Back To School
ตอนพิเศษ มงซานค่ะ ต่ออารมณ์จากปลายตอนที่ 24 นะค่ะ ขั้นเวลาที่สองสาวจากกันด้วยค่ะ เรามาอ่านตำนานรักดอกเหมยของสองหนุ่มกันดีกว่า ^_^ (แล้วคุณจะเผลอรักมงโด โดยไม่รู้ตัว 555+)
ปวดตากันสักหน่อยนะค่ะ
มงโด สีฟ้า
อีซาน สีเขียน
////////////////////////////////////////////////////
ฉันไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไม?
ทำไม?
นายจะต้องโมโหทุกครั้งที่ฉันเข้าใกล้
ทำไม?
นายจะต้องโกรธฉันทุกครั้งที่ฉันเทคแคร์
ทำไม?
นายถึงเดินหนีฉัน...เวลาที่ฉันบอกความในใจ
ทำไม?......
ฉันยังจำได้ดี ครั้งแรกที่เราพบกัน ตอนนั้นตัวนายยังกับเทวทูตน้อยๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นทำฉันแทบอึ้ง เสียงใสๆที่แว่วกังวานของนายทำฉันแทบลืมหายใจ และรอยยิ้มสดใสนั้นทำให้ฉัน...ตกหลุมรักนายทันที
ระหว่างทางกลับบ้านหลังโรงเรียนอนุบาลเลิก เด็กชายมงโดร้องห้ามขึ้นเมื่อเห็นเด็กผู้ชายสามคนกำลังรุมรังแกเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่
“เฮ้ยหยุดนะ” มงโดน้อยรีบวิ่งเข้าไป
“อย่ามายุ่ง ไอ้หัวชันตุ” เจ้าอ้วนหัวหน้ากลุ่มสวนขึ้น และหัวเราะอย่างพอใจกับฉายานั้น ด้วยเพราะมงโดน้อยถูกแม่ของตนอาสาตัดผมให้ทั้งที่ไม่เคยตัดมาก่อนจนทำให้สภาพออกมาหัวเกรียนและมีแผลเต็มไปหมด หากแต่เจ้าอ้วนไม่รู้เลยว่าได้เอ่ยคำต้องห้ามออกไปซะแล้ว มงโดน้อยเลือดขึ้นหน้าทันทีที่ได้ยิน เขาเดินตรงรี่เข้าไปต่อยเจ้าอ้วนจนล้มกลิ้ง เด็กชายอีกสองคนเห็นดังนั้นก็เข้ามาช่วยลูกพี่ตน การตะลุมบอลจึงเกิดขึ้นพักใหญ่ ก่อนจะหยุดลงด้วยอาการตาปูดหัวโนไปตามๆกัน หากแต่ฝ่ายที่วิ่งหนีร้องไห้ไปคือสามเกลอจอมแสบ เหลือเพียงผู้ชนะหนึ่งเดียวที่ยืนเต๊ะท่าไร้เทียมทาน ก่อนที่เลือดกำเดาจะไหลออกมาให้เสียมาด เขาจึงรีบเช็ดออกทันทีแต่เพราะความรีบร้อนจึงไปโดนเข้ากับปากที่ทั้งเจ่อและเป็นแผลจากการต่อสู่เมื่อครู่ หนุ่มน้อยมาดแมนจึงเผลอครางอย่างเจ็บปวดออกมาให้เสียลุค
“ขอบใจมากนะ” เสียงใสจากเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่เขาช่วยไว้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใส ตากลมโตที่ประกายชื่นชมต่อการกระทำของเขา มงโดน้อยจึงรีบเก็บอาการเจ็บปวดและกลับมาเต๊ะท่าแมนเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรจ๊ะน้องสาว เรื่องเล็กน้อย” มงโดน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมเสยผมที่ไม่มีของตนอย่างมาดแมน ก่อนที่ฝ่ามือน้อยๆจะรอยมากระทบหน้าเขาอย่างแรง จนเซถลาล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมๆกับฟันน้ำนมที่หลุดออกเพราะแรงฝ่ามือนั้น
“ไอ้บ้า ฉันเป็นผู้ชายนะ” เสียงใสตะหวาดขึ้นก่อนจะเดินจ้ำๆหนีไป เหลือเพียงคนเอ๋อที่ตอนนี้ก็ยังนอนอยู่บนพื้นท่าเดิม
ฮึๆๆๆ นายมือหนักมาตั้งแต่เด็กจริงๆ ทั้งที่ฉันไม่เคยถูกใครล้มได้ แต่นายกลับตบฉันซะเซล้มในฉาดเดียว ทั้งที่ฉันน่าจะโกรธแต่กลับงงซะมากกว่า ใครจะไปคิดละว่าสาวน้อยน่ารักจะกลายเป็นหนุ่มน้อยไปซะงั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดฉันได้หรอกนะ เพราะตั้งแต่นั้นฉันก็ไม่คิดจะถอนสายตาจากนาย
นายไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไม
เพราะ
ฉันรู้สึกอายและเขินมากเวลาที่นายอยู่ใกล้
เพราะ
ฉันไม่อยากให้นายทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิง
เพราะ
ฉันกลัว...กลัวใจตัวเองน่ะสิ
เพราะ......
ฉันไม่เคยลืมครั้งแรกที่พบนาย เด็กน้อยหัวเกรียนที่เป็นแผลเต็มหัวนั่น ท่าทางเอาเรื่องและโผงผางจนฉันเองยังตกใจ นายทำให้ฉันทึ่งมากทั้งความกล้าหาญและความบ้าบิ่นของนาย ฉันจำได้ดี
ณ ห้องอนุบาลดอกทานตะวัน คุณครูกำลังแจกนมกล่องให้เด็กทุกคนดื่ม อีซานน้อยนั่งหน้าเจื่อนกับนมตรงหน้า มงโดน้อยที่สังเกตเห็นอาการจึงเอ่ยถามขึ้น
“ซาน เป็นอะไร” มงโดน้อยถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ อีซานน้อยไม่ตอบได้แต่จ้องนมกล่อง
“ไม่อยากกินหรอ” มงโดถามขึ้น จึงได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเจื่อนๆ
“งั้นฉันกินเอง” มงโดน้อยพูดขึ้นพร้อมหยิบกล่องนมไปดูดจ๊วบๆอย่างรวดเร็ว อีซานได้แต่มองตาค้าง ก่อนที่มงโดน้อยจะดูดกล่องของตัวเองตามไปอีก และเรอออกมาหลังจากดื่มเสร็จ จากนั้นจึงหันหน้ามาส่งยิ้มแฉ่งให้อีซานน้อยได้บริหารขากรรไกรด้วยการหัวเราะขบขันกับท่าทางของเขา
เมื่อผ่านไปได้สักชั่วโมง นมกล่องก็ทำพิษ มงโดไม่เป็นอันเรียนเขาวิ่งเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น จนต้องนอนซม
“มงโด เพราะนมกล่องของเราหรอ” อีซานน้อยร้องไห้กระซิกเมื่อเห็นเพื่อนต้องนอนซมเพราะตัวเอง
“บ้าสิ เพราะฉันอยากกินเองต่างหาก” มงโดตอบกลับอย่างอ่อนแรง ก่อนจะวิ่งไปห้องน้ำอีกครั้ง
ทั้งที่นายแพ้นมวัวแท้ๆ แต่กลับไม่เคยบอกฉันและดื่มนมกล่องของฉันทุกวันจนจบอนุบาล นายฝืนดื่มมันจนหายจากอาการแพ้นมวัว นายนี่บ้าจริงๆ บ้าจนชนะได้แม้กระทั่งโรคของตัวเอง และชนะใจของฉันด้วย นายมันบ้าที่สุด
___________________________________________________
เมื่อขึ้นชั้นประถมฉันช่างโชคดีจริงๆที่ได้อยู่ห้องเดียวกับนายอีก มาถึงช่วงนี้นายโตขึ้นแล้ว แต่กลับดูไม่ต่างจากเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันเลย ไม่สินายน่ารักกว่าตั้งเยอะ ผิวขาวๆตัวเล็กๆ ตาโตแก้มแดงแถมยังมีผมที่นุ่มสลวยต่างจากฉัน นายคงไม่รู้หรอกว่าฉันแอบมองนายตลอดเวลาเรียน นายมักจะมองตรงไปหน้ากระดานเสมอและตั้งอกตั้งใจเรียนทุกวิชา ต่างกับฉันที่ชอบนั่งหลับประจำ แต่เวลาชั่วโมงพละที่ฉันชอบนายกลับนั่งซึม เพราะเจ้าพวกบ้าในห้องที่ชอบแกล้งนายทำท่ารังเกียจไม่ยอมให้นายเล่นด้วย ฉันเลยต้องสั่งสอนมันสักหน่อย แต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายต้องโกรธฉันด้วยทั้งที่ฉันทำเพื่อนายแท้ๆ
