วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

The Fan Club ตอนที่ 6


ตอนที่ 6 ร้องหารัก (Call for Love)

เช้าอันสดใสของฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศแสนจะเย็นสบาย แต่ใครบางคนกลับนั่งหน้าเศร้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และไม่มีท่าทีจะลุกไปไหน

“แกเลิกจ้องจอคอมฯสักทีจะได้ไหมยัยชัน?” เสียงเข้มดังขึ้นและก้าวจ้ำๆเข้ามาหาร่างเล็ก

“เอ้า ข้าว จะกินไหม? ฉันเห็นแกนั่งอยู่ท่านี้มาตั้งแต่ตื่นแล้วนะ วันหยุดยาวทั้งทีแบบนี้ทำไมไม่ออกไปเที่ยวไหนว่ะ?” เอื้อเฟื้อนำอาหารเช้าที่เหลือจากครัวใหญ่มาให้อัญชัน เพราะเพื่อนตัวดีไม่ยอมขยับตัวไปไหนเลย (วันหยุดยาวในเทศกาลชูซอก)

“ไม่อ่ะ ไม่มีอารมณ์....ฉันกำลังเศร้าอยู่” เธอตอบด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เธอยังคงรู้สึกเสียใจต่อท่าทีที่ดาราสาวมีต่อเธอเมื่อวานและการสนทนาผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่เธอหนีดาราสาวออกมาดื้อๆ เอื้อเฟื้อมองสภาพเพื่อนสาวแล้วก็ถอนหายใจ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนที่เพื่อนของเขาจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

ขณะเดียวกันภายในห้องนอนของดาราสาว เธอยังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนนุ่ม ทั้งที่ก็ตื่นนานแล้วแต่เจ้าตัวไม่มีกระจิตกระใจจะลุกไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น มือน้อยเอื้อมไปหยิบมือถือเครื่องเล็กที่วางบนหัวเตียง เธอจ้องมองหน้าจอของมันอยู่อย่างงั้นเนิ่นนาน

“รอโทรศัพท์ใครอยู่หรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมใบหน้าของร่างโปร่งที่ยืนเข้ามาหาร่างบาง

“ว้าย! ฮโยจู ตกใจหมดเลย!” แชวอนอุทานขึ้น

“แหมๆ ขวัญอ่อนจริงนะแม่คุณ แล้วนี่รอโทรศัพท์ใครหรอ?” ฮโยจูเหย้าขึ้นก่อนจะถามคำถามเดิมอีกครั้ง

“รออะไรกันละ เปล่าสักหน่อย ฉันแค่....จะถ่ายรูปนะ” แชวอนรีบแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แล้วจึงกดเข้าระบบกล้องพร้อมทั้งแอ็คท่าถ่ายรูปเพื่อไม่ให้เพื่อนของตนสงสัย หากแต่ฮโยจูก็รูแกวเพื่อนของเธอดีแต่ก็ไม่พูดอะไรออกไป ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

“งั้นฉันไปก่อนก็แล้วกัน” ฮโยจูเอ่ยลาก่อนลุกขึ้น

“จะไปไหนหรอ?” แชวอนจึงถามด้วยความสงสัย ปกติวันหยุดแบบนี้เพื่อนสาวจะอยู่กับเธอทั้งวันแท้ๆ

“วันหยุดยาวแบบนี้ ฉันก็ต้องไปเที่ยวกับพี่จินโฮซิ” ฮโยจูตอบลอยหน้าอย่างพอใจ

“นี่...คุณปาร์คเขายอมไปกับเธอได้ยังไงกัน?” แชวอนฉงนในคำบอกของเพื่อนจึงถามด้วยความสงสัย

“นี่! เธอเป็นเพื่อนฉันจริงรึเปล่าเนี่ย เชอะ ถึงเขาจะไม่ยอมเดี๋ยวฉันก็ลากเขาไปอยู่ดีนั่นละ ไปแล้ว คุยกับเธอนี่อารมณ์เสียจริงๆเลย” ฮโยจูเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไปให้แชวอนมองตามด้วยความมึนงง ก่อนจะหันกลับมาสนใจเจ้ามือถือเครื่องน้อยของตัวเองอีกครั้ง

“เฮ้อ....เบอร์เราเขาก็มีนี่น่า ทำไมไม่โทรมาละ วันหยุดยาวแบบนี้เขาจะทำอะไรน้า?” ร่างบางรำพึงกับมือถือของตน เพราะไม่ว่าจะจ้องมองมันเท่าไหร่ เจ้าเครื่องตัวน้อยก็ไม่ยอมโชว์เบอร์โทรเข้าของคนร่างเล็กเสียที ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งที่ปกติจะคอยเอาใจเธอและรู้ใจไปเสียทุกอย่าง แต่ทำไมวันนี้คนร่างเล็กถึงไม่รู้ใจเธอบ้างว่าอยากให้อีกคนโทรมาหาใจแทบขาด


“เฮ้อ........” เสียงถอนหายใจของร่างเล็กมีอย่างต่อเนื่อง เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแม้ตอนนี้จะสายมากแล้ว เธอพยายามคิดทบทวนว่าเธอทำสิ่งใดให้ดาราสาวไม่พอใจ แต่คิดเท่าไหร่มันก็คิดไม่ออก

“หรือจะโทรไปถามเขาดี?” ร่างเล็กเอ่ยขึ้นกับตัวเองพลางหยิบมือถือของตนขึ้นมาและกดหาเบอร์ดาราสาวที่ตนเมมโมรี่เอาไว้ในเครื่อง

“แล้วจะถามว่าอะไรอ่ะ?” ร่างเล็กเอ่ยก่อนจะกดออกจากสมุดโทรศัพท์ แล้วก็นั่งกุมขมับอีกครั้ง แม้จะได้เบอร์ดาราสาวมาแต่ก็ไม่เคยกล้าโทรไปเลยสักครั้ง แล้วมามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นคนใจเสาะอย่างเธอจะกล้าโทรไปหาหล่อนได้อย่างไร

“หน้าเครียดเชียวครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมเอ่ย?” เสียงนุ่มดังขึ้นจากประตู ร่างเล็กจึงหันไปมองตามเสียงนั้นก็พบกับร่างสูงคุ้นตา

“คุณจินโฮ! มาได้ยังไงค่ะเนี่ย?” อัญชันเอ่ยทักอย่างแปลกใจ

“ฉันเรียกมาเองล่ะ แกจะได้เลิกนั่งซึมเศร้าสักที” เอื้อเฟื้อเอ่ยขึ้นพลางเชื้อเชิญให้จินโฮเข้าบ้าน

“คุณอัญชันเศร้าเรื่องอะไรรึครับ บอกผมได้ไหม?” จินโฮถามอย่างเป็นห่วง หากแต่ร่างเล็กกลับทำหน้าลำบากใจที่จะตอบ

“ถ้าอย่างงั้นเราไปคลายเครียดกันดีไหมครับ? วันหยุดยาวแบบนี้ เราไปเที่ยวต่างจังหวัดกันดีไหมละครับ?” จินโฮเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ ว่าไงชัน แกเคยบอกนี่ว่าอยากไปเกาะเซจูนะ แกไม่ต้องทำงานแถมมหาลัยก็หยุดอีก ไม่มีเวลาไหนเหมาะไปกว่าตอนนี้แล้วนะเนี่ย เอาล่ะไปเก็บของกันเถอะ” เอื้อเฟื้อตอบรับเสร็จสัพก่อนจะลากร่างเล็กตามเขาไปเก็บเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกเดินทาง

“นี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย?” ร่างเล็กสะบัดแขนเพื่อนออกเมื่อเข้ามาอยู่ภายในห้องของตน

“ก็ช่วยแกไง แกรู้ไหมว่ามันน่ารำคาญแค่ไหนที่ต้องทนเห็นแกนั่งบื้ออยู่หน้าจอนะ ขืนฉันต้องทนมองมันตลอดวันหยุดยาวนี้ละก็ ฉันต้องบ้าตายแน่ๆ” เอื้อเฟื้อเอ่ยขึ้นอย่างระอา

