปรวบตัวเธอ

“อ่ะจริงสิ ผมมีข่าวดีมาบอกอีกเรื่อง” อีซานกล่าวพลางเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ

“โจอึนยังไม่ตาย” ลียองเอได้ยินดังนั้นก็ตาโตหน้าซีด อีซานกลับยิ้มอย่างสะใจ ก่อนที่เธอจะถูกนำตัวไป

“โทษทีนะ ลืมบอกว่าเป็นข่าวดีของผม ไม่ใช่คุณ” อีซานตะโกนไล่หลัง ก่อนที่จะหันไปยิ้มกับมงโด ในที่สุด
ก็จัดการคนชั่วพวกนี้ได้

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

After School ตอนที่ 21

After School
ตอนที่ 21

โจอึนที่กลับจากการถูกควบคุมตัว เมื่อถึงบ้านก็ถามหาจองอาทันที

“จองอาอยู่ไหน” เขาถามกับพ่อบ้านที่มารอรับ

“เอ่อ...คือ...คุณผู้หญิงยังไม่กลับเลยครับ” พ่อบ้านตอบเสียงเบา

“ยังไม่กลับ? หมายความว่ายังไง” โจอึนซัก

“เธอออกไปตั้งแต่เมื่อคืน แล้วยังไม่กลับมาเลยครับ” พ่อบ้านขยายความ

“ออกไปไหน ไปกับใคร” โจอึนถามเสียงดัง

“เอ่อ...ไม่ทราบว่าไปไหนครับ แต่เธอออกไปคนเดียว” พ่อบ้านตอบเสียงสั่น โจอึนมองเขาด้วยสายตาแทบกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะขึ้นรถและแล่นออกจากบ้านไป ระหว่างนั่งในรถเขาก็ครุ่นคิดว่าจองอาจะอยู่ที่ไหน ก่อนจะออกคำสั่งกับคนขับรถ

“ไปคอนโดของจองอา” เขาสั่งเสียงเรียบ ไม่นานนักเขาก็มาถึงที่หมายและตรงไปยังห้องของเธอ เขากดออดอยู่นานแต่ไม่มีคนเปิด เลยลองหมุนลูกบิดดู ปรากฏว่าห้องไม่ได้ล็อค เขาจึงเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ ตั้งแต่ซื้อห้องนี้ให้แก่จองอา เขาก็ไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกเลย เมื่อได้มีโอกาสเข้ามาที่นี่อีกครั้งเขาจึงมองอย่างสำรวจ ก่อนจะเหลือบไปเห็นประตูห้องนอนที่เปิดอยู่ จึงเดินเข้าไปในห้องนั้น ก็พบร่างของจองอานอนอยู่บนเตียง

“จองอาๆ เป็นยังไงบ้าง” เขาเดินเขามาดูอาการเธอ ด้วยการเอามืออังหน้าผากก็รู้สึกถึงความอุ่น จึงรู้ได้ว่าเธอเป็นไข้ และสังเกตเห็นยาที่โต๊ะหัวเตียงพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็ก เขาจึงหยิบผ้าขึ้นมาก่อนจะนำมันไปชุบน้ำใหม่และนำกลับมาวางที่หน้าผากเธออีกครั้งพร้อมห่มผ้าให้เธออย่างดี

“มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย” เขามองเธอและพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นไปเดินสำรวจดูห้องนอนของเธอ เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สังเกตเห็นครีมบำรุงผิวมากมายที่วางเรียงอยู่ซึ่งล้วนคุ้นตาทั้งสิ้น เพราะที่ห้องนอนจองอาในบ้านเขาเองก็มีขวดลักษณะเดียวกันนี้วางอยู่เช่นกัน ทำให้เขานึกขำและไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้เยอะขนาดนี้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นกระดาษม้วนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังขวดเครื่องสำอางที่วางอยู่มากมาย เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู เมื่อคลี่ออกก็พบภาพของหญิงสาวที่กำลังสีไวโอลินอยู่ เขารู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวในภาพคือจองอาและรู้เช่นกันว่านี่คือผลงานของใคร ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นวันที่ที่ลงตรงส่วนล่างของภาพวาด เขาก็ถึงกับจับกระดาษมือสั่นด้วยความโกรธ ก่อนจะหันไปยังร่างที่นอนอยู่