ณ สนามฟุตบอลโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง อาจารย์ให้นักเรียนชายแบ่งออกเป็นสองทีมเพื่อแข่งกัน หากใครมีแววดีอาจจะได้ลงเล่นในทีมของโรงเรียน แต่ทั้งสองทีมต่างเกี่ยงกันที่จะรับอีซานเป็นลูกทีม
“อย่ามางี่เง่า ถ้าอีซานไม่ได้เล่นฉันก็ไม่เข้า” มงโดโวยขึ้นเมื่อไม่มีใครรับอีซานเข้าทีม
“เฮ้ย แต่อีซานมันเล่นไม่เป็นนี่ เอามามันก็ถ่วงเปล่าๆ” เพื่อนคนหนึ่งในทีมมงโดเอ่ยขึ้น เขาจึงหันไปมองตาขวาง
“งั้นทีมแกก็เอาไอ้ตุ๊ดนั่นไปละกัน มาเริ่มกันเลยดีกว่า” นักเรียนชายที่อยู่อีกทีมเอ่ยขึ้น มงโดถึงกับเดือดดานเดินเข้าไปต่อยเขาทันที ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่ทั้งที่อาจารย์ก็ยืนอยู่ไม่ห่างนัก อีซานที่นั่งอยู่ข้างสนามถึงกับตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น
จากนั้นมงโดและคู่กรณีจึงถูกเรียกไปห้องปกครองและโดนตักเตือนพร้อมทำทันบนไว้ มงโดเดินออกมาหน้าห้องเห็นอีซานที่ยืนรออยู่จึงเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม แต่อีกคนกลับทำหน้าบึ้งใส่
“นายมันบ้า อย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีกนะ” อีซานกล่าวหน้าเครียดก่อนจะเดินจากไป
ฉันไม่เข้าใจเลย ไม่เคยเข้าใจเลยว่านายคิดอะไร หรือต้องการอะไรกันแน่ ฉันแค่อยากจะช่วยและปกป้องนายเท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะทำให้นายเสียใจเลย เพราะสำหรับฉันแล้วนายเป็นคนพิเศษที่ฉันไม่อยากให้ใครแตะต้อง แม้แต่ตัวฉันเองก็ตาม
เพราะฉันตัวเล็กและไม่ค่อยได้ออกกำลังกายจึงทำให้เล่นกีฬาไม่เก่ง และเพราะรูปร่างที่คล้ายกับเด็กผู้หญิงจึงทำให้เพื่อนผู้ชายชอบแกล้งและเห็นเป็นคนนอก กับผู้หญิงเองฉันก็เข้าไม่ค่อยได้นัก แต่นายกลับอยู่เคียงข้างฉันเสมอทั้งในยามที่ฉันต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม นายจะอยู่ตรงนั้น ข้างๆฉันเสมอ และไม่เคยปล่อยมือฉันเลย แม้ฉันจะสลัดมันออกกี่ครั้งก็ตาม
หลังเลิกเรียนนักเรียนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อีซานกลับมาแอบฝึกฟุตบอลคนเดียวหลังตึกเรียน
“ฟุตบอลน่ะ มันเล่นคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” มงโดโผล่ออกมาจากมุมตึกหลังจากแอบดูอยู่นาน
“ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันบอกแล้วไง อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน” อีซานพูดอย่างไร้อารมณ์ มงโดถึงกับส่ายหน้าอ่อนใจกับคนอวดดี
“นายอยากเข้าทีมใช่ไหมล่ะ” มงโดเอ่ยขึ้น อีซานที่ได้ยินจึงหันควับตาโตมาทางเขา ประหนึ่งว่าไม่คาดคิดว่าจะถูกอ่านออก มงโดจึงเดินเข้าไปหยิบลูกบอลที่อีซานเตะขึ้นมา
“ฉันจะสอนนายเอง” มงโดกล่าว
“ไม่จำเป็น” อีซานตอบห้วน ก่อนจะรับลูกบอลที่มงโดส่งมาอย่างตกใจ
“เอ้า...เตะมาซิ” มงโดมัดมือชก แต่อีซานยังนิ่งอยู่
“หรือนายเตะไม่เป็น” มงโดพูดด้วยใบหน้ากรุ่มกริ่ม ทำให้อีซานถึงกับของขึ้น เตะบอลกลับไปเต็มแรงจนมงโดแทบรับไม่ทัน
“ก็เตะได้นี่น่า” มงโดยังเหย้าต่อ พอดีกับเพื่อนในห้องกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา
“เฮ้ยดูดิ ไอ้ตุ๊ดสองตัวมันเตะฟุตบอลว่ะ” คู่กรณีที่เคยทะเลาะกับมงโดเอ่ยขึ้น เขาเดือดดานขึ้นมาทันใดหมายจะเข้าไปปิดปากเสียๆนั่นด้วยกำปั้นซักหมัด แต่ก็ถูกอีซานห้ามไว้
“ฉันว่าพวกแกไปเล่นขายของไม่ดีกว่าเรอะ เดี๋ยวเหงื่อจะออกเอานะ” คนปากมอมยังจ้อไม่หยุด
“งั้นถ้า...ไอ้ตุ๊ดที่แกว่าได้เข้าทีมล่ะ แกจะว่ายังไง” มงโดกล่าวท้าทายขึ้น
“ฮึ ฉันจะยอมวิ่งแก้ผ้ารอบสนามฟุตบอลเลย” คนปากดีตอบอย่างมั่นใจ
จากนั้นหลังเลิกเรียนมงโดจะมาฝึกเตะฟุตบอลกับอีซานเสมอ ทั้งที่ตัวเองมีสิทธิเข้าทีมอยู่แล้ว หากไปฝึกกับคนอื่นๆจะยิ่งพัฒนาฝีมือมากกว่านี้ แต่เขาก็เลือกที่จะฝึกกับอีซาน
“ฉันจะทำให้นายเข้าทีมให้ได้” มงโดพูดกับอีซานอย่างมาดมั่น
เมื่อถึงเวลาคัดตัว อีซานเล่นได้ดีจนทุกคนแปลกใจ หากแต่มีอยู่คนหนึ่งที่ยิ้มจนแก้มปริ เพราะเห็นคนที่เขาทุ่มเทฝึกกันมาทำได้ดีถึงเพียงนี้ ในที่สุดอีซานก็ได้เข้าทีมฟุตบอลโรงเรียนสมใจไปพร้อมๆกับมงโด แต่คนที่นั่งหน้าง้อยคือคู่กรณีปากมอมที่ไม่ติดทีมและยังต้องวิ่งแก้ผ้ารอบสนามฟุตบอลตามสัญญาอีกด้วย
ฉันไม่เคยเชื่อในศักยภาพตัวเองเลย แต่คนที่ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกถึงมันคือนาย นายที่ชอบจุ้นจาน นายที่ชอบก่อเรื่องเพราะเรื่องเหลวไหล นายที่ชอบ...ฉัน ทั้งที่ตัวฉันไม่เอาไหนเลย
_____________________________________________________
ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อนายมันก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น จนฉันไม่สามารถควบคุมมันได้ นายคอยดุคอยเอ็ดฉันตลอดเวลา นายพยายามเดินหนีเมื่อเห็นฉันเข้าใกล้ หาข้ออ้างสารพัดเพื่อหลบหน้าฉัน นายเองก็ไม่เข้าใจฉันเหมือนกันนะ ฉันอยากอยู่ใกล้ๆนาย ถึงได้ไปตอแยตลอด เพราะฉัน...ชอบ...ใบหน้านั้น หลงใหลผิวขาวละเอียดนั่น คุ้มคลั่งเพราะดวงตาคู่นั้น และถวิลหาเสียงนุ่นที่อ่อนโยนนั่นเหลือเกิน
เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น มงโดจึงรีบวิ่งออกจากห้องเรียนพร้อมกระเป๋าไปชะเง้อคอรออีซานที่หน้าห้องของเขา