“งั้นแกก็ไปคนเดียวซิ จะลากฉันไปด้วยทำไม?” อัญชันบอกด้วยความไม่พอใจ

“คนที่จะไปนะคือแกไม่ใช่ฉัน เพราะฉันมีนัดกับคุณลีเขาแล้ว” เอื้อเฟื้อกล่าว

“นี่แกเป็นบ้าหรอ? จะให้ฉันไปเที่ยวกับคุณจินโฮสองคนเนี่ยนะ” อัญชันโวยวาย

“เบาๆ....ฉันขอร้องละ ฉันนัดกับคุณลีเขาไว้ ให้เขามาค้างที่นี่ช่วงวันหยุดยาว ขอร้องละเพื่อน” เอื้อเฟื้อยกมือไหว้อ้อนวอนเพื่อนสาวเพราะเขาไม่อยากพลาดโอกาสทองครั้งนี้ ยากนักที่เขาและ ลี ฮอนคยอง แฟนสาวจะมีโอกาสได้พบกัน หากอัญชันอยู่มันคงไม่สะดวกต่อเขาและคนรักในการสวีทหวานเป็นแน่

“ให้ตายเหอะ!......ก็ได้ว่ะ แต่แกต้องให้เงินฉันด้วย แล้วก็....อย่ามายุ่มยามในห้องฉันเด็ดขาด” อัญชันกัดฟันตอบรับอย่างจำใจ เพราะเธอเข้าใจดีว่าเพื่อนรักกับสาวแฟนโดนกีดกันจากพ่อของฝ่ายหญิง การจะได้ใกล้ชิดกันเป็นเรื่องยาก เธอจึงไม่สามารถปฏิเสธเขาได้ มันเป็นเช่นนี้เสมอเมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการความช่วยเหลือทั้งสองก็พร้อมและเต็มใจที่จะช่วยเพื่อนคนสำคัญตลอดเวลา


ณ สนามบินอินชอน

“เดี๋ยวผมไปเช็คอินให้นะครับคุณอึนชัน” จินโฮบอกก่อนจะเดินจากไปเพื่อไปเช็คอินที่นั่ง เหลือเพียงอัญชันและเอื้อเฟื้อที่มาเพื่อส่งเพื่อนรักของเขานั่งรออยู่ในร้านคอฟฟี่ช้อปแห่งหนึ่งในสนามบิน

“แกติดหนี้ฉันใหญ่หลวง” อัญชันเอ่ยขึ้นลำเลิกบุญคุณ

“ฉันรู้ๆ แกสั่งมาได้เลยอยากให้ฉันทำอะไรให้น่ะ” เอื้อเฟื้อบอกด้วยความรำคาญ

“ก่อนอื่นก็..” ร่างเล็กหยิบมือถือของตนออกมา และกดเข้าระบบสนทนาผ่านเครือค่ายอินเตอร์เน็ต

“อะไรของแกเนี่ย จะขึ้นเครื่องอยู่แล้ว” เอื้อเฟื้อท้วงขึ้น

“เพราะงั้นไงละ เดี๋ยวฉันก็ไม่ได้อยู่กับแก ก็ไม่มีคนแปลให้ แล้วฉันจะคุยกับเขาได้ยังไงละ” อัญชันอธิบาย เขาถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อได้ยิน

“แล้วเขาจะออนหรอ? เวลาแบบนี้” เอื้อเฟื้อยังคงยึกยัก

“นี่ไงเขาออนๆ!” อัญชันบอกเพื่อนด้วยความดีใจ

Teddy Bear – สวัสดีปงกู ^ ^

Bbong9 – ฉันโกรธคุณแล้ว✖︶︹︺✖

Teddy Bear – อ้า! ⊙▂⊙ ขอโทษจริงๆ เมื่อคืนเน็ตหลุดนะ แย่จัง ขอโทษนะปงกู ได้โปรดยกโทษให้ฉันเถอะนะคนดี o(╥﹏╥)o

Bbong9 – (●*∩_∩*●) ก็ได้ ฉันก็คิดแล้วว่าเน็ตต้องหลุดแน่ๆ คุณคงไม่หนีฉันหรอก ใชไหม? (◕‿◕✿)


เอื้อเฟื้อหันไปมองหน้าของอัญชัน เพื่อรอคำตอบ ก่อนที่อัญชันจะบอกให้เขาตอบกลับไป


Teddy Bear – แน่นอน *∩_∩* แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่หรอ? ทำงานหรือเปล่า?

Bbong9 – ฉันได้หยุดยาว กำลังจะกลับไปบ้านเกิด 。◕‿◕。

Teddy Bear – หือ? \(•ิ_•ิ\) แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนหรอ?

Bbong9 – สนามบินอินชอน (/≧▽≦/)


ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้จะตอบกลับอีกฝ่ายยังไงดี


Bbong9 – เท็ดดี้!

Bbong9 – เท็ดดี้!

Bbong9 – เท็ดดี้!

Bbong9 –มีผู้ชายคนหนึ่งมองฉันอยู่

Bbong9 – เขาเดินเข้ามาแล้วทำยังไงดี ช่วยด้วย!

Bbong9 ออกจากระบบ

“อ้าวเฮ้ย! เป็นอะไรของเขาเนี่ย? อยู่ดีๆก็ออก” เอื้อเฟื้อบ่นขึ้นเมื่อคู่สนทนาออกจากระบบโดยไม่บอกกล่าว หากแต่ร่างเล็กไม่ฟังสิ่งใดเธอลุกขึ้นและวิ่งออกจากร้านไปทันที

“นี่แกจะไปไหนเนี่ย ชัน! ชัน!” เอื้อเฟื้อตะโกนตามหลังหากแต่ร่างเล็กไม่หันมามอง เธอวิ่งออกจากร้านไปและสวนทางกับจินโฮ เขาหยุดเธอด้วยการรั้งแขนเธอไว้

“คุณอึนชัน จะไปไหนหรือครับ?” จินโฮถามขึ้นด้วยท่าทางแปลกใจที่เห็นเธอวิ่งหน้าตาตื่นออกมา

“ฉันขอโทษค่ะ แต่ฉันคงไปกับคุณไม่ได้แล้ว” ร่างเล็กกล่าวก่อนจะแกะมือของเขาออกและวิ่งหายไปทันที จินโฮได้แต่ยืนอึ้ง

“ชัน! ชัน! ชัน! ยัยบ้าเอ้ย!” เอื้อเฟื้อวิ่งตามออกมาร้องเรียกเธอ แต่ตอนนี้เธอก็หายลับตาไปเสียแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มสองคนที่มองหน้ากันด้วยอาการหนักใจ

ขณะเดียวกันดาราสาวกำลังเดินหนีชายน่าสงสัยซึ่งมองเธอด้วยสายตาแปลกและเดินตามเธอไม่หยุด ร่างบางสั่นเทาด้วยอาการหวาดกลัวมือไม้ของเธออ่อนไปหมด เธอพยายามเร่งฝีเท้าแต่เขากลับเร่งตามเธอเข้ามาอีก จนในที่สุดเธอตัดสินใจวิ่งหนีหากแต่ด้วยความร้อนรนแทนที่จะวิ่งไปในที่โล่งกว้างเธอกลับวิ่งเข้าห้องน้ำหญิง แชวอนรีบล็อคประห้องน้ำทันที พลันน้ำตาแห่งความกลัวก็หลั่งไหล

“ช่วยด้วย......ใครก็ได้ช่วยด้วย เท็ดดี้ คุณอัญชัน” เธอภาวนาอยู่ในใจ ทันใดเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอรีบหยิบมันขึ้นมาดู และที่หน้าจอนั่นก็ปรากฏชื่อของคนที่เธอเรียกหา “อัญชัน”

“คุณอัญชันช่วยฉันด้วย!” แชวอนร้องขอความช่วยเหลือทันทีที่รับสาย

“คุณอยู่ที่ไหนค่ะ?” อัญชันที่วิ่งหากระหื่นหระหอบถามด้วยความเป็นห่วง

“ฉันอยู่ที่สนามบินอินชอน ในห้องน้ำหญิงชั้น 2ประตู E” แชวอนบอกเสียงสั่น เมื่ออัญชันได้ยินดังนั้นก็รีบวางสายและวิ่งไปที่นั่นสุดฝีเท้า

“คุณอัญชัน!ๆ” ร่างบางร้องเรียกคนในโทรศัพท์หากแต่สายถูกตัดไปเสียก่อน เช่นนี้แล้วเธอจะทำอย่างไรดี น้ำตาแห่งความหวาดกลัวจึงหลั่งไหลนองหน้าขาวนวลนั้น เธอทรุดนั่งลงที่ชักโครกและกอดเข่าสะอึกสะอื้น ทันใดประตูห้องของเธอก็ถูกทุบ