“นี่สินะ เหตุผลที่เธอไม่ยอมเป็นของฉัน” โจอึนพูดอย่างเครียดแค้น
ขณะเดียวกันยุนนาที่จำใจจากจองอามาก็มานั่งดื่มเหล้ากับมงโดในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง

“จารย์ไม่เข้าใจ...หนู...หนูเนี่ยรักเขา บูชาเขา ยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา...แต่เขาก็ไม่เลือกหนู ฮือๆๆๆ” ยุนนาพรั่งพรูความอัดอั้นในใจหลังเหล้าเข้าปากจนได้ที่ มงโดที่ทนฟังอย่างจำใจรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ในร้านที่จับจ้องมายังโต๊ะของเขา เพราะคนขี้เมาที่พูดเสียงดังไม่เกรงใจใคร

“เบาๆหน่อย ยัยบ้า...คนมองทั้งร้านแล้ว” มงโดเอ็ดใส่ หากแต่คนฟังไม่สนใจกระดกเหล้าเข้าปากลูกเดียว และร้องไห้ฟูมฟายอีกยกใหญ่ ก่อนจะเมาจนพับไปให้มงโดแบกกลับบ้านอีกตามเคย เมื่อมาถึงบ้านมงโดก็พบอีซานที่กลับมาก่อนนานแล้ว

“อ่ะเป็นอะไรมาเนี่ย” อีซานเอ่ยถามเมื่อมงโดวางร่างของยุนนาไปยังโซฟาที่ประจำของเธอ

“จะอะไร ก็เมาเหล้าบวกเมารักอ่ะดิ” มงโดตอบ

“หะ?” อีซานที่ไม่ทันมุขจึงร้องอย่างงุนงง

“อย่าไปใส่ใจเลย วันนี้นายเหนื่อยมามากแล้ว” มงโดพูดเฉเรื่องอื่น พลางจับอีซานให้นั่งลงยังโซฟาอีกด้าน

“ฉันทำอาหารให้กินเอาไหม” มงโดเสนอด้วยเสียงอันอ่อนโยน

“นายทำเป็นหรอ” อีซานถึงกับงง เพราะไม่คิดว่าคนอย่างมงโดจะจับตะหลิวเป็น ก่อนที่มงโดจะหยิบมือถือขึ้นมาโชว์

“ทำไม่เป็น แต่ฉันโทรเป็น” มงโดเฉลย ก่อนจะโทรสั่งบะหมี่เจ้าประจำที่อีซานชอบมาทานกันสองคน (วิ๊ดวิ้วในที่สุดก็ได้เขียนฉากหวานๆของสองคนนี้) เมื่อบะหมี่มาถึงมงโดก็โซ้ยอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่อีซานนั่งมองคนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อมงโดรู้สึกว่าตนโดนจ้องอยู่ก็เงยหน้าขึ้น อีซานเห็นปากที่เปื้อนมอมจากการโซ้ยบะหมี่ก็หลุดขำออกมา มงโดได้แต่ทำหน้างงกับอาการคนตรงหน้า ก่อนที่คนเส้นตื้นจะหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้เขาด้วยใบหน้าอมยิ้ม

“นายเนี่ย ไม่รู้จักโตจริงๆ” อีซานบ่นทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนที่มงโดจะกุมมือนั้นไว้

“นายจะได้ดูแลฉันตลอดไปไง” มงโดพูดเสียงนุ่ม ทั้งคู่ต่างมองสบตากันและกัน ทันใดเสียงไม่พึงประสงค์ก็ดังขึ้น

“จารย์ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจ...หนูรักจองอา...จองอา....” ยุนนาละเมอเสียงดัง ทำให้อีซานรีบชักมือกลับ มงโดได้แต่ทำหน้าเสียอารมณ์ ใจจริงอยากจะเดินไปเขี่ยคนขี้เมาให้ตกโซฟาหรือตีให้สลบไปเลยด้วยซ้ำ (โธ่กว่าจะหาโอกาสได้ หนูนานะหนูนา ยังงี้แค้นต้องชำระใช่ไหมมงโด)
ณ ห้องของจองอา เธอเริ่มรู้สึกตัวแล้วจึงค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างของชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ปลายเตียง เขาหันมามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน

“ตื่นแล้วหรอ” เขาทักด้วยเสียงนุ่ม ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยพยุงเธอลุกขึ้นนั่ง จองอารู้สึกงุนงงและตกใจที่โจอึนมาอยู่ที่นี่ เธอวิตกว่าเขาจะพบเข้ากับยุนนาหรือไม่ เขาทำอะไรยุนนาหรือเปล่า

“เดี๋ยวทานข้าวต้มหน่อยนะ เธอนอนมาทั้งวันเลย คงหิวแย่” เขาบอกก่อนจะเดินไปยังครัว นำข้าวต้มที่ต้มเองกับมือมาให้เธอ ไม่นานก็เดินกลับเข้ามาพร้อมชามข้าวต้มร้อนๆ เขาเป่าไล่ความร้อนก่อนจะป้อนใส่ปากเธอ จองอาจำยอมกลืนมันลงคอ ในสมองก็ยังสับสนและเฝ้าครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากแต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะเอ่ยถามคนตรงหน้านี้ได้ หลังจากป้อนข้าวเสร็จโจอึนก็พาเธอกลับบ้าน เมื่อได้อยู่ลำพังในห้องจองอาก็ทนความสงสัยไม่ไว้ เธอตัดสินใจกดโทรศัพท์ออกไปหายุนนาทั้งที่ไม่ได้โทรไปนานแล้ว รอสายอยู่นานกว่าจะมีคนรับ

“ฮัลโหล! ยุนนาอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีรึเปล่า” จองอารีบถามทันทีที่มีคนรับ หากแต่เสียงตอบกลับไม่ใช่คนที่เธอโทรหา

“เธอปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่กับฉัน” เป็นมงโดนั่นเองที่รับสาย เธอตกใจด้วยไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนรับ

“เอ่อ...ยุนนา...คือฉันขอคุยกับเขาได้ไหมค่ะ” จองอาพูดเสียงดั่งอ้อนวอน

“ได้ซี้ ถ้าเขาตื่นขึ้นมาพูดกับเธอได้นะ” มงโดพูดยียวน

“เขา...เขาหลับแล้วหรอค่ะ” จองอาถามเสียงสั่น

“ใช่...หลับปุ๋ยอยู่ข้างๆฉันนี่แหละ เฮ้ยุนนามีคนจะคุยด้วยแหนะ” มงโดพูดใส่จองอาพร้อมเขย่าตัวยุนนา หากแต่เธอก็เมาเกินกว่าที่จะรู้เรื่องได้ จึงได้แต่ตอบเสียงงัวเงียเหมือนคนง่วงนอน จองอาเองก็ได้ยินเสียงนั้น ยิ่งทำให้เธอเชื่อคำพูดของมงโดเข้าไปใหญ่

“ได้ยินแล้วนะ” มงโดถาม

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆอย่างขัดอารมณ์และจะกดวาง หากแต่มงโดพูดสวนขึ้น

“หวังว่าเธอคง...จะไม่โทรมาอีกนะ และจะยิ่งดีมากเลย ถ้าเธอเลิกยุ่งกับเขาสักที” มงโดพูดเสียงเข้มก่อนจะกดวางสายใส่จองอา เธอถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ใจจริงอยากโต้ตอบกลับไปแต่ปลายสายกลับวางไปซะก่อน อารมณ์คุกรุ่นด้วยความโมโหจึงอัดแน่นอยู่ในร่างบาง ก่อนที่เธอจะไปอาบน้ำเพื่อให้อารมณ์เย็นลง หากแต่เมื่อเปลื้องผ้าออกรอยแดงตามร่างกาย ก็ฟ้องถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ยิ่งทำให้เธอสะท้อนใจ เพราะคนที่สร้างรอยพวกนี้ตอนนี้กลับไปนอนเคียงข้างชายอื่น ความเสียใจและความโกรธแค้นทำให้เธอระบายออกด้วยการขัดถูรอยเหล่านั้นอย่างรุนแรง หวังจะลบร่องรอยที่คนใจดำทำไว้ หากแต่มันกลับยิ่งสร้างรอยแดงมากขึ้นกว่าเก่าจนตอนนี้ตัวเธอแดงไปทั้งร่าง ก่อนที่เธอจะทรุดลงอย่างหมดแรงและร้องไห้ฟูมฟาย