“ฮิๆ อีซาน แฟนมารอแล้วจ๊ะ” เพื่อนสาวร่วมชั้นแซวขึ้นเมื่อเห็นมงโดเจ้าประจำมายืนรอหน้าห้อง อีซานได้แต่ทำหน้ามุ่ยและลุกไปหามงโด
“นายมาทำไมเนี่ย” อีซานเอ็ดขึ้นเมื่อเจอหน้าเก่าเวลาเดิม
“ก็มารอกลับบ้านพร้อมกันไง” มงโดพูดพลางกระพริบตาปิ๊งๆ อีซานได้แต่ส่ายหน้า
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมารอแล้ว ฉันมีงานของห้องต้องทำ นายกลับไปก่อนเลย” อีซานบอกพลางทำมือไล่ มงโดได้แต่ทำหน้าจ๋อย
“ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้นี่ ให้คนอื่นเขาทำมั่งสิ นี่นายเป็นประธานนักเรียนหรือไง” มงโดกล่าวหน้ามุ่ย
“ฉันไม่ได้เป็นประธานนักเรียน แต่ฉันเป็นหัวหน้าห้องก็ต้องรับผิดชอบงานในห้อง แล้วอีกอย่างถ้าเป็นประธานนักเรียนหรือทำหน้าที่ในสภาฉันก็ไม่ต้องรับผิดชอบงานในห้องแล้ว” อีซานอธิบายให้คนสมองทึบเข้าใจ ก่อนที่ร่างอ้อนแอ่นเหมือนผู้หญิงจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้มงโดยืนหน้าจ๋อยอยู่อย่างงั้นแต่ก็ไม่ยอมจากไปไหน จนอีซานถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความรั้น
เมื่อสะสางงานในห้องเสร็จอีซานจึงยอมกลับบ้านไปพร้อมกับมงโด
“ถ้านายได้ทำงานในสภานายจะเลิกเป็นหัวหน้าห้องใช่ไหม” มงโดถามขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน
“นายคิดว่ามันเป็นกันง่ายๆหรอ สภานักเรียนนะ” อีซานตอบ ก่อนที่มงโดจะยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น
“สภาเป็นยากแต่ประธานนักเรียนฉันเป็นได้ แล้วถ้าฉันเป็นประธานแล้ว จะเอานายมาเป็นรอง นายจะต้องฟังฉันทุกอย่างนะ แล้วก็ห้ามทำด้วยงานห้องน่ะ” มงโดพูดอย่างมั่นใจ อีซานได้แต่มองเขาอย่างแปลกๆ
แต่เมื่อฤดูกาลแห่งการเลือกตั้งประธานนักเรียนมาถึง มงโดก็ลงสมัครเข้าเป็นหนึ่งในตัวแทน
“นี่...นายจะบ้าหรอ ใครเขาจะเลือกนาย นายอยู่แค่ม.สามเองนะ อย่างน้อยๆน่าจะรอให้เข้าม.ปลายก่อน” อีซานแย้งขึ้น มงโดยังคงลอยหน้าไม่สนใจ
“นายคอยดูฉันเถอะน่า” มงโดพูดพร้อมส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้
แล้วปฏิบัติการหาเสียงแบบพิสดารก็เริ่มขึ้น มงโดเกณฑ์เพื่อนในชมรมศิลปะและถ่ายภาพมาวางแผนการ
“แผนมีอยู่ว่า...เราจะต้องตัดตัวเลือก ปีนี้มีผู้ลงสมัครทั้งหมดรวมฉันแล้วก็สี่คนเท่านั้น นั่นหมายถึงเรามีคู่แข่งอยู่สามคน และสามคนนี่ล่ะที่เป็นเป้าหมายของแผนการเรา” มงโดแย้มปฏิบัติการ ก่อนที่เพื่อนโอตาคุ (บ้าการ์ตูน) แว่นหนาเตอะท่าทางโรคจิตจะยกมือถาม
“แล้วต้องทำไงล่ะ” เขาถามด้วยเสียงอ่อมแอ้ม
“ฮึๆๆๆ ง่ายมาก นายไอ้แว่น ไปจัดการยัยป้าหน้าจืด มินยูริม ม.5ห้อง1 ด้วยการให้เจ้าหล่อนใส่คอสเพย์ของแกและถ่ายรูปเก็บไว้แบล็คเมล์ ฮ่าๆๆๆ” มงโดหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ส่วนแก ไอ้หล่อ มินโฮ” มงโดชี้ไปยังมินโฮหนุ่มหล่อเพย์บอยประจำโรงเรียนที่มาสิงชมรมศิลปะเพราะเป็นชมรมเดียวที่ไม่บังคับให้เขาทำกิจกรรมที่ไม่ต้องการ เขาจึงมีเวลาไปจีบหญิงได้สบายๆ
“แก ไปจีบ ชางยูโน ม.5ห้อง2 ไอ้นั่นน่ะมันแอ๊บแมน หลอกมันซะ แล้วให้มันเผยตัวตนจากนั้นก็เบล็คเมล์มัน ฮ่าๆๆๆ” มงโดหัวเราะอย่างชั่วร้ายอีกครั้ง
“หา...ไอ้คางคกวาฬนั่นอ่ะนะ ขอเป็นคนอื่นได้ไหมอ่ะ ทำใจไม่ได้ว่ะ” มินโฮต่อรอง
“ไม่ได้ คนอื่นไม่แต๋ว จบ ส่วนเธอ ฉันรู้ว่าเธอนะชอบโชว์ที่สุด โยจู เธอเหมาะมากที่จะเป็นตัวล่อ จางชีวอน ม.5ห้อง5 หมอนั่นมันคงแก่เรียน ฉันมั่นใจว่ามันต้องยังไม่เคยเจอผู้หญิงที่แพรวพราวแบบเธอแน่ๆ” มงโดพูดตาวาวไปยังโยจู ที่ตอนนี้กำลังแอ๊คท่าเซ็กซี่ถ่ายภาพอยู่ ที่เธอเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพไม่ใช่เพื่อมาถ่ายแต่อยากเป็นคนถูกถ่ายมากกว่า
“จากนั้น ก็หลอกให้มันปล้ำฉันแล้วก็แบล็คเมล์มันใช่ไหม” โยจูถามขึ้น
“ใช่ เธอฉลาดมากโยจู” มงโดตอบพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
“แล้วต้องให้มันปล้ำจริงๆป่ะ” โยจูถามต่อ
“แค่แสดงละครเท่านั้น” มงโดตอบ
“โธ่...น่าเสียดาย” โยจูพูดด้วยท่าเช็ดปากเสียดายที่ต้องอดกินชายพรมจรรย์
“ส่วนคนสุดท้าย แกไอ้คิมบอม ไปจัดการ มารุยาม่า ชองซู ม.5ห้อง4 ไอ้นี่มันเป็นลูกครึ่งเพิ่งมาเกาหลีได้ไม่นาน เชอะพูดยังไม่ชัดยังจะมาเป็นประธาน แกพามันไปท่องราตรีหน่อยซิ มันจะได้รู้จักเกาหลีมากขึ้น ฮ่าๆๆๆ” มงโดสั่งการไปยังคิมบอมตากล้องขาเที่ยวที่กำลังถ่ายภาพโยจูอย่างเมามัน ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ในที่สุดก่อนวันเลือกตั้งเพียงวันเดียวผู้สมัครทุกคนก็ต่างมาถอนตัวออกไปหมด เหลือเพียงมงโดคนเดียว ผลจึงออกมาโดยไม่ต้องนับคะแนน มงโดได้เป็นประธานสมใจอยาก อีซานแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่นาย...นายวางแผนทั้งหมดใช่ไหม” อีซานพูดพลางจ้องมองอย่างคาดคั้น มงโดได้แต่หลบตาหนี
“อะไรเหล่า ฉันก็ได้เป็นแล้วนี่ จะได้มายังไงก็ช่างเถอะ แต่นายต้องเป็นรองประธานให้ฉันนะ” มงโดรีบเฉเรื่องอื่น และส่งยิ้มกรุ่มกริ่มให้อีซาน
“นายมันแย่ที่สุด ฉันไม่ยุ่งกับนายหรอกนะ ถ้านายอยากเป็นนักก็เชิญเป็นไปคนเดียวเถอะ ฉันเกลียดนายเจ้าบ้ามงโด” อีซานตอบกลับหน้ามุ่ยและเดินปึงปังจากไป
“อีซานๆๆ” มงโดร้องเรียกตามหลังหากแต่อีกคนก็ไม่แม้แต่จะหันมามอง
นายนี่ชอบทำร้ายจิตใจฉันจริงๆเลยอีซาน นายไม่รู้หรอว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นประธานนักเรียนนัก เพราะฉันอยากจะอยู่ใกล้ๆนายยังไงล่ะ แต่นายคงคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระและโมโหกับการกระทำของฉัน ฉันยอมรับว่าที่ฉันทำไปนะผิด แต่ฉันไม่เคยเสียใจ เพราะถ้าเพื่อนายแล้วฉันยอมทำทุกอย่างเลย