ปัง! ปัง! ปัง! ร่างบางกอดเข่าแน่นตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“คุณแชวอน ๆ ๆ คุณอยู่ในนั้นหรือเปล่าค่ะ คุณแชวอน!” เสียงคุ้นหูของคนร่างเล็กนั่นเอง แชวอนได้ยินดังนั้นก็รีบลุกไปเปิดประตูทันที เมื่อประตูเปิดออกร่างบางก็โผเข้าไปหาคนตรงหน้า เธอกอดร่างเล็กไว้แน่นพร้อมสะอื้นไห้ด้วยความดีใจ

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะค่ะ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว” ร่างเล็กกอดปลอบประโลมพลางลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน

อัญชันพาดาราสาวมายังที่นั่งรอผู้โดยสารใกล้ๆแถวนั้น ร่างบางยังไม่หายจากอาการสั่น อัญชันเห็นดังนั้นจึงกุมมือของเธอไว้และขุกเข่าลงตรงหน้า

“คุณปลอดภัยแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวแล้วนะค่ะ ฉันจะดูแลคุณเอง” อัญชันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางกระชับมือนุ่มของเธอไว้

“ขอบคุณนะค่ะ ถ้าไม่ได้คุณฉันคง...” แชวอนหวนคิดถึงเหตุการณ์น่ากลัวเมื่อครู่มันทำให้ตัวเธอสั่นขึ้นมาอีก อัญชันจึงกระชับมือเธออีกครั้ง

“คุณอัญชันมาที่นี่ได้ยังไงกันค่ะ ทำไมถึงได้มาช่วยฉันไวนัก” แชวอนถามขึ้นเมื่อได้สติ

“เอ่อ....ฉันอยู่แถวนี้พอดีนะค่ะ แล้วคุณแชวอนละค่ะ?” อัญชันรีบหาขออ้างมาตอบ

“อย่างงั้นหรือค่ะ ฉันกำลังจะไปแดกู เอ๊ะนั่น....นี่คุณกำลังจะเดินทางหรือค่ะ? ฉันทำให้คุณเสียเวลาหรือเปล่า?” แชวอนถามขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นกระเป๋าที่ร่างเล็กสะพายมันดูใหญ่และแปลกตากว่าทุกครั้ง ร่างเล็กนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

“มัน...ไม่สำคัญแล้วละค่ะ ฉันไม่ไปแล้ว” ร่างเล็กตอบพลางสบตาคู่สวยของร่างบางและส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องของดาราสาวจะดังขึ้นขัดบรรยากาศ ทั้งสองต่างหลบตากันด้วยความเขินอาย

“ฉันคงต้องไปแล้วละค่ะ” ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยความเสียดาย ร่างเล็กก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำยอม อัญชันเดินมาส่งแชวอนถึงประตูทางเข้าผู้โดยสาร

“เดินทางปลอดภัยนะค่ะ” ร่างเล็กกล่าวอวยพรด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ร่างบางค่อยๆหันหลังเดินเข้าประตูไป ร่างเล็กเองก็หันหลังเพื่อเดินทางกลับเช่นกัน แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆกระเป๋าที่เธอสะพายโดนใครบางคนดึงรั้งไว้ ร่างเล็กค่อยๆหันไปช้าๆ ก็พบกับร่างบางที่น่าจะเดินเข้าประตูผู้โดยสารไปแล้วยืนดึงกระเป๋าเธออยู่

“ถ้าคุณไม่มีธุระต้องไปที่ไหน จะไปกับฉันได้ไหมค่ะ?” ร่างบางเอ่ยถามเสียงอ้อนนั่นทำให้ร่างเล็กยิ้มแก้มปริและพยักหน้าหงึกๆเป็นการตอบรับ สองสาวยืนยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุข โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของจินโฮจ้องมองพวกเธอด้วยความเจ็บปวด ทั้งที่เขาพยายามแล้วแท้ๆ พยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่าน แต่ภาพที่เห็นมันก็ตำตาเสียจนต้องยอมรับว่ามันคือความจริง อัญชันผู้หญิงที่เขาหลงรักนั้น เธอรักคนอื่น

ณ สนามบินแดกู

“คุณแชวอนไม่ได้เอากระเป๋ามาด้วยหรือค่ะนี่?” อัญชันเอ่ยถามขึ้นเมื่อสังเกตว่าดาราสาวเดินตัวเปล่าตั้งแต่ลงจากเครื่องมา

“เสื้อผ้าที่บ้านฉันมีเยอะค่ะ เพราะมาที่นี่บ่อยฉันก็เลยไม่อยากหิ้วกระเป๋าไปมานะค่ะ” แชวอนอธิบาย เธอเดินนำอัญชันไปยังประตูทางออกที่นัดกับพ่อแม่ไว้ เมื่อสองสาวเดินพ้นประตูมาก็เห็นรถคันหนึ่งจอดรอพวกเธออยู่ ข้างๆรถมีชายและหญิงวัยกลางคนกำลังยืนโบกมือให้ทั้งสองอยู่

“คุณพ่อ คุณแม่!” ร่างบางตะโกนเรียกพลางวิ่งไปยังทั้งสอง เธอเข้าไปกอดหญิงวัยกลางคนอย่างสุดรัก

“คิดถึงคุณแม่ที่สุดเลย” เธอกล่าวก่อนจะหอมแก้มของแม่ไปฟอดใหญ่ พร้อมๆกับที่มีมือใหญ่ของชายวัยกลางคนกำลังลูบผมเธออย่างเอ็นดู

“คุณพ่อก็ด้วยนะค่ะ หนูคิดถึงคุณพ่อที่สุดเลย” เธออ้อนเสียงหวานและเข้าไปกอดแขนผู้เป็นพ่อไว้

“เมื่อกี้ยังบอกคิดถึงแม่ที่สุดอยู่เลย ตกลงคิดถึงใครที่สุดกันแน่ละเนี่ย?” ผู้เป็นพ่อกล่าวเหย้าขึ้น

“แหมก็ทั้งสองคนละค่ะ” แชวอนตอบเสียงหวาน อัญชันมองภาพครอบครัวอบอุ่นนั้นอย่างมีความสุข ก่อนที่ดาราสาวจะหันมาที่ร่างเล็ก

“คุณอัญชันค่ะ ทางนี้ค่ะ” แชวอนตะโกนเรียกให้ร่างเล็กเดินมาหา อัญชันก็เดินไปอย่างว่าง่าย

“คุณพ่อคุณแม่ค่ะ นี่คุณอัญชัน เธอเป็น........ผู้ช่วยและเพื่อนของหนูนะค่ะ” แชวอนนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะบอกสถานะของอีกคน เพราะเธอเองก็ไม่มั่นใจว่าที่จะบอกว่าเป็นอะไรกันแน่ อัญชันจึงก้มทักทายอย่างสุภาพ

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออัญชันค่ะ” ร่างเล็กพยายามพูดภาษาเกาหลีในประโยคที่เธอเคยนั่งถ่องจนจำได้ หากแต่สำเนียงของเธอมันฟังดูแปล่งเสียจนร่างบางอดขำไม่ได้

“ฮิๆๆ เก่งจังค่ะ พูดเกาหลีได้ด้วย” แชวอนกล่าวเหย้าให้ร่างเล็กหน้าแดง

“ไม่เอาน่าแชวอน เสียมารยาทนะลูก ไปล้อเพื่อนทำไม” คุณนายมุนกล่าวปรามลูกสาว ก่อนจะยิ้มให้ร่างเล็กอย่างเอ็ดดู

“สวัสดีจ้า ยินดีที่ได้รู้จักนะ เห็นแชวอนว่าจะมาค้างด้วยใช่ไหม ตามสบายนะ พวกเรายินดีต้อนรับจ๊ะ” คุณนายมุนกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยภาษาอังกฤษ อัญชันรู้สึกประทับใจครอบครัวอันอบอุ่นนี้เหลือเกิน

“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรอแชวอน ทำไมถึงเปลี่ยนเที่ยวบินละ? พ่อกับแม่เป็นห่วงแทบแย่” คุณมุนถามขึ้นอย่างสงสัยขณะขับรถกลับ แชวอนได้ยินดังนั้นก็หันมาหาอัญชันซึ่งทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจที่คุณมุนพูด ก่อนจะตอบออกไป