ขณะเดียวกันนั้นโจอึนกำลังคุยโทรศัพท์กับชายคนหนึ่งอยู่

“เป็นยังไงบ้าง” โจอึนถาม

“ไม่ต้องห่วงครับท่าน พวกเขาไม่พูดอะไรแน่” ชายปลายสายบอก

“หลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ตั้งข้อหาได้ไม่มากนัก ผมช่วยเขาได้แน่ครับ” เขาเสริม ชายคนนี้คือทนายที่โจอึนให้ไปดูแลคดีของผู้ดูแลบ้านที่ถูกจับ

“เด็กยุนนานั่นละ” โจอึนถามขึ้น

“ไม่พบครับท่าน เธอไม่ได้ถูกจับมาด้วย” ทนายหัวใสตอบ โจอึนรู้สึกสงสัยเมื่อได้ยิน

“ดองกูว่า คุณผู้หญิงพาเธอออกไปก่อนที่ตำรวจจะบุกครับ” ทนายเล่าเรื่องที่ฟังจากดองกูหรือผู้ดูแลบ้านนั่นเอง โจอึนกำหมัดแน่นเมื่อได้ยิน ก่อนจะตัดสายไป เขาทุบมือลงที่โต๊ะเต็มแรง กัดกรามแน่นด้วยความแค้นเต็มอกจากการถูกคนที่รักกับคนที่เขาไว้ใจหักหลัง

“ถึงเธอจะไม่ยอมเป็นของฉัน ฉันก็ไม่มีวันยอมให้เธอเป็นของใครหรอกจองอา” เขาพูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น
เช้าวันต่อมายุนนาตื่นขึ้นด้วยอาการปวดหัวตุบๆเช่นเคย ก่อนจะได้ยินเสียงคนสนทนากันอยู่ที่โต๊ะอาหาร จึงเดินตามเสียงนั้นไปก็พบมงโดและอีซานกำลังทานอาหารเช้ากันอยู่

“ยุนนา ตื่นแล้วหรอ เป็นยังไงบ้าง” อีซานร้องทักเมื่อเห็นเธอเดินโซเซมา เขารีบเดินไปประคองเธอมานั่งและจัดอาหารเพิ่มให้เธออีกที่พร้อมกับชามะนาวผสมน้ำผึ้งที่เขามักทำให้เธอทุกครั้งที่เมา มงโดมองภาพที่อีซานดูแลยุนนาอย่างกระตือรือร้นแล้วก็หมั่นไส้

“ตื่นมาก็มีคนดูแลเลยนะ ยัยขี้เมา” มงโดพูดใส่ ยุนนาหันมามองเขาด้วยใบหน้าเครียดจากอาการปวดหัวและอารมณ์เศร้าที่ยังค้างอยู่

“มงโด” อีซานร้องห้ามเพื่อสกัดสงครามยามเช้า ก่อนที่ยุนนาจะเอ่ยขึ้น

“ทำไมโจอึนถูกจับล่ะคะ แล้วทำไมถึงปล่อยออกมาอีก” ยุนนาถามเสียงเครียดกับอีซาน

“ความจริง เรื่องนี้เป็นความผิดของพี่เอง พี่วางแผนไม่รัดกุมรีบร้อนจับ มันก็เลยหลุดไปได้ง่ายๆ หลักฐานมันอ่อนเกินไป เราพบยาเสพติดเพียงเล็กน้อยที่ใส่ผสมในแอ็บซิล มันไม่มากพอจะตั้งข้อหาจำหน่ายได้ แค่มั่วสุมเสพสารเสพติด กับเปิดบริการผิดกฎหมายและมีเครื่องดื่มห้ามนำเข้าไว้ในครอบครอง” อีซานอธิบาย

“แล้วโจอึนโดนข้อหาอะไรบ้างค่ะ” ยุนนาถาม

“ไม่...ไม่มีเลย เขาออกจากที่เกิดเหตุไปก่อนและอ้างว่าแค่แวะไป เมื่อรู้ว่าเป็นปาร์ตี้ผิดกฎหมายจึงออกมา” อีซานตอบอย่างเจ็บใจ

“ได้ยังไง หมอนั่นเป็นคนจัดชัดๆ” ยุนนาโวยขึ้น

“ใช่...แต่ไม่มีใครซัดทอดเขา ในเมื่อไม่มีพยานและหลักฐาน พี่ก็ทำอะไรมันไม่ได้” อีซานตอบอย่างอ่อนใจ

“โธ่เว้ย” ยุนนาสบถก่อนทุบโต๊ะดัง ปัง!