“นายมันบ้า บ้าที่สุด ฉันเกลียดนายมงโด” เป็นคำพูดที่ฉันมักพูดกับนายเสมอ หากแต่ภายในใจของฉันนั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ฉันไม่เคยเกลียดนายหรอกนะ ไม่เคยเลย แม้นายจะทำเรื่องบ้าบอแค่ไหน เพราะฉันรู้ว่านายทำเพื่อใคร และนั่นล่ะคือเหตุผลที่ฉันโมโห ฉันโมโห...ตัวเอง โมโหเหลือเกินที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะแสดงอาการยินดีต่อการกระทำนั้น ทั้งที่ฉันดีใจและซาบซึ้งมันมากแค่ไหน แต่ตัวฉันก็ไม่กล้าให้นายได้รู้
หลังเลิกเรียน มงโดก็มารออีซานกลับบ้านที่ห้องเรียนอย่างเคย
“ฉันบอกแล้วไง ว่าไม่” อีซานตอบเสียงเครียด
“เถอะนะซาน นายจะให้ฉันทำคนเดียวหรอ นายก็รู้นี่ ถ้าให้ฉันเป็นประธานโดยที่ไม่มีนายช่วยนะ มีหวังโรงเรียนพังแน่” มงโดพูดออดอ้อนเอาคางเกยโต๊ะของอีซานที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเอกสารประกอบการเรียน
“ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่ นายอยากเป็นนักนี่ ก็ขอให้สนุกแล้วกันนะ” อีซานตอบกลับอย่างไม่ใยดีและก้มหน้าก้มตาทำงานของตน จนมงโดอ่อนใจยอมเป็นฝ่ายล่าถอยไปก่อน หากแต่ก็ไม่หยุดความพยายาม
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอกน่า ยังไงนายก็ต้องเป็นของฉัน” มงโดพูดกรุ่มกริ่ม อีซานได้ยินดังนั้นถึงกับวางมือจากงานหันมาส่งสายตาพิฆาตให้คนปากบอน
“เออ...เป็นรองประธานของฉันไง” มงโดรีบแก้เมื่อเจอสายตาพิฆาตจู่โจม ก่อนจะเดินคอตกออกห้องไป เมื่อเห็นอีกคนออกไปพ้นห้องแล้ว อีซานก็ลอบมองตามเงาของคนกะล่อนอย่างอ่อนใจ
“เจ้าบ้ามงโด ใครจะยอมเป็นของนายกัน” อีซานเอ่ยขึ้นอย่างเคืองๆเมื่อนึกถึงคำพูดคนกะล่อน ก่อนจะเผยยิ้มที่พยายามเท่าไหร่ก็ห้ามไม่อยู่ มันจึงเผยออกมาให้เจ้าตัวรีบปิดปากด้วยความอายตัวเอง และรีบตั้งสมาธิทำงานต่อให้เสร็จ เมื่อทำงานของห้องเสร็จอีซานจึงกลับบ้าน ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เขารีบเดินออกจากตึกเรียนก่อนที่จะมองไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆร่างสูงใหญ่ของนักเรียนชายฝั่ง ม.ปลาย คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น อีซานชะงักหยุดเมื่อร่างใหญ่นั้นยืนขว้างทางอยู่
“นายรู้จักกับเจ้ามงโดใช่ไหม” ชายแปลกหน้าเอ่ยถามขึ้น อีซานรู้สึกถึงภัยที่จะเกิดกับตัวจึงพยายามก้าวถอยหลังช้าๆและจะกลับตัววิ่งไปอีกทาง หากแต่โดนมือหนาคว้าข้อมือเล็กไว้ทัน ร่างบางจึงถูกเหวี่ยงไปชนกับกำแพง อีซานถึงกับจุกและทรุดตัวลงกองกับพื้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเข้ามาจับเขานอนแผ่ไปบนพื้นและรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไว้
“ฮึ ทีนี้ก็ให้มันรู้ซะบ้างว่าไม่ได้มีแค่มันคนเดียวที่เล่นงานคนอื่นเขาได้ ฮ่าๆๆๆ” ร่างใหญ่พูดอย่างสะใจ เขาคือหนึ่งในสี่ผู้ลงสมัครที่โดนมงโดเล่นงาน
“ให้ตายเถอะ ตอนแรกฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องข่าวลือนั่น แต่มาเห็นใกล้ๆแบบนี้ นายนี่สวยกว่าผู้หญิงสะอีก มิน่าเจ้ามงโดมันถึงหลงนัก” เขากระซิบข้างหูอีซานก่อนจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าจากร่างนั้น อีซานพยายามขัดขืนจึงใช้ขาของตัวเองเตะเข้าหว่างขาคนร่างใหญ่ เขาถึงกับผงะตัวงอให้อีซานหลุดจากพันธนาการและรีบคุกคลานหนีตัวอันตราย แต่ก็หนีไม่พ้นร่างใหญ่จับขาเขาไว้ ก่อนจะออกแรงดึงทีเดียวร่างบางก็ถึงกับเสียหลักหน้ากระแทกพื้น แล้วร่างใหญ่ก็เข้ามาทับเขาไว้พร้อมดึงกางเกงที่ยังเหลือติดตัวอีซานออก
“ไม่.....” อีซานร้องพร้อมน้ำตาแห่งความหวาดกลัว ก่อนที่ร่างใหญ่จะซุกไซร้ไปตามซอกคอและแผ่นหลังขาว ให้คนถูกกระทำขยะแขยงและหวาดกลัวยิ่งขึ้น
“นายนี่ เนื้อตัวไม่ต่างจากผู้หญิงเลยนะ อยากรู้จริงๆว่าตรงนี้จะรู้สึกดีเหมือนของผู้หญิงไหม” ร่างใหญ่จิกผมอีซานขึ้นมากระซิบข้างหู ก่อนจะล้วงเข้าไปในชั้นในเพื่อเคล้าคลึงก้นกลมกลึง อีซานดิ้นอย่างทุรนทุรายแต่ก็ไม่สามารถต่อต้านคนร่างใหญ่ได้ ทำได้แค่เพียงร้องไห้ให้กับความอ่อนแอของตน และนึกถึงคนที่คอยช่วยเหลือเขาเสมอ “มงโดนายอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย” อีซานภาวนาอยู่ในใจ ก่อนที่ร่างใหญ่จะดึงชั้นในเขาออก แต่มันกลับหยุดกะทันหัน อีซานจึงหันไปมองก็พบร่างใหญ่กระเด็นไปอยู่ข้างๆตัวเอง และคนที่เขาภาวนาให้ปรากฏตัวขึ้นก็มายืนอยู่ข้างๆเช่นกัน มงโดไม่รีรอเข้าไปเตะซ้ำให้ร่างใหญ่ครางอย่างเจ็บปวดออกมาเสียงหลง
“ไอ้เวร ถ้าอยากเล่นงานฉัน มาทำกับฉันนี่ ไอ้ทุเรศ ระยำ” มงโดเตะอัดใส่ร่างใหญ่นั้นไม่ยั้งทั้งใบหน้าและตามตัว ก่อนที่ร่างใหญ่จะสลบจมกองเลือดไปแต่มงโดก็ยังไม่หยุด อีซานเห็นดังนั้นจึงเข้าไปห้าม
“พอแล้ว...พอ มันสลบไปแล้ว” อีซานเข้ามาเกาะขามงโดไว้ จึงทำให้คนบ้าเลือดได้สติ ก่อนจะก้มลงมองร่างบางที่เกาะอยู่กับขาเขาตัวสั่นเทา มงโดจึงถอดเสื้อนอกตัวเองออกและคลุมร่างที่เกือบเปลือยของอีซานไว้ มงโดมองสภาพคนตรงหน้าแล้วนึกแค้นใจจะลุกขึ้นเตะระบายอารมณ์อีกครั้งแต่โดนอีซานรั้งแขนไว้อีก ก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“อีซาน...” มงโดเอ่ยเรียกคนตรงหน้า เขาอยากจะปลอบแต่ก็จนปัญญา จึงได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆอย่างนั้น จากนั้นจึงพาอีซานไปส่งที่บ้าน
วันต่อมามงโดมาหาอีซานแต่เช้า
“นายมาทำไม” อีซานเอ่ยถามเมื่อออกจากบ้านมาเจอมงโด
“นี่นายจะไปเรียนอีกหรอ” มงโดกลับถามกลับ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรนี่” อีซานพูดเสร็จก็เดินผ่านหน้ามงโดไป มงโดจึงรั้งแขนเขาไว้