“หนูตกเครื่องนะค่ะ ก็เลยต้องรอรอบถัดไป” แชวอนตอบ

“ยังงั้นหรอ แม่ก็นึกว่าเพราะเพื่อนลูกจะมาด้วยซะอีก ลูกเลยต้องเปลี่ยนเที่ยวบิน” คุณนายมุนเสริมขึ้นให้แชวอนแทบสะอึกที่แม่ของเธอทายถูก แล้วแบบนี้เธอจะโกหกทำไมกัน แต่ถ้าหากบอกความจริงออกไปแม่ของเธอก็คงต้องซักไซ้อีกเป็นแน่ เธอไม่อยากให้พ่อแม่รู้ว่าเธอเจอคนโรคจิตเกรงว่าพวกท่านจะเป็นห่วง

เมื่อมาถึงบ้านคุณและคุณนายมุนต้อนรับอัญชันด้วยอาหารเต็มโต๊ะและความเป็นกันเอง

“คงหิวละซิจ๊ะ ตามสบายนะ ทานเยอะๆ” คุณนายมุนบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อัญชันจึงก้มขอบคุณอย่างสุภาพและทานอาหารร่วมโต๊ะกับทุกคน

“น่าเสียดายนะที่น้องชายตัวดีของลูกไม่ว่าง เห็นว่าง่วนกับการทำโปรเจ็คอยู่ เฮ้อทั้งที่เป็นเทศกาลชูซอกแท้ๆ น่าเสียดาย” คุณมุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียเศร้า เทศกาลชูซอกคือการบูชาความอุดมสมบูรณ์ของผลิตผลการเกษตรหลังฤดูเก็บเกี่ยว ตามประเพณีนั้นชาวเกาหลีจะเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของบรรพบุรุษโดยมักจะไปเยี่ยมสุสานเพื่อแสดงความเคารพและนำพืชผลซึ่งเพิ่งจะเก็บเกี่ยวเสร็จมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้

“แหม ปีหน้าก็ยังมีค่ะพ่อ ดีแล้วละค่ะ จะได้มีห้องว่างให้คุณอัญชัน” แชวอนกล่าวปลอบผู้เป็นพ่อ หลังทานอาหารเสร็จร่างบางก็พาอัญชันไปยังห้องของน้องชาย

“ใช้ได้ตามสบายเลยนะค่ะ อันไหนรกๆก็จับโยนทิ้งไปบ้างก็ได้” แชวอนกล่าวอย่างอารมณ์ดี ให้ร่างเล็กขบขัน

“ขอบคุณนะค่ะ แล้วก็ขอโทษที่มารบกวนค่ะ” อัญชันก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ

“อะไรกันค่ะคุณอัญชัน คุณไม่ได้รบกวนเลยนะค่ะ เป็นฉันเองต่างหากที่อยากให้คุณมา ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณนะค่ะที่มาเป็นเพื่อนฉัน ขอบคุณจริงๆที่ช่วยฉันไว้” แชวอนก้มศีรษะขอบคุณอย่างซึ้งใจ อัญชันจึงจะเข้าไปจับร่างบางให้เงยหน้าขึ้น แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่แชวอนเงยหน้าขึ้นซะก่อน ใบหน้าของทั้งสองจึงเกือบจะชนกัน มันใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนของอีกฝ่าย

“เด็กๆทำอะไรอยู่เอ่ย?” เสียงของคุณนายมุนดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัว ทำให้สองสาวรีบผละออกจากกันทันที

“เอ่อ....หนูไปนอนก่อนนะค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” แชวอนรีบขอตัวและเดินออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน

“อะไรของเขานะลูกคนนี้?” คุณนายมุนบ่นพึมพำ ก่อนจะหันมาหาอัญชัน

“นี่จ๊ะผ้าเช็ดตัว ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกได้นะจ๊ะ” เธอยื่นผ้าพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน อัญชันก้มขอบคุณและรับมันไว้

“ถ้าอย่างงั้นก็ ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ” คุณนายมุนกล่าวก่อนจากไป เหลือเพียงร่างเล็กที่ยังคงใจวูบไหวอยู่กับเหตุบังเอิญเมื่อครู่

“คิดอะไรของแกอยู่เนี่ยยัยบ้าอัญชัน นั่นน่ะ...นางฟ้านะ แกไม่มีวันคู่ควรกับเขาหรอก” อัญชันเอ่ยขึ้นกับตัวเองพลางถอนหายใจ

ขณะเดียวกันในห้องนอนของดาราสาว ร่างบางนอนก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แค่เพียงมีภาพของสาวร่างเล็กปรากฏขึ้น หัวใจของเธอก็สั่นไหวราวกับมีใครมาสั่นกระดิ่ง ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน? มันมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน จนคับอยู่ในอกนี้ เธอจะทำอย่างไรกับมันดี?

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

The Fan Club ตอนที่5


ตอนที่ 5 อย่าเร่งรัก (Don’t rush Love)

เช้าที่แสนสดชื่นเช่นเคย เอื้อเฟื้อตื่นขึ้นตรงเวลาเหมือนดั่งทุกวัน หลังล้างหน้าล้างตาก็ตรงไปปลุกเพื่อนรักของตนหากแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเธอไม่อยู่ในห้องเสียแล้ว

“ไปไหนของมันว่ะ? เช้าตรู่แบบนี้” เขารำพึงขึ้นกับตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากครัวใหญ่ซึ่งเป็นที่ประกอบอาหารและทานอาหารร่วมกันของทุกคนในบ้านพัก เขาจึงเดินไปตามเสียงนั่น

“นี่แกทำอะไรเนี่ย?” เอื้อเฟื้อถามขึ้นเมื่อเข้ามาพบกับความโกลาหลในครัวซึ่งเกิดจากน้ำมือเพื่อนตัวเล็กของเขา

“อ้าวว่าไงเอื้อ ตื่นแล้วหรอ ฉันกำลังทำคิมบับนะ” เธอทักทายเขาอย่างแข็งขันแต่ก็ไม่วางมือจากการห่อสาหร่าย เอื้อเฟื้อสังเกตเห็นกองคิมบับหน้าตาน่าสงสารด้วยมันทั้งทั้งเล็กไปหรือไม่ก็ใหญ่ไปจนไส้ทะลัก หรือบางอันก็เละจนมองแทบไม่ออก

“นี่แกจะทำไปทำไมเยอะแยะว่ะ ของพวกนี้ก็กินได้ทำไมไม่เอา” เขาเอ่ยถามพลางเดินไปหยิบกองคิมบับเละๆนั้นขึ้นมากิน

“อ้า! ในที่สุดก็ทำสำเร็จ เป็นไงๆ สวยใช่ไหม” อัญชันร้องขึ้นอย่างดีใจเมื่อความพยายามของเธอสัมฤทธิ์ผล หลังจากยืนห่อสาหร่ายมานานมันก็ออกมาเหมือนคิมบับจนได้ เมื่อได้คิมบับหน้าตาดีตามตั้งใจเธอก็รีบเอามันใส่กล่องข้าวและเก็บใส่กระเป๋าตัวเองเตรียมตัวจะออกจากบ้าน

“เฮ้ๆ นี่แกคิดว่าแกกำลังจะทำอะไรนะ?” เมื่อเห็นดังนั้นเอื้อเฟื้อจึงถามขึ้น

“อ้าวก็ไปทำงานนะซิ ไปละนะ” เธอตอบด้วยใบหน้าสดใส

“เฮ้ยแล้วครัวนี่ละ แล้วนี่แกจะไปเรียนไหมวันนี้นะ?” เขารีบลนลานถาม

“ฉันจะรีบกลับแล้วกัน ยังไงก็ฝากเล็คเชอร์ด้วยนะ อ้อแล้วก็ฝากเก็บครัวด้วย ไปละ บายเพื่อน” เธอบอกก่อนจะรีบวิ่งออกไป

“อ้าวเฮ้ย! กลับมาเก็บเองซิว่ะ ให้ตายเหอะยัยบ้านี่!” เขาตะโกนตามหลังร่างเล็ก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักใจ เมื่อนึกถึงความทุ่มเทที่เพื่อนรักมีต่องานใหม่ของเธอจนละเลยการเรียนที่เขาและเธอฝ่าฟันกันมา

“แกจะเอายังไงกับชีวิตกันว่ะ ชันเอ้ย”


ณ สถานที่จัดงานอีเว้นเปิดตัวสินค้าที่ดาราสาวเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้นั้นทีมงานทุกคนกำลังทำงานกันอย่างขมักเขม่น ดาราสาว มุน แชวอน ที่มาถึงงานแต่หัววันก็กำลังฟังกำหนดการจากทีมงานอย่างตั้งใจอยู่