“แล้วยังงี้เมื่อไหร่ เราจะจับมันได้สักที” ยุนนาถามด้วยท่าทางหงุดหงิด อีซานได้แต่ทำหน้าเครียด เขาจนปัญญาจริงๆที่จะตอบคำถามนี้
หลายวันผ่านไปยุนนายังคงไปโรงเรียนตามปกติ แต่เธอไม่ได้ไปบ้านโจอึนเหมือนแต่ก่อน ด้วยไม่ทราบว่าโจอึนจะระแคะระคายเรื่องเธอรึยัง จึงเป็นการดีที่จะนิ่งไว้ จนในที่สุดก็มีการติดต่อมาจากโจอึน

“สวัสดียุนนา ไม่ได้พบกันเลยนะ” โจอึนกล่าวทักเมื่อยุนนารับสาย

“ค่ะ ก็ตั้งแต่เรื่องยุ่งๆวันนั้น” ยุนนาตอบอย่างควบคุมสติ

“ใช่...ฉันต้องขอโทษเธอจริงๆ เรื่องปาร์ตี้นั่น แต่แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เธอไม่ถูกจับ” โจอึนแย้มขึ้น

“พอดี...ฉันรู้สึกไม่สบายนะค่ะ เลยออกมาก่อน” ยุนนาใช้วิชาแถขั้นเทพเหมือนเดิม หากแต่เธอไม่รู้หรอกว่าโจอึนนั้นรู้ความจริงที่จองอาไปช่วยเธอแล้ว

“โฮ่...อย่างงั้นรึ เป็นโชคดีของเธอจริงๆ ฉันก็ได้แต่หวังว่า เธอคงจะไม่โกรธฉันหรอกใช่ไหม” โจอึนแสร้งพูด

“ไม่หรอกค่ะ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ฉันเองก็...ชอบปาร์ตี้นั้นมาก” ยุนนาเองก็แสร้งตอบเช่นกัน

“งั้นเรื่องธุรกิจของเรา ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมนะสิ” โจอึนเอ่ย

“ธุรกิจ?” ยุนนาฉงน

“ก็เรื่องที่ฉันจ้างเธอวาดภาพไง ฉันยังต้องการมันอยู่นะ” เขาตอบ

“คุณยัง...จะให้ฉันวาดอีกหรอค่ะ” ยุนนาถาม

“แน่นอน ก็เธอยังวาดไม่เสร็จนี่ ถ้าไม่ใช่เธอ ก็คงจะไม่ได้หรอกนะ” โจอึนพูดอย่างเป็นปริศนา ยุนนาจึงครุ่นคิดสักครู่

“ได้ค่ะ ฉันจะไป” เธอตอบอย่างมาดมั่น

“ดี เจอกันเย็นนี้นะ” โจอึนบอกก่อนวางสาย แม้ว่ายุนนาจะสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากล แต่เธอก็ไม่อาจจะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะจับผู้ชายคนนี้
หลังเลิกเรียนยุนนาตรงไปยังบ้านของโจอึน เขาไปรอเธอที่ห้องวาดภาพอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเธอเข้าไปก็พบเขายืนมองภาพที่เธอยังวาดไม่เสร็จอยู่

“สวยจริงๆนะ เธอว่าไหม” โจอึนเอ่ยขึ้น ขณะที่ยังคงมองภาพนั้นอยู่ ก่อนจะหันมาหาเธอ

“ภาพนี้ยังไม่เสร็จดี ถ้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะยิ่งสวยกว่านี้ค่ะ” ยุนนาตอบ