“เดี๋ยวสิ ฉันว่าหยุดสักวันดีกว่านะ เดี๋ยวฉันบอกอาจารย์นายให้” มงโดพูดอย่างเป็นห่วง แต่อีซานกลับสลัดแขนออก
“ฉันไม่เป็นอะไร” อีซานตอบเสียงเรียบด้วยสายตาดุ มงโดจึงต้องเดินตามอย่างจำใจ หลังจากเหตุการณ์นั้นมงโดก็คอยตามดูแลอีซานทุกฝีก้าว จนเกิดข่าวลือเรื่องพวกเขาหนาหูยิ่งกว่าเก่า
“นายเลิกทำแบบนี้ซะทีเถอะ” อีซานเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด เมื่อมงโดจะเข้ามาช่วยเขายกกองสมุดการบ้านของเพื่อนๆในห้องที่ส่งรวมกันไว้ มงโดได้แต่มองอย่างสงสัย
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ นายไม่ต้องตามมาดูแลฉันตลอดเวลาแบบนี้หรอก” อีซานเอ่ย
“แต่...ถ้าพวกนั้นมันมาเล่นงานนายอีกล่ะ” มงโดพยายามแย้งขึ้น
“มันก็ไม่เกี่ยวกับนายนี่ ในเมื่อมันเล่นงานฉัน มันก็เป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องมายุ่งหรอก” อีซานตอบ
“ได้ยังไงล่ะ ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรนายเป็นอันขาด” มงโดยืนยันเสียงแข็ง
“พอที ฉันเบื่อนายเต็มทีแล้ว ฉันเกลียดนาย ฉันเกลียดทุกอย่างที่นายทำให้ฉัน ฉันเกลียดๆๆ” อีซานตะโกนใส่หน้ามงโดไม่ยั้ง ก่อนที่จะเงียบลงเพราะถูกอีกฝ่ายปิดปากด้วยริมฝีปากร้อน อีซานขัดขืนก่อนจะผลักมงโดออกและตบเข้าเต็มแรง แล้วหยดน้ำใสๆจึงไหลลงมาเป็นทางให้มงโดแทบช็อคกับภาพที่เห็น เขาทำอะไรไม่ถูก อีซานได้แต่ร้องไห้ด้วยสีหน้าที่เจ็บใจจากนั้นก็วิ่งหนีไป
หลังจากนั้นฉันก็ไม่เข้ามาใกล้นายอีกเลย ฉันไม่ได้โกรธนายหรอกนะ แต่นั่นล่ะเพราะฉันแสดงอาการแบบนั้นออกไป นายเลยคิดว่าฉันโกรธ แต่ไม่เลย ที่ฉันโกรธคงเป็นความอ่อนแอของฉันเอง เพราะฉันอ่อนแอเลยโดนคนแกล้งอยู่ตลอดและไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ จนนายต้องเข้ามาช่วยทุกครั้งไป แต่ฉันกลับดีใจที่ได้รับการดูแลจากนาย ฉันระอายใจเหลือเกิน ที่ทำตัวเหมือนผู้หญิงให้นายมาคอยดูแล ฉันเกลียดความอ่อนแอของตัวเองเหลือเกิน นั่นเป็นเหตุให้ฉันตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียนตำรวจ และเพราะต้องแยกจากนาย ฉันเลยคิดว่าคงเป็นการดีหากเราจะแยกกันบ้าง มันอาจทำให้ฉันเลิกพึ่งพานายสักที และคงดีสำหรับตัวนายด้วยเช่นกันที่จะได้ไปเจอคนใหม่ๆ คนที่...เหมาะสมกว่าฉัน
___________________________________________________
ในเมื่อนายไม่อยากอยู่ใกล้ฉัน ฉันเองก็ทนอยู่ใกล้นายไม่ได้เช่นกัน ฉันจึงตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียนศิลปะ ฉันคิดว่ามันอาจจะช่วยให้ฉันเลิกคิดเรื่องนายได้บ้างหากเราอยู่ไกลกัน แต่ไม่เลยฉันกลับคิดถึงนายแทบบ้า ฉันอยากเห็นหน้านาย อยากได้ยินเสียงนาย อยาก...สัมผัสนายเหลือเกิน
ปิดเทอมฤดูร้อนสุดท้ายของช่วง ม.ปลาย มงโดตัดสินใจกลับมายังบ้านเกิด
“ฉันนึกว่าแกจะไม่กลับมาแล้วซะอีก” พ่อเขาพูดเมื่อเห็นหน้าลูกชายที่หายหัวไปตั้งแต่เข้า ม.ปลาย
“ก็...เบื่อหน้าแก่ๆของพ่ออ่ะ” มงโดตอบทะเล้นใส่ให้พ่อวิ่งไล่แจกกำปั้นแทบไม่ทัน
“เออ จริงสิ ลูกบ้านนู้นเขาก็กลับมาเหมือนกันนะ” พ่อพูดเป็นปริศนาขึ้น
“ลูกใครล่ะพ่อ” มงโดถาม
“จะใครล่ะ ก็อีซานไง” พ่อเฉลย มงโดสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของคนๆนี้
เขานอนครุ่นคิดถึงเรื่องอีซานทั้งคืน เพื่อชั่งใจว่าจะไปพบคนที่หัวใจเรียกหาดีไหม
วันรุ่งขึ้น มงโดมายังริมธารที่มักมาเล่นบ่อยๆสมัยยังเด็ก เขาจำได้ดีว่าที่นี่เขากับอีซานจะมาตกปลาด้วยกันเสมอ มงโดเดินไปตามโขดหินริมธาร ก่อนจะพบเข้ากับแผ่นหลังคุ้นตา หากแต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าใช่คนที่เขาคิดหรือไม่ เพราะคนคนนี้มีรูปร่างสูงโปร่งและผิวคล้ำแดดที่แตกต่างจากคนคนนั้นโดยสิ้นเชิง มงโดจึงตัดสินใจเดินเข้าไปทางด้านหลังช้าๆ แต่ก็ไปสะดุดกับเจ้าประป๋องเจ้ากำที่อีกคนนำมาใส่ปลา จึงเกิดเสียงดังให้คนที่นั่งตกปลาอยู่หันมามองตามต้นเสียง และทั้งสองต่างตกใจซึ่งกันและกันที่อีกฝ่ายคือคนที่ทั้งคู่ไม่คิดว่าจะได้เจอ อีซานที่รีบลุกขึ้นยืนเกิดเสียหลักพลัดตกลงไปในน้ำ ให้มงโดที่มองเห็นวิ่งไปคว้าอากาศไว้ แต่ตัวคนลงไปนั่งกองอยู่ในลำธารซะแล้ว มงโดจึงรีบลงมาช่วยพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น เมื่ออีซานยืนได้เต็มตัวก็เป็นโอกาสให้มงโดได้สำรวจเขาได้อย่างชัดเจน รูปร่างที่สูงโปร่งอย่างเห็นได้ชัด ผิวคล้ำขึ้นคงเพราะโดนแดด แต่เคล้าหน้าที่งดงามยังคงอยู่ แม้จะไม่ขาวนวลเหมือนเดิมก็ตาม พลันสายตามงโดก็ไปสะดุดเข้ากับผิวขาวนวลที่คุ้นเคย ซึ่งยังคงมีอยู่หลังเสื้อกล้ามขาวบางที่เปียกน้ำนั่น ก่อนที่สายตาจะเลื่อนลงไปยังกางเกงผ้าร่มขาสั้นแนบเนื้อเพราะเปียกน้ำ ทำให้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน
“นี่นายมองอะไรน่ะ” อีซานเอ่ยขึ้นพร้อมหันหลังให้คนทะลึ่ง หากแต่เมื่อหันหลังมา ก้นกลมกลึงน่ารักก็เผยสัดส่วนให้อีกคนได้จ้องมองอีก
“หยุดนะเจ้าบ้ามงโด ขืนนายมองฉันอีก ฉันต่อยนายแน่” อีซานขึ้นเสียงเมื่อรู้ว่าถูกคุกคามทางสายตา
“อ่ะ...เออ...ฉัน...ฉันไม่ได้มองสักหน่อย มองอะไรล่ะ” มงโดรีบแก้ต่างแต่กลับพูดติดอ่างอย่างมีพิรุธ ให้คนรู้ทันหมั่นไส้เดินเข้ามาตบศีรษะคนทะลึ่งให้หลาบจำ มงโดถึงกับตกใจกับการกระทำนั้น เพราะอีซานไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้มีก่อน เขาดูเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่แค่ร่างกายภายนอกแต่บรรยากาศและท่าทางก็ดูแตกต่างจากอีซานที่มงโดเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง
“ทะลึ่งไม่เปลี่ยนเลยนะนายนี่ สาวๆที่โซลไม่มีให้มองรึไง” อีซานพูดแซวด้วยใบหน้ายิ้มละไมที่มงโดคุ้นเคย เขาถึงกับเคลิ้มไปชั่วขณะกับรอยยิ้มนั่น
“สาวที่ไหนกันล่ะ ไม่มีสักหน่อย” มงโดตอบหน้าแดงเพราะยังรู้สึกเคลิ้มกับรอยยิ้มนั้นอยู่
“อย่ามาไก๋ดีกว่า บอกมาซะดีๆ ตั้งแต่ไปเรียนที่โซล ทำสาวร้องไห้มากี่คนแล้ว” อีซานเข้าไปกอดรัดคอหยอกล้อเล่นตามประสาเพื่อนผู้ชาย หากแต่นั่นกลับทำให้มงโดถึงกับผงะทำอะไรไม่ถูก
หลายวันหลังจากนั้นมงโดและอีซานก็ตัวติดกันตลอด พากันไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ตามประสาเพื่อนเก่าที่อยากระลึกวันวาน
“เหนื่อยชะมัดเลย ฉันเดินไม่ไหวแล้วล่ะนะ พักตรงนี้เถอะ” อีซานกล่าวขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกล้าจากการตะลุยเดินมันทั่วหมู่บ้าน เพื่อระลึกความหลัง พวกเขานักพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มงโดเองก็นั่งเพียบอย่างหมดแรง ก่อนจะเหลือบไปเห็นอีซานกระดกขวดน้ำดื่มอย่างหิวกระหาย น้ำที่ไหลลงมาตามคอของคนดื่ม ทำ ให้ มงโดถึงกับกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะความกระหายน้ำหากแต่เป็นความกระหายอยากของหนุ่มฉกรรจ์ เมื่ออีซานดื่มเสร็จก็ส่งขวดมาให้มงโดที่รีบหลบสายตา เขารับขวดน้ำมาและจ้องมองปากขวดนั่นอยู่นาน
“จะเอาหลอดไหมล่ะ ถ้ารังเกียจขนาดนั้น” อีซานพูดแซวขึ้นเมื่อเห็นอีกคนนิ่งมองปากขวด แท้จริงแล้วใช่ว่ามงโดจะรังเกียจ หากแต่เป็นเพราะปากขวดนี้ได้สัมผัสริมฝีปากบางนั่นตากห่าง มันจึงเหมือนกับจูบทางอ้อมหากเขาจะดื่มต่อจากอีกคน แต่มงโดก็ถือไว้ไม่นานนัก ก่อนจะกระดกมันลงคอไปอึกๆอย่างหิวกระหาย
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก” อีซานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกคนกระเหี้ยนกระหือรือ ก่อนจะล้มตัวลงนอนหงายและหนุนแขนตัวเองพร้อมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ มงโดมองร่างที่นอนอยู่ข้างๆอย่างนิ่งนาน จนอีซานผล็อยหลับไป เขาจึงก้มลงไปมองใบหน้างดงามนั้นใกล้ๆ และบรรจงจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากบางเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกตัวตื่นจากนินทรา
วันต่อมามงโดออกมาคอยอีซานที่เดิมที่พวกเขานัดเจอกัน หากแต่รออยู่นานก็ไม่เห็นอีกคนโผล่มา มงโดเลยตัดสินใจไปยังบ้านอีซาน
“คุณน้าครับ ซานอยู่ไหมครับ” มงโดเอ่ยถามกับแม่ของอีซานที่ออกมาเปิดประตู
“เออ...คือ...ซานไม่ค่อยสบายนะจ๊ะ มงโดมีธุระอะไรรึเปล่าจ๊ะ” แม่อีซานตอบอย่างลำบากใจและถามกลับ
“เออ...คือ...ก็เปล่าหรอกครับ....งั้นขอผมเข้าไปเยี่ยมเขาหน่อยนะครับ” มงโดตอบและทำท่าจะเดินเข้าไปแต่ถูกแม่อีซานขวางไว้
“เออ...คือ...เขาหลับไปแล้วนะจ๊ะ เอาไว้วันหลังดีกว่านะ” เธอต่อรอง มงโดจึงจำใจจากไปทั้งที่เป็นห่วงอีกคน
หากแต่ว่าหลังจากนั้นมงโดก็ไม่ได้พบอีซานอีกเลย แม้ว่าจะไปหาถึงบ้านก็ตาม เขาจะได้รับคำตอบว่าอีซานไม่อยู่เสมอ มงโดรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจมาแอบดักรออีซานอยู่หน้าบ้าน จนในที่สุดอีซานก็เดินออกมา มงโดจึงรีบวิ่งไปขว้าแขนร่างโปร่งไว้
“นายหนีฉันทำไม” มงโดเอ่ยเสียงเครียด
“นายพูดอะไรของนาย ฉันแค่ยุ่งนิดหน่อย” อีซานกล่าวเสียงเรียบ
“ยุ่งหรอ? ตอนปิดเทอมเนี่ยนะ” มงโดถามย้ำ อีซานจึงสลัดแขนออกจากอีกคน
“มันก็เรื่องของฉัน” อีซานตอบเสียงเครียด ต่างสบตากันอย่างดุดัน
“นายตื่นอยู่ใช่ไหม ตอนนั้นน่ะ” มงโดถาม อีซานไม่ตอบหากแต่หันหน้าหนีไปทางอื่น มงโดจึงเข้าไปกระชากแขนอีกคนให้หันมาสบตา
“นายรู้สึกตัวใช่ไหม ที่ฉัน...จู...” มงโดยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีซานและยังไม่ทันพูดจบก็โดนอีกคนสวนขึ้น
“ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังพูดอะไร แต่ถ้านายไม่ปล่อยฉัน ฉันชกนายแน่” อีซานเอ่ยขึ้นพลางจ้องตอบอย่างดุดัน“งั้นก็ต่อยสิ เอาเลย เพราะฉันไม่ปล่อยนายแน่ เพราะว่าฉันรั........” มงโดพูดพร้อมจับแขนอีซานขึ้นมาใกล้ใบหน้าตน หากแต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกอีซานเอามือปิดปากเขาไว้ มงโดจึงแก้มือนั้นออกแต่อีกคนกลับไม่ยอม อีซานเลยผลักมงโดกระเด็นลงไปกองกับพื้นก่อนจะวิ่งเข้าบ้านไป
อีกครั้งที่นายวิ่งหนีฉัน นายจะวิ่งหนีฉันไปถึงเมื่อไหร่ ฉันเองก็เหนื่อยที่จะวิ่งตามนายเต็มทีแล้ว ในเมื่อนายไม่ต้องการความรู้สึกของฉัน ฉันก็คงจะไม่ฝืนนาย หากฉันเข้าใกล้นายไม่ได้ ฉันก็ขอเป็นฝ่ายไปดีกว่า ฉันจะไป ไปที่ๆไกลจากนาย ให้ระยะทางและเวลานั้นมันลบเลือนความรู้สึกนี้ที่มีต่อนาย ภาวนาว่าให้มันหายไป ไม่เช่นนั้น หากฉันเจอนายอีก ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยนายไปเด็ดขาด
ฉันคิดว่าความรู้สึกนั้นมันจะหายไปแล้ว ฉันพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะเป็นคนใหม่ เพื่อที่เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเช่นเดิม แต่ไม่เลยแม้ว่าร่างกายฉันจะเปลี่ยนไปเช่นไร แต่จิตใจฉันมันไม่เคยเปลี่ยน มันยังคงอ่อนแออยู่เช่นเดิม และนายเองก็ยังปฏิบัติต่อฉันเหมือนฉันเป็นผู้หญิงเหมือนเดิม ทั้งที่น่าจะเกลียดแต่ฉันกลับดีใจ ดีใจเหลือเกินที่นายยังเป็นดังเดิม ดีใจเหลือเกินที่นาย...สัมผัสฉัน
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการปิดเทอมชั้น ม.ปลาย มงโดพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะได้พบอีซาน