“เอ๋?....คุณจางเห็นคุณอัญชันไหมค่ะ ตอนเข้ามายังอยู่ด้วยกันอยู่เลย” ดาราสาวถามขึ้นเมื่อมองไม่เห็นร่างเล็กในรัศมีสายตา

“เหมือนจะเห็นแว๊ปๆนะจ๊ะที่หน้าเวทีน่ะ” คุณจางตอบ แชวอนจึงออกไปที่หน้าเวทีตามที่เขาว่าก็พบเข้ากับร่างเล็กที่เธอตามหาอยู่ อัญชันกำลังช่วยทีมงานจัดเวทีอย่างแข็งขัน ทั้งที่ตัวก็เล็กออกปานนั้นแต่กลับยกลำโพงที่ใหญ่กว่าตัวได้ ดาราสาวมองดูอัญชันอย่างชื่นชม

“คุณเนี่ย ดีกับทุกคนจริงๆเลยนะ คุณอัญชัน” เธอพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แอบน้อยใจ

“แชวอนจ๊ะมาแต่งหน้าเร็ว” คุณจางตะโกนเรียก

“ค่า!” ดาราสาวจึงจำใจละสายตาจากร่างเล็กที่เธอมองไม่เคยเบื่อ

เมื่อดาราสาวแต่งหน้าและแต่งตัวเสร็จแล้วเธอก็นั่งอ่านรายละเอียดงานในห้องแต่งตัวอย่างตั้งใจเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้

“คุณแชวอนค่ะ แต่งตัวเสร็จแล้วหรือค่ะ” เสียงใสเอ่ยขึ้น

“คุณอัญชัน” ดาราสาวหันไปทักคนร่างเล็กที่เพิ่งเสร็จจากงานหน้าเวที

“เหนื่อยหน่อยนะค่ะ แต่ฉันเชื่อว่าคุณแชวอนต้องทำได้ดีอยู่แล้วละค่ะ” อัญชันเอ่ยขึ้นเพื่อให้กำลังใจดาราสาว

“ฮิๆๆ คนที่เหนื่อยคือคุณต่างหาก ดูซิเหงื่อออกเต็มเลย” ดาราสาวขบขันก่อนที่จะหยิบทิชชู่ไปซับเหงื่อให้อีกคน ใบหน้าของร่างเล็กจึงแดงขึ้นทันทีให้ดาราสาวแอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู

“เอ่อ...คือ ฉันทำคิมบับมาให้ด้วยนะค่ะ ถ้าคุณแชวอนหิวก็ทานได้เลย” ร่างเล็กยื่นกล่องข้าวที่แอบไว้ด้านหลังส่งให้ดาราสาว

“ตายจริง นี่คุณอัญชันจำได้ด้วยหรือค่ะ ขอบคุณมากค่ะ กำลังหิวเลย” เธอรับมันมาและเปิดทานทันที

“อร่อยมากค่ะ ขอบคุณจริงๆนะค่ะ” เธอหันไปบอกคนทำด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ร่างเล็กแก้มปริด้วยความยินดี

“ยินดีเสมอค่ะ” อัญชันตอบรับอย่างเขินอาย

เมื่องานเริ่มขึ้นดาราสาวก็ง่วนกับการทำตามกำหนดการที่ยืดเยื้อมามากแล้ว เธอต้องขึ้นไปโชว์ตัวบนเวทีและให้สัมภาษณ์ถึงผลลัพธ์การใช้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ จนเมื่องานเสร็จลงเธอจึงกลับเข้าไปยังห้องแต่งตัวอีกครั้ง ก็สังเกตได้ว่าร่างเล็กไม่อยู่เคียงข้างเธออีกแล้ว

“หายไปไหนของเขาอีกแล้วละเนี่ย?” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องกระวนกระวายใจด้วยเมื่อไม่เห็นร่างเล็ก หรือเพราะเธอเริ่มจะเคยชินกับการมีร่างเล็กๆของอีกคนอยู่ใกล้ๆและมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันแปลก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเธอสุขใจเหลือเกินเพียงแค่คิดถึงอัญชัน เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเธอก็พร้อมที่จะกลับแต่ก็ยังไม่เห็นอีกคนสักที

“คุณจางค่ะ คุณอัญชันไปไหนหรือค่ะ?” ดาราสาวถามด้วยใบหน้ากังวลจนผู้จัดการของเธอสังเกตได้

“ตายจริงแชวอน ถามถึงแต่อัญชันๆ ทั้งวันเลยนะจ๊ะวันนี้นะ ไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะเดี๋ยวเขาก็มา เห็นบอกว่าจะออกไปช่วยเขาแจกสินค้านะ” คุณจางตอบด้วยน้ำเสียงเหย้าแหย่ให้ดาราสาวหน้าแดง แต่ก็แอบน้อยใจที่ได้ยินว่าคนตัวเล็กหนีไปทำดีกับคนอื่นอีกแล้ว ทั้งที่เธอเหนื่อยกับงานมาทั้งวันหวังจะเห็นหน้าอีกคนหลังงานเลิกให้ชื่นใจสักหน่อย

“อ้าวนั่นไงมาโน่นแล้ว!” คุณจางกล่าว ดาราสาวจึงหันไปตามที่ผู้จัดการเธอบอก ก็พบเข้ากับร่างเล็กซึ่งกำลังเดินมาทางทั้งสองพร้อมกับเหล่าพริตตี้ที่ทำหน้าที่แจกสินค้าในงานและพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ดาราสาวถึงกับทำหน้ามุ่ยทันที

“ขอบคุณมากนะค่ะที่มาช่วยงาน” เหล่าพริตตี้ต่างโค้งขอบคุณอัญชันในความมีน้ำใจของเธอ

“ยินดีค่ะ” ร่างเล็กเองก็โค้งรับการขอบคุณอย่างสุภาพ เมื่อเหล่าพริตตี้แยกย้ายกันไปอัญชันก็หันมาเจอใบหน้ามุ่ยของใครบางคนที่กำลังมองเธออยู่อย่างไม่พอใจ

“เอ่อ....เหนื่อยหน่อยนะค่ะคุณแชวอน วันนี้ทำได้ดีมากเลยค่ะ” อัญชันกล่าวขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับเมินหน้าหนี

“กลับกันเถอะค่ะคุณจาง” เธอไม่ตอบร่างเล็กแต่หันไปพูดกับผู้จัดการและเดินนำออกไป ทิ้งให้ร่างเล็กยืนหน้าจ๋อยด้วยความงง

“เอ๋?....เราทำอะไรผิดหว่า?” อัญชันเอ่ยกับตัวเองอย่างสงสัย

ขณะเดินทางกลับคุณจางก็กล่าวชมดาราสาวมาตลอดทางและพูดถึงตารางงานในสัปดาห์หน้าของเธอ ในขณะที่ดาราสาวเอาแต่จ้องร่างเล็กที่ผล็อยหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยซึ่งนั่งอยู่ตอนที่สองของรถตู้เพียงคนเดียว

“แชวอนจ๊ะฟังอยู่หรือเปล่าเอ่ย?” คุณจางถามขึ้นเมื่อเห็นดาราสาวไม่มองมาที่ตน

“เอ๋? อ่ะค่ะ ค่ะฟังอยู่” แชวอนลนลานตอบเมื่อรู้สึกตัว

“พรุ่งนี้จนถึงสัปดาห์หน้าไม่มีงานอะไร ตามที่แชวอนขอมาว่าจะกลับบ้านไปหาญาติในเทศกาลชูซอก (วันขอบคุณพระเจ้า) นะจ๊ะ” คุณจางกล่าว

“อ่ะค่ะ ขอบคุณค่ะที่ช่วยจัดตารางงานให้” แชวอนตอบ ก่อนที่รถจะมาจอดยังหน้าบ้านของคุณจาง

“งั้นก็เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ เจอกันสัปดาห์หน้าจ๊ะ” คุณจางกล่าวก่อนจะลงจากรถไป เมื่อเหลือเพียงตัวเองและคนไร้สติที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้างหลัง เธอก็คิดได้ว่าไม่รู้จะไปส่งอีกคนที่ไหนดี เธอไม่เคยไปที่บ้านของอีกคนมาก่อน