“ฉันไม่ได้หมายถึงภาพ ฉันหมายถึง...เธอ จองอา” โจอึนพูดพลางชี้ไปที่ผู้หญิงในภาพ ยุนนาถึงกับหน้าถอดสี เธอรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“จริงสิ ฉันไปเจอภาพๆหนึ่ง สวยมากเลย ก็เลยเอามาให้เธอดู ช่วยดูและวิจารณ์มันหน่อยนะ” เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปยิบกระดาษม้วนหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ แล้วยื่นมันให้ยุนนา เธอค่อยๆคลี่มันออกดู แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามันคือภาพที่เธอวาดให้จองอานั่นเอง

“มันสวยใช่ไหมล่ะ เธอว่าผู้หญิงในภาพนี้...เป็นใครกัน” โจอึนยังคงแสร้งถาม

“ไม่ทราบสิคะ คงมีแต่คนที่วาดรูปนี้เท่านั้นที่จะรู้” เธอตอบอย่างพยายามควบคุมเสียงให้เรียบ โจอึนสังเกตอาการยุนนาที่กำลังพูดโกหกอยู่

“ฉันว่าเธอน่าจะรู้นะ ในเมื่อภาพนี้...เธอเป็นคนวาดนี่” โจอึนเฉลยพร้อมจ้องมองเธอราวกับจะอ่านจิตใจ เธอพยายามหลบตาหนี

“รู้ไหม...ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเธอถึงทำเป็นไม่รู้จักกัน ทั้งที่ก็น่าจะรู้จักกัน...ดีซะด้วย ทำไมกันน้า” โจอึนกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางเดินไปรอบๆตัวยุนนา

“หรือเป็นเพราะ...พวกเธอมีอะไรปิดบังฉัน ความสัมพันธ์ที่...ไม่อยากให้ใครรู้” โจอึนหยุดเดินและยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆยุนนา เธอจึงถอยหลังหลบ

“เธอรู้ไหม ว่าฉันรักอะไรมากที่สุด” โจอึนถามพลางจ้องหน้ายุนนา หากแต่เธอไม่ตอบ ได้แต่ยืนหน้าซีดอยู่อย่างนั้น

“จองอาไงล่ะ แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือ จองอาอีกนั่นแหละ ฉันเกลียดจองอาที่หักหลังฉัน” ยุนนาถึงกับอึ้งเมื่อได้ยิน

“อ้า...ฉันควรจะทำยังไงกับหล่อนดี เอาไปขายในตลาดมืดดีไหม ให้กับพวกวิปริตที่ชอบทำกับคนเหมือนเป็นสัตว์” โจอึนพูดขู่ ยุนนาที่อดรนทนไม่ไหวก็โพลงขึ้น

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ เป็นฉันเอง เธอไม่รู้เรื่องด้วย ถ้าคุณจะทำก็มาทำที่ฉันเถอะ” ยุนนาพูดร้องขอด้วยคิดว่าโจอึนรู้เรื่องที่เธอเป็นสายให้ตำรวจ

“ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ ในเมื่อเธอสองคนหักหลังฉันทั้งคู่! แต่ก็นะ...ฉันเป็นคนใจอ่อนซะด้วย จะให้ทำร้ายผู้หญิงที่ตัวเองเคยรัก มันก็ยากอยู่ เอาเป็นว่าฉันจะลืมเรื่องนี้ซะ ถ้าเธอ...ทำงานให้กับฉัน ฉันจะปล่อยจองอาไป” โจอึนเสนอ ยุนนาจึงครุ่นคิดสักพัก

“ฉันตกลง” ยุนนาตอบอย่างหนักแน่น

“อีกหนึ่งสัปดาห์จะมีของล๊อตใหญ่มาส่ง ฉันอยากให้เธอเป็นคนไปรับและเอามาส่งให้ฉัน ถ้าเธอทำได้ ฉันจะปล่อยจองอาไป แต่ถ้าไม่...ฮึๆๆๆ คงไม่ต้องให้ฉันบอกหรอกใช่ไหม” โจอึนหัวเราะชอบใจ ยุนนาที่ยืนฟังอยู่ก็ได้แต่ทำหน้าเครียด