“มีเรื่องทะเลาะอะไรกันหรอลูก” แม่อีซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นลูกชายหลบหน้าเพื่อนรักมาหลายวัน
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ แค่ทะเลาะกันนิดหน่อยน่ะ” มงโดพูดพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ถ้ายังงั้น ไม่คุยกันซะให้รู้เรื่องล่ะลูก หลบหน้ากันแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ จะคืนดีกัน” แม่เสนอ อีซานได้แต่ยิ้มรับก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องนอนตัวเองและเฝ้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์หน้าบ้านเมื่อหลายวันก่อนที่มงโดมาดักรอ
“เจ้าบ้ามงโด...” อีซานเอ่ยขึ้น เมื่อนึกถึงคำพูดที่มงโดไม่สามารถพูดจบได้เพราะตัวเองเอามือไปปิดปากอีกฝ่ายไว้เสียก่อน แล้วจึงมองดูมือตัวเองที่ใช้ปิดปากอีกฝ่าย เมื่อนึกว่ามือนี้ไปสัมผัสปากมงโดก็ทำให้นึกถึงเรื่องที่อายแสนอายเข้า เพราะริมฝีปากนั้นเคยมารุกรานตัวเองยามหลับ อีซานส่ายหน้าเพื่อตั้งสติ แต่ก็ไม่สามารถสลัดรสสัมผัสที่อีกคนฝากไว้ได้ เขาจึงลูบริมฝีปากบางของตนเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงคิดถึงช่วงเวลาที่ริมฝีปากมงโดสัมผัสลงไปยังริมฝีปากบางของเขา พลันใจก็เต็นระรัวจนต้องรีบเอามือไปลูบหน้าอกไว้เกรงว่าหัวใจที่สั่นมันจะเด้งออกมาข้างนอก
“ฉันจะทำยังไงดี” อีซานรำพึงกับตัวเอง
หลายวันผ่านไปความพยายามเข้าหาของมงโดก็ยังไม่เป็นผล อีซานยังคงหลบหน้าเขาตลอด จนมาถึงคืนก่อนที่อีซานจะกลับไปยังโรงเรียนตำรวจ เขาถูกแม่ใช้ให้ไปซื้อของกลางดึก ทั้งที่ไม่อยากจะออกไปไหนเลยเพราะกลัวจะไปพบคนที่หัวใจวิ่งหนีอยู่ แต่ก็ต้องจำใจออกไปตามคำสั่งของมารดา ระหว่างทางกลับบ้านอีซานก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและหดหู่ใจในเวลาเดียวกัน แต่ในช่วงที่กำลังคิดอะไรเพลินอยู่เขาก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกจู่โจม ชายคนหนึ่งเข้ามากอดรัดเขาจากทางด้านหลัง เขาจึงหันไปดูใบหน้าผู้รุกราน ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่นึกถึงอยู่โผล่มาให้เห็นหน้าใกล้ๆขนาดนี้
“มงโด ปล่อยนะเจ้าบ้า ไม่งั้นฉันทุ่มนายแน่” อีซานพูดขู่
“ก็เอาสิ ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่ปล่อยนายแน่” มงโดพูดข้างๆหู ไอร้อนจากลมปากทำเอาอีซานใจสั่น ก่อนจะลนลานเมื่อถูกมงโดซุกไซร้ที่ซอกคอ
“นี่ปล่อยนะมงโด หยุดเดี๋ยวนี้” อีซานร้องห้ามแต่อีกคนกลับไม่ฟังเสียง ยังซุกไซร้อยู่ที่เดิม จนอีซานเหลืออด
“มงโด!” อีซานตะหวาดสุดเสียง มงโดถึงกับชะงักหยุดการกระทำของตน ก่อนจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำใสที่ตกกระทบแขนของเขา มงโดจึงคลายแขนออกจากร่างโปร่ง และมองใบหน้าที่ตนหลงใหลซึ่งกำลังหลั่งน้ำตาอยู่ เขาเอื้อมมือจะไปซับหยาดน้ำตานั่นแต่ถูกอีกคนปัดมือออกและจะเดินหนีไปอีก หากแต่มงโดก็คว้าแขนร่างโปร่งไว้
“อย่าเดินหนีฉันอีกเลย...ได้โปรดเถอะ....ฉันรักนาย” มงโดบอกความในใจที่มีต่ออีกคนมาเนิ่นนาน แต่อีซานกลับสลัดแขนนั้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจะวิ่งหนีไป เขาวิ่งกลับมาบ้านและทรุดลงร้องไห้อยู่หน้าประตูบ้านอย่างเงียบๆเพื่อไม่ให้คนในบ้านได้ยิน
ฉันขอโทษ ฉันมันขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความรู้สึกนั้นได้ ทั้งที่ฉันก็รู้สึกไม่ต่างจากนาย แต่เพราะความกลัว ฉันกลัวเหลือเกิน ฉันไม่อยากให้นายทำกับฉันเหมือนเป็นผู้หญิง เพราะฉันเป็นผู้ชาย...ฉันเป็นผู้ชาย แต่ทำไม...ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้กับนาย...ทำไมฉันถึง...รักนาย นายควรจะพบคนที่ดีกว่าฉัน คนที่รักนายได้อย่างเปิดเผย คนที่ไม่ขี้ขลาดถึงขนาดวิ่งหนีคนที่ตัวเองรักแบบนี้ ได้โปรดเถอะ...ลืมฉันซะ มีแต่นายเท่านั้นที่ทำได้ เพราะคนอย่างฉันคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ทั้งความรู้สึกกลัวนี้และความรักที่มีต่อนาย
____________________________________________________
แปดปีต่อมา
ณ สนามบินกรุงโซล มงโดลงจากเครื่องบินและมารอรับกระเป๋าของตัวเองอยู่ เขาสังเกตเห็นชายน่าสงสัยคนหนึ่งท่าทางลุกลี้ลุกลน เข้ามาหยิบข้างๆเขา แต่เมื่อชายคนนั้นหยิบกระเป๋าขึ้นตำรวจหลายนายก็เข้ามาล้อมจับเขาทันที มงโดตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก
“ยอมมอบตัวซะ เราล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว” ตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมจ่อปืนไปที่ชายคนนั้น เสียงของเขาช่างคุ้นหูมงโดยิ่งนัก มงจึงหันไปมองยังต้นเสียงนั้น
“อีซาน!” มงโดเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ เจ้าของชื่อเองก็แปลกใจไม่แพ้กันที่มาพบคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานแบบนี้ หากแต่นั่นกลับเปิดโอกาสให้คนร้ายควักปืนออกมาและเข้าไปล็อคตัวมงโดจี้เป็นตัวประกันได้
“อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่งั้นฉันยิงไอ้เวรนี่แน่” คนร้ายกล่าวอย่างลนลาน พลางจ่อกระปอกปืนไปยังขมับมงโด อีซานแทบขยับตัวไม่ได้เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ด้วยใจที่กลัวว่าหากเพรียงพร้ำไปอาจทำให้เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่หัวใจคิดถึงเสมอมานี้อีก แต่เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นคนถูกจี้เป็นตัวประกันบิดแขนที่ถือปืนของคนร้าย พร้อมทั้งจับทุ่มจนตัวคนร้ายลงไปกองกับพื้น
“ไอ้เวรน่ะมันแก ไม่ใช่ฉัน” มงโดพูดเย้ยหยันใส่คนร้ายเมื่อสิ้นฤทธิ์ ตำรวจจึงกรูกันเข้าไปล็อคตัวคนร้ายไว้ ท่ามกลางวงล้อมนั้น มงโดหันมายังคนที่จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ไร้ซึ่งเสียงใดๆออกจากปากคนทั้งคู่ มีเพียงสายตาที่ส่งมาทักทายกันอย่างอบอุ่น
เมื่อเหตุการณ์จบลง ตำรวจจึงต้องสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายไว้เพื่อทำรายงานประกอบรูปคดี และทุกคนก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี เว้นแต่มงโดที่ทำยึกยักไม่ยอมให้ปากคำจนต้องพาไปในห้องสอบสวนของสนามบิน
“ผมบอกแล้วไง ถ้าอีซานไม่เป็นคนสอบปากคำผม ผมก็จะไม่ให้ปากคำอะไรทั้งนั้น” มงโดต่อรอง
“คุณครับ ผู้กองอีซานเขาไม่ว่างมาทำหน้าที่เล็กน้อยแบบนี้หรอกครับ ผมว่าคุณรีบๆบอกมาเถอะ จะได้รีบกลับบ้านยังไงละ” ตำรวจผู้ทำหน้าที่สอบปากคำเกลี้ยกล่อม หากแต่ไม่เป็นผล มงโดยังคงทำท่าไม่สะทกสะท้าน
“ไม่เป็นไร ผมว่าง มีเวลาอีกเยอะ” พูดจบมงโดก็กอดอกพร้อมทั้งยกขาพาดโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ ทำให้ตำรวจนายนั้นแทบอยากวิสามัญเขาเลยจริงๆ แต่ก็ต้องข่มอารมณ์และเดินหงุดหงิดออกมานอกห้อง ไม่ไกลจากห้องนักเขาพบกับผู้บังคับบัญชาของตนเข้า
“เป็นไง เขายอมให้ปากคำหรือยัง” อีซานเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เลยครับ เขายืนยันจะให้ปากคำกับผู้กองคนเดียวครับ” ตำรวจผู้น้อยตอบอย่างอ่อนใจ อีซานเองก็รู้สึกไม่แพ้กัน
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวฉันสอบปากคำเขาเอง” อีซานเอ่ยพลางตบบ่าลูกน้องเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องสอบสวนนั่น เมื่ออีซานเปิดประตูเข้ามามงโดก็รีบลนลานเอาเท้าลงจากโต๊ะและนั่งสงบเสงี่ยม เหมือนนักเรียนที่เห็นคุณครูเดินเข้าห้องมา อีซานเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และนำเครื่องบันทึกเสียงออกมา
“เอาล่ะ...ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณในวันนี้หน่อย” อีซานพูดเสียงเรียบพร้อมกดปุ่มบันทึก
“ฉันนั่งเครื่องมาจากอิตาลี มาถึงราวๆสามโมงได้ แล้วมารอกระเป๋า จากนั้นหมอนั่นก็เดินเข้ามาหยิบกระเป๋าด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน แล้วจากนั้น....ฉันก็ได้พบนาย” มงโดเล่าเสียงนุ่น อีซานถึงกับชะงักเมื่อถูกเอ่ยถึง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองคนเล่า แต่ก็ต้องใจสั่นเมื่ออีกคนรอส่งสายตาหวานซึ้งตรงมาที่เขา เขาจึงรีบหลบตาหนีสายตานั้นทันที
“กรุณาเล่าเฉพาะเรื่องของคนร้ายด้วย” อีซานบอกเสียงเขียว
“มันชักปืนออกมาและจับฉันเป็นตัวประกัน....ตอนนั้นนายรู้สึกยังไง” มงโดเล่าและโน้มตัวเอาศอกไปเท้าโต๊ะไว้ พลางจ้องอีซานด้วยสายตากรุ่มกริ่ม อีซานถึงกับหลบตัวถอยสายตารุกรานของคนกะล่อน
“ฉันบอกให้เล่าเฉพาะเรื่องของคนร้ายไงล่ะ” อีซานเอ็ดเสียงเขียว
“ฉันก็เล่าอยู่นี่ไง แต่ฉันก็อยากรู้ด้วยนี่ว่า....นายเป็นห่วงฉันรึเปล่า ตอนที่ฉันถูกจับเป็นตัวประกันแบบนั้น แล้วนายรู้สึกยังไงที่ได้เจอฉันอีก นายยัง...” มงโดยังรุกไล่ไม่เลิก แต่ก็ไม่ทันที่จะพูดจบอีซานก็สวนขึ้นก่อน
“พอแล้ว นายไม่ต้องให้ปากคำอีกแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว” อีซานกล่าวตัดบทก่อนและหันหลังจะก้าวออกจากห้อง มงโดจึงลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวสิ...นายไม่ต้องตอบก็ได้ ฉันตอบเอง...ฉันดีใจมากที่เจอนายอีก ฉันคิดถึงนายนะ คิดถึงตลอดเวลา ช่างโง่จริงๆที่ปล่อยให้เวลาผ่านมาเนินนานขนาดนี้ ทั้งที่มันไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เลย ฉันยังคง...” มงโดบอกเล่าความในใจ แต่ถูกอีซานสวนขึ้น
“ได้โปรด พอเถอะ” อีซานเอ่ยขึ้นอย่างเว้าวอน แต่นั่นกลับทำให้มงโดเดินเข้าไปหาเขา
“อย่านะ! อย่าเข้ามา อย่า...อย่ามาใกล้ฉัน” อีซานกล่าวห้ามเสียงสั่น มงโดจึงหยุดตามคำสั่งนั้น และจ้องมองแผ่นหลังที่สั่นเทานั่น
“ฉัน...มันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างเลย นายก็ควรที่จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน” อีซานกล่าวขึ้นแฝงด้วยความสะท้อนใจ
“ไม่เลย...ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก ทั้งนายและฉัน เราต่างก็รู้ดี...ใช่ไหม” มงโดกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน ร่างที่สั่นเทาจึงหันกลับมามองเขาอย่างแปลกใจ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจเขาได้ถึงเพียงนี้
“ความจริงที่นายพูดว่า ฉันและนายเปลี่ยนไปคงจริง เพราะฉันไม่งี่เง่าเหมือนเดิม เวลามันทำให้ฉันโตขึ้นและเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้นด้วย” มงโดกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆพลางสบตาอีซานอย่างอ่อนโยน
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ทุกอย่างเลย และฉัน...ฉันรอได้ เพราะความอดทนและอดกลั้น คือสิ่งที่เรียกว่าความรักที่แท้จริง และฉันจะรอนายเสมอ” มงโดพูดอย่างอ่อนโยน อีซานที่ยืนฟังอยู่น้ำตาแทบไหลหากเป็นสมัยก่อนเขาคงปล่อยโฮไปแล้ว แต่เขาโตแล้วพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างแม้กระทั่งหัวใจของตัวเอง อีซานจึงส่งยิ้มพิมพ์ใจที่มงโดหลงใหลมาตลอด กลับไปยังคนที่หัวใจของเขาพร้อมเผชิญหน้าแล้ว
.............................................................................................................
ไหนยังมีใครเกลียดมงโดอยู่บ้างค่ะ เปลี่ยนใจกันแล้วใช่ไหม มงโดก็เป็นคนดีนะ แต่เฉพาะกับอีซานเท่านั้น อิอิ