“คุณแชวอนจะไปที่คอนโดเลยไหมครับ?” คนขับรถเอ่ยถามขึ้นเมื่อเธอยังคงเงียบอยู่

“ค่ะ” เธอตอบ ในเมื่อไม่รู่ว่าอีกคนอยู่ที่ไหนก็คงต้องให้ไปด้วยกัน ตลอดทางเธอเอาแต่จ้องร่างเล็กไม่วางตา มันแปลกที่เธอไม่อยากละสายตาจากร่างนั้นเลย ใบหน้ายามหลับของอีกคนที่เธอคิดว่าน่ารักน่าชังเป็นที่สุดทำให้หมั่นเขี้ยวจนอยากจะเข้าไปหยิกแก้มใสๆนั่น นี่ถ้าไม่ติดว่าอีกคนนั่งอยู่ที่นั่งคนละตอนกันเธอคงทำมันจริงๆแน่ ทันใดเสียงโทรศัพท์ของร่างเล็กก็ดังขึ้นขัดอารมณ์ของดาราสาวและทำให้เจ้าของมันตื่นตามไปด้วย แชวอนจึงรีบหันกลับมานั่งปกติตามเดิม

“ค่า.....กำลังกลับค่ะ.....อืม” อัญชันรับโทรศัพท์ด้วยอาการสลึมสลือ ก่อนจะหันไปถามดาราสาวอย่างงัวเงีย

“ถึงไหนแล้วค่ะคุณแชวอน?” ร่างเล็กถามขณะที่ดวงตายังไม่เปิดดีนัก

“ใกล้ถึงคอนโดฉันแล้วค่ะ คุณอัญชันจะให้ไปส่งที่ไหนหรือค่ะ?” ดาราสาวตอบและถามกลับอีกคน

“กำลังจะไปดอนโดคุณแชวอนค่ะ คุณจินโฮ” หากแต่ร่างเล็กกลับตอบคนในโทรศัพท์แทน นั่นทำให้แชวอนรู้ว่าอีกคนคุยกับใคร อารมณ์ขุ่นใจก็เข้ามาคอบงำเธอทันที

“นี่เรียกชื่อกันแล้วหรอเนี่ย?” แชวอนนึกในใจ

เมื่อมาถึงคอนโดของดาราสาวเธอก็พบว่าจินโฮได้มารออยู่ก่อนแล้ว เขารีบเดินไปหาสองสาวทันทีที่พวกเธอลงจากรถ

“สวัสดีแชวอน คุณอึนชัน วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ” เขากล่าวทักทายทั้งคู่

“สวัสดีค่ะคุณปาร์ค มีอะไรหรือเปล่าค่ะ?” แชวอนถามขึ้นอย่างสงสัยที่เห็นชายหนุ่มอยู่ที่นี่

“อ้อผมมารับคุณอึนชันนะครับ ไปครับ กลับกันเถอะครับคุณอึนชัน” เขาตอบก่อนจะเข้าไปโอบร่างเล็ก แชวอนมองภาพนั้นอย่างขัดใจ

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ คุณแช.....” ไม่ทันที่ร่างเล็กจะได้กล่าวลาร่างบางก็รีบเดินหุนหันเข้าคอนโดไป อัญชันจึงได้แต่เกาศีรษะตัวเองด้วยความสงสัย

“เฮ้อ....เราทำอะไรผิดอีกเนี่ย?” ร่างเล็กกล่าวพลางถอนหายใจ

เมื่อมาถึงที่พักเอื้อเฟื้อก็ยืนรอหน้ายักษ์อยู่หน้าบ้าน ทั้งที่เขาอุส่าห์เตือนเพื่อนตัวดีให้รีบกลับไปเรียนให้ทันแท้ๆ แต่เธอก็ดันทำงานจนเลยเวลาอีกตามเคย เมื่อเห็นร่างเล็กก้าวลงมาจากรถเขาก็ตรงเข้าไปหาเธอทันทีเพื่อจะต่อว่าให้หนำใจ แต่เธอกลับเดินหน้าเศร้าผ่านเขาไปเสียเฉยๆ ทำให้เอื้อเฟื้อถึงกับทำหน้าเหวอ

“เป็นอะไรของมันอีกว่ะเนี่ย?” เขาบ่นพึมพัมกับตัวเอง

“คงเหนื่อยนะครับ วันนี้คุณอึนชันทำงานทั้งวันเลย” จินโฮที่ลงรถตามมาเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเอื้อเฟื้อบ่นพึมพำกับตัวเอง

“คุณปาร์ค ขอบคุณนะครับที่มาส่งยัยบ้านั่นนะ ต้องลำบากคุณอยู่เรื่อยเลย” เอื้อเฟื้อโค้งขอบคุณอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีครับ” จินโฮตอบรับด้วยความเต็มใจ เอื้อเฟื้อมองท่าทางนั้นของจินโฮก็ครุ่นคิดถึงเพื่อนสาวตัวเล็ก เขาเป็นกังวลถึงความคลั่งไคล้ที่เธอมีต่อ มุน แชวอน จนทำให้เธอละเลยการเรียนที่แสนสำคัญ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอัญชันคิดอะไรแต่เขาที่เป็นเพื่อนสนิทย่อมมุ่งหวังให้เธอพบเจอกับสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จะอยู่เคียงข้างเธอ

“คุณปาร์คครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักหน่อยนะครับ?” เอื้อเฟื้อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คุณแทยังมีอะไรหรือครับ?” จินโฮถามกลับอย่างสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เคร่งเครียด

“คุณคิดยังไงกับเพื่อนของผมกันแน่?” เอื้อเฟื้อถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จินโฮถึงกับตกใจ เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะตัดสินใจตอบออกไป

“ผมชอบเธอครับ ผมชอบคุณอึนชัน” จินโฮตอบอย่างหนักแน่น แม้จะแอบหวั่นใจเล็กน้อยเพราะอยู่ๆอีกฝ่ายก็ถามขึ้นมาแบบนี้ แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของเขา เขาจึงไม่สามารถที่จะโกหกต่อความรู้สึกของตัวเองได้

“ดี.....ถ้าอย่างงั้นผมขออะไรคุณอย่างได้ไหม?” เอื้อเฟื้อตอบรับ แต่ยังคงทำท่าเคร่งขรึมอยู่ จินโฮจึงพยักหน้าตอบเป็นการตกลง

“ในชีวิตของผมนะ มีคนที่สำคัญอยู่ไม่กี่คนหรอกนะ แล้วยัยนั่นก็อยู่อันดับแรกๆ ยัยนั่นนะไม่ได้เป็นแค่เพื่อน แต่ยังเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของผม......ผมฝากคุณหน่อยได้ไหม ยัยนั่นน่ะ ผมฝากคุณดูแลยัยนั่นด้วย ผมเองคงไม่สามารถดูแลเขาได้ตลอดเวลา คุณจะรับปากผมได้ไหม?” เอื้อเฟื้อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังที่แฝงไปด้วยความห่วงใยที่เขามีต่อเพื่อนรัก นั่นทำให้จินโฮถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ

“ผมรับปากครับ ผมจะดูแลคุณอึนชันให้ดีที่สุด” จินโฮตอบตกลงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เอื้อเฟื้อยิ้มรับกับคำตอบนั้นก่อนจะเดินหายเข้าบ้านไป คำตอบที่ได้จากจินโฮทำให้เขาเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ามีคนที่รักและเป็นห่วงอัญชันอีกคนอยู่เคียงข้างเธอ หากเพื่อนที่แสนสำคัญของเขาต้องเจอกับปัญหาและเขาไม่สามารถช่วยเธอได้ เธอก็คงจะไม่โดดเดียวเป็นแน่ ที่เขาให้ความสำคัญกับเธอถึงเพียงนี้เป็นเพราะ เธอเองก็ให้ความสำคัญกับเขาไม่แพ้กัน ในวัยเด็กที่แสนยากลำบากของเอื้อเฟื้อซึ่งเป็นเด็กกำพร้าอาศัยวัดอยู่ เขาทั้งอดยากและโดนกลั่นแกล้งจากเด็กในวัยเดียวกัน มีเพียงเด็กสาวตัวเล็กใจเด็ดคนหนึ่งเท่านั้นที่คอยปกป้องและช่วยเหลือเขาเสมอมา บ่อยครั้งที่เธอแบ่งอาหารกลางวันให้เขากิน รวมทั้งเสื้อผ้าและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ตั้งแต่เล็กยันโตพวกเขาอยู่เคียงข้างกันเสมอคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเมื่อถึงคราวที่อัญชันเจอทางแยกแห่งอนาคต เขาซึ่งเป็นเพื่อนย่อมต้องทำหน้าที่แนะนำให้เธอเลือกทางที่ดี แม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจก็ตาม

“แกคุยบ้าอะไรอยู่กับคุณจินโฮตั้งนานสองนานว่ะ? ฉันรอแกจนจะเป็นง่อยแล้วเนี่ย” อัญชันเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเอื้อเฟื้อเปิดประตูบ้านเข้ามา

“แล้วแกรอฉันทำไม? ทำไมไม่ไปอาบน้ำ?” เขาตอบกลับ

“ก็....ฉันรอให้แกมาช่วยแปลไงละ” เธอตอบเสียงอ่อย

“หา? นี่แกยังจะเข้าไปแชทอีกหรอ แกก็เพิ่งไปเจอกับเขามาทั้งวันแล้ว ยังจะเข้าไปแชทอีกทำไม?” เอื้อเฟื้อเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ

“เอาน่า ฉันขอร้องละ วันนี้ดูท่าทางเขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นอะไร ช่วยหน่อยนะๆๆ” อัญชันยกมือไหว้อ้อนวอน เอื้อเฟื้อถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ


Teddy Bear – สวัสดี คุณนอนหรือยังคนสวย? (o'‿'o✿)

Bbong9 – ยัง วันนี้ฉันอารมณ์บูดสุดๆไปเลย ✖︶︹︺✖

Teddy Bear – เอ๋? ⊙0⊙ ใครกันน้าบังอาจมาทำให้มายมูนของฉันอารมณ์บูด [︶︹︺]

Bbong9 – ฮิๆๆ มายมูนของคุณหรอ? ◕‿◕

Teddy Bear – ใช่สิ ว่าแต่โมโหอะไรหรอคนดี? บอกหน่อยได้ไหม? ⊙ω⊙ 

Bbong9 – ฉันโมโหคนบางคน เขาทำตัวน่าหมันไส้มาก≧□≦

Teddy Bear – (;°○°) เขาทำอะไรหรอ?

Bbong9 – ไม่รู้สิ (ξ・з・) เขาก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก เพียงแต่ฉันรู้สึกไม่ชอบใจเท่านั้นเอง o(≧o≦)o

Teddy Bear – ทำไมกันละ ทำไมคุณถึงไม่พอใจ? \(•ิ_•ิ\)

Bbong9 – ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเท็ดดี้ คุณบอกฉันทีซิ ว่าฉันเป็นอะไร? ︸ ︵ ︶

Teddy Bear – คนดี ถ้าคุณไม่รู้แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไร? (◡‿◡✿)

Bbong9 – ฉันอยากเจอคุณจังเท็ดดี้ เราพบกันได้ไหม?

“เอายังไงละแก จะตอบยังไง” เอื้อเฟื้อหันมาถามเพื่อนสาว ก่อนที่เธอจะกดออกจากระบบสนทนา

“อ้าวเฮ้ย! หนีดื้อๆอย่างงี้เลยหรอ?” เอื้อเฟื้อถามอย่างสงสัย

“แล้วแกจะให้ฉันตอบว่าอะไรละ?” เธอตอบกลับด้วยสีหน้าเครียด

“ฉันก็บอกแกแล้วว่าให้บอกความจริงกับเธอไปเลย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว แกจะหลอกเขาไปถึงเมื่อไหร่ว่ะ?” เอื้อเฟื้อบอกอย่างระอา

“ฉันไม่ได้หลอกนะ เพียงแค่....ฉันยังไม่พร้อมเท่านั้นเอง” อัญชันตอบด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เธอหวาดกลัวกับความจริง หากดาราสาวทราบว่าเท็ดดี้คือใคร เธออาจจะต้องเสียหล่อนไปทั้งในฐานะของเท็ดดี้และในฐานะของอัญชัน

ขณะเดียวกันดาราสาวที่อยู่ๆก็ขาดการติดต่อกับคู่สนทนาก็กำลังนั่งกระวนกระวายใจหน้าจอคอมพิวเตอร์

“เป็นอะไรของเขานะ? เน็ตหลุดหรือไงกัน?” แชวอนบ่นพึมพำเมื่อไม่มีท่าทีว่าคู่สนทนาจะเข้าสู่ระบบ

“นี่เลิกพูดกับจอคอมฯสักทีเถอะ” ร่างโปร่งเดินเข้ามาในห้องนอนของเพื่อนสาวพร้อมทำหน้าระอาใส่อีกคน

“เปล่าสักหน่อย ฉันกำลังแชทอยู่ต่างหากละ” แชวอนตอบ

“นี่เธอยังคุยกับเจ้าโรคจิตนั่นอยู่อีกหรอ?” ฮโยจูถามด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“ฮโยจู! เท็ดดี้เขาไม่ใช่โรคจิตสักหน่อย เขาเป็นคนดีจะตาย” แชวอนรีบป้องผู้ที่ถูกเอ่ยนามขึ้นทันที

“โฮ่ นี่เรียกกันสนิทสนมเชียว เท็ดดี้ เชอะเจ้าหมีโรคจิต! นี่ถ้าหมอนั่นไม่ได้โรคจิตนะ ป่านนี้ก็คงออกมาพบเธอแล้วล่ะ คนบ้าอะไรคุยกันอยู่ได้ตั้งเกือบปี หมอนั่นต้องโรคจิตแน่ๆ” ฮโยจู่ประชดประชัน

“เขาก็คงมีเหตุผลของเขานะ แต่ฉันเชื่อว่าเขาเป็นคนดี” แชวอนบอกอย่างหนักแน่น จนทำให้เพื่อนสาวถึงกับหมันไส้

“เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ไม่สิ เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหมอนี่เลย” ฮโยจูเอ่ยขึ้นให้เพื่อนสาวครุ่นคิด

“ถ้าเขาเป็นผู้หญิงล่ะ เธอจะทำยังไง ห่ะ?” ร่างโปร่งถามซัก

“ฉันว่า...เขาน่าจะเป็นผู้ชายนะ” แชวอนตอบอ้อมแอ้ม

“น่าจะหรอ? นี่หมายความว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิงเธอก็โอเคยังงั้นหรอ?” ฮโยจูถามจี้

“ฉันไม่ได้หมายความว่ายังงั้นสักหน่อย” แชวอนรีบแก้ตัวทันที

“ให้ตายเถอะ เธอนี่น้า ฉันละกลัวใจเธอจริงๆ ยิ่งเป็นพวกอ่อนไหวง่ายเสียด้วย อยู่ใกล้ใครก็รักเขาไปทั่ว ฉันยังเคยแอบคิดว่าเธออาจจะเผลอใจไปหลงรักยัยเตี้ยอึนชันเข้า เห็นตัวติดกันแจเลย” ฮโยจูเอ่ยขึ้นให้แชวอนถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหน้าแดงก่ำ

“นี่เธอ โอ้ไม่นะ เธอคงไม่ได้ โฮ่พระเจ้า!” ฮโยจูแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสาว

“พะ..พูดอะไรของเธอเนี่ย เหลวไหลใหญ่แล้ว ฉันไปอาบน้ำดีกว่า” แชวอนรีบเปลี่ยนเรื่องและเดินหนีไปทันที

“นี่! ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ กลับมาซิ เธอจะรักใครก็ได้นะแต่ขอร้องว่าต้องไม่ใช่ยัยเตี้ยนั่น จะเป็นเจ้าหมีโรคจิตนี่ก็ได้ แต่ยกเว้นยัยนั่นคนเดียว เข้าใจไหมแชวอน นี่!” ฮโยจูตะโกนตามหลังเพื่อนสาวไปอย่างขัดอารมณ์ แต่อีกฝ่ายก็เดินจ้ำอ้าวหายไปให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่คนเดียว

ภายในห้องน้ำดาราสาวกำลังแชตัวอยู่ในอ่างที่เต็มไปด้วยฟองสบู่และกลิ่นหอมอบอวล เธอนั่งครุ่นคิดถึงคำพูดของเพื่อนสาว

“ฉันยังเคยแอบคิดว่าเธออาจจะเผลอใจไปหลงรักยัยเตี้ยอึนชันเข้า เห็นตัวติดกันแจเลย”

“หลงรักหรอ?..........ช่วยฉันด้วยเท็ดดี้” เธอมุดลงอ่างอาบน้ำด้วยเพราะรู้สึกว่าใบหน้าร้อนฉ่าขึ้นเมื่อคิดถึงคำพูดของเพื่อนสาว พร้อมกับร้องเรียกหาเท็ดดี้คนที่เธอคิดเสมอว่าเธอรักเขา แต่ตอนนี้ในหัวใจกลับมีใครอีกคนโผล่ขึ้นมาจนทำให้พื้นที่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยชื่อของคนคนนั้น แล้วแบบนี้คนที่เธอรักคือใครกัน?


วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

Thunder and the wind: The After war 4


ตอนที่ 4 สารท้ารบ

“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย!” เสียงคำรามของเจ้าบ้านดังขึ้น เมื่อเข้ามาเห็นสภาพในห้องอาบน้ำ

“ก็เจ้าบ้าอินอุกนะสิ อยู่ดีๆก็เข้ามาต่อยข้า” ยุนบกเอ่ยขึ้นพลางลูบริมฝีปากที่แตกจากหมัดของอินอุกอย่างเจ็บปวด

“เจ้าว่ายังไงนะ เจ้าคนหน้าด้าน เจ้าต่างหากที่ก่อเรื่อง!” อินอุกตะหวาดกลับทันที เขาผละมือจากการช่วยประคองจองฮยางที่ตอนนี้มีเพียงผ้าขาวบางพันรอบกาย หมายจะเข้าจู่โจมยุนบกอีกครั้ง ยุนบกเองก็ไม่น้อยหน้าเขาลุกขึ้นและพยายามขืนร่างจากฮงโดที่รั้งเขาไม่ให้เข้าไปหาอินอุก ทั้งสามยื้อยุดกันพักหนึ่งก่อนที่ฟ้าคำรามจะเดินเข้ามาจับศีรษะของอินอุกและยุนบกโขกกันอย่างแรง ทั้งสองต่างร้องโอดโอย

“พี่ฟ้าคำรามทำบ้าอะไรครับเนี่ย?” ยุนบกถามขึ้นพลางลูบศีรษะของตนโดยมีฮงโดช่วยประคองร่างเอาไว้

“ใช่ครับท่านทำอะไรครับเนี่ย?” อินอุกเองก็เอ่ยขึ้นเช่นกันโดยมีจองฮยางที่ยืนอยู่ใกล้ๆเข้ามาดูอาการอย่างเป็นห่วง

“หมาบ้าอย่างพวกเจ้ามันก็ต้องเจอแบบนี้” ฟ้าคำรามตอบ

“นี่ท่านว่าข้าเป็นหมาหรอ!
“นี่ท่านว่าข้าเป็นหมาหรอ!

ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันจึงมองหน้ากันอย่างตกใจ แต่ไม่ทันไรก็กลับมาทำหน้าเขม่นใส่กันอีก ฟ้าคำรามจึงหัวเราะขึ้นอย่างพอใจ

“ฮ่าๆๆๆ ดี พวกเจ้านี่มันสามัคคีกันดีจริงๆ” ฟ้าคำรามหัวเราะงอหาย ทั้งสองได้แต่งงกับประโยคที่เขาเอ่ย ก่อนจะมองเขม่นกันเช่นเดิม

“นี่พวกเจ้าจะให้สุภาพสตรียืนอยู่ในสภาพน่าอายเช่นนี้อีกนานไหม?” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมๆกับก้าวเข้ามาในห้อง นางเดินไปหาจองฮยางและคลุมเสื้อคลุมที่นำมาให้ร่างบาง

“ไม่ได้เรื่องจริงๆ ผู้ชายพวกนี้” นางค้อนใส่บุรุษในที่นั้นก่อนจะพาร่างบางออกไป พวกเขาได้แต่มองสตรีทั้งสองจากไปอย่างงงๆ

“ฮ่าๆๆๆ นั่นละเมียข้า” ฟ้าคำรามหัวเราะขึ้นอย่างพอใจ

“เอาละแยกย้ายกันไปได้แล้ว” ฟ้าคำรามเอ่ย

“เดี๋ยวซิครับ ข้ายังไม่ได้.....” อินอุกท้วงขึ้น

“ข้าบอกว่า แยกย้ายกันไปได้แล้ว” ฟ้าคำรามจ้องหน้าและบอกด้วยเสียงเข้ม อินอุกจึงจำใจให้ยุนบกจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง แม้คู่กรณีจะเดินจากไปนานแล้วเขาก็ยังคงยืนทำท่าหัวเสียอยู่อย่างนั้น ฟ้าคำรามเห็นอาการของเขาจึงเอ่ยขึ้น

“เจ้าแค้นเคืองยุนบกมากยังงั้นรึ?” ฟ้าคำรามถามขึ้น อินอุกไม่ตอบอันใด

“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ทำให้มันกระจ่างไปเลยล่ะ วิถีของลูกผู้ชายน่ะ มันก็มีไม่กี่อย่างหรอกนะ” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นให้อินอุกขบคิดก่อนจะเดินจากไป

“ให้ตายเถอะ เจ้าเป็นบ้าอะไร ถึงได้ทำแบบนั้นกัน ดีนะที่คุณชายฮงไม่ซัดเจ้ามากกว่านี้” ฮงโดเอ็ดใส่ยุนบกเป็นชุดขณะใส่ยาให้เขา

“อาจารย์ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น” ยุนบกอธิบาย

“เฮอะ...คงมีคนเชื่อเจ้าหรอก” ฮงโดลงน้ำหนักมือไปแรงกว่าเก่าด้วยความหมันไส้ ยุนบกจึงร้องเสียงหลง

“โอ้ยๆๆๆ เจ็บนะครับอาจารย์” เขาร้องโอดโอย

“เจ็บก็ดีแล้ว เจ้าจะได้ไม่คิดอะไรแพลงๆอีก” ฮงโดยังคงไม่เชื่อที่ลูกศิษย์พูด

“ก็ข้าบอกแล้วยังไงว่าข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ” ยุนบกยืนยันแต่ฮงโดไม่มีท่าทีจะเชื่อสิ่งที่เขาพูด

“เจ้าน่ะ.....เป็นผู้หญิงนะยูน เจ้าน่ะ........ช่างมันเถอะ” ฮงโดเอ่ยขึ้นแต่กลับเปลี่ยนใจที่จะพูดออกมา ก่อนจะเดินออกไปให้ยุนบกมองตามอย่างครุ่นคิด

“ข้ารู้ครับอาจารย์.....ข้ารู้ดี” เขากล่าวกับตัวเองด้วยเสียงเศร้าสร้อย

วันต่อมายุนบกและอินอุกยังคงเข่มนใส่กันอยู่ พวกเขานั่งประจันหน้ากันขณะทานอาหารพลางส่งสายตาฟาดฟันกันเป็นพักๆ เมื่อทานอาหารเสร็จยุนบกพยายามหาโอกาสเข้าไปหาจองฮยางในครัวโดยอาศัยจังหวะที่อินอุกออกไปเอาของมาให้นาง ยุนบกจึงรีบโผล่พรวดเข้าไปทันที

“ช่างเขียน?!” จองฮยางเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

“เจ้า...เป็นยังไงบ้าง เรื่องเมื่อวานข้าต้องขอโทษเจ้าจริงๆนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจเลย คือพื้นมันลื่นจริงๆแล้วก็.....” ยุนบกเอ่ยขึ้นเป็นวรรคเป็นเวร ก่อนที่จะโดนมือน้อยของนางยกขึ้นห้ามริมฝีปากเขาให้หยุดพูด

“ข้ารู้ค่ะ ท่านไม่ต้องอธิบายให้ข้าฟังหรอก” นางเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะขบขันกับอาการของเขา ยุนบกยกมือขึ้นลูบศีรษะของตนอย่างเขินอาย

“แล้ว..เจ้า เจ้าไม่เป็นอะไรนะ? คือเอ่อ......ไอ้นั่นนะ เจ้าล้ม แล้วมันต้องกระแทกพื้น เจ้าคงจะ....” ยุนบกพยายามถามถึงอวัยวะบางส่วนของนางที่ได้รับบาดเจ็บ จองฮยางทำหน้างงด้วยไม่เข้าใจคำถาม ก่อนจะนึกออกว่าอวัยวะส่วนนั้นคืออะไร

“ช่างเขียน!” นางเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม ยุนบกถึงกับตกใจรีบแก้ตัวยกใหญ่

“เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้คิดอกุศล ข้า...ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” เขาอธิบายและยกมือไหว้อ้อนวอนให้นางฟังที่เขาแก้ตัว

“ท่าน..