“ของอยู่ที่ไหนหรอค่ะ” ยุนนาตัดสินใจถามขึ้น

“แล้ววันนั้นเธอจะรู้เอง กลับไปได้แล้ว” โจอึนกล่าวไล่เมื่อเสร็จธุระ ยุนนาจึงต้องจำใจเดินออกมาหลังยุนนากลับไปไม่นาน จองอาก็กลับถึงบ้าน เธอถือกล่องใส่ปากกาอันน้อยนำมาให้โจอึน

“นี่ค่ะปากกาที่ให้ไปรับ” จองอาพูดพลางยื่นให้โจอึน เขารับมาพร้อมรอยยิ้ม

“ลำบากเธอจริงๆ แต่ปากกาแท่งนี้ฉันรักมันมาก แม้ว่ามันจะเขียนได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็...ไม่มีวันทิ้งมันเด็ดขาด” โจอึนพูดอย่างมีนัยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้จองอาจะสงสัยในคำพูดนั้นแต่เธอก็ไม่อาจล่วงรู้ความคิดของชายคนนี้ได้ โจอึนนั้นไม่ต้องการให้เธอรู้เรื่องแผนการในครั้งนี้ จึงบอกให้เธอไปรับปากกาแทนตน จะได้กลับบ้านช้ากว่าเวลาที่เคย เพื่อไม่ให้เธอได้พบกับยุนนา

ยุนนาเองเมื่อพ้นบ้านโจอึนก็รีบโทรหามงโดและอีซานให้ไปพบกันที่ร้านคอฟฟี่ช้อปเจ้าประจำทันที

“ให้ตายเถอะ ฉันบอกแล้วว่าให้เธอระวังไง หมอนั่นรู้เข้าจนได้” มงโดเอ็ดใส่ยุนนาทันทีที่รู้เรื่อง

“เดี๋ยวๆ แต่ฉันว่าไม่น่าจะทั้งหมดนะ” อีซานแย้ง

“อะไรกัน ขนาดรู้ว่ายัยนี่ไปตีท้ายครัว ฉันว่าเรื่องอื่นก็ไม่เหลือหรอก” มงโดค้าน

“ไม่หรอก ถ้ารู้ว่ายุนนาเป็นสายมันไม่ปล่อยเธอกลับมาหรอก แถมเสนองานให้แบบนี้ มันคงยังไม่รู้เรื่องแน่ๆ” อีซานยัน

“ถ้ายังงั้น ยัยนี่ก็อยู่ในอันตรายน่ะสิ” มงโดพูดอย่างหวาดหวั่น

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะทำ หนูจะไม่ยอมให้มันทำอะไรจองอาเป็นอันขาด” ยุนนาพูดอย่างมาดมั่น

“นี่เธอเชื่อคำพูดมันหรอ มันไม่มีทางปล่อยพวกเธออยู่แล้ว” มงโดแย้ง

“เพราะไม่เชื่อยังไงล่ะคะ ถึงต้องทำ หนูจะต้องจับมันให้ได้ ก่อนที่มันจะทำอะไรเธอ” ยุนนาอธิบาย ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองทึ่งกับความคิดของเธอ “คนที่ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีเช็ดตัวอย่างยัยนี่ คิดเรื่องแบบนี้ออกด้วยหรอ
เนี่ย” มงโดนึกในใจ

“แต่ยังไงมันก็อันตรายเกินไป ฉันไม่ยอมให้เธอทำหรอก” มงโดรั้น

“อาจารย์!” ยุนนาร้องอย่างอ่อนใจ ก่อนที่อีซานจะเอื้อมมือไปจับแขนมงโด (อุ๊ยลุ้น)

“ฉันจะไม่ยอมให้เกิดอันตรายกับยุนนาเป็นอันขาด” อีซานพูดอย่างมาดมั่น จนคนฟังต้องยอมอย่างจำใจ

“งั้นระหว่างนี้ ฉันคงต้องห่างพวกนายสักพักล่ะน่ะ จนกว่าจะถึงวันปฏิบัติการ ไม่งั้นพวกนั้นอาจรู้ตัวได้” อีซานพูดขึ้น มงโดถึงกับทำหน้าเซ็งที่จะไม่ได้เห็นหน้าอีซานตั้งอาทิตย์ หลังการประชุมเสร็จสิ้นทุกคนต่างแยกย้ายกันไป และต่างภาวนาให้วันที่รอคอยมาถึง

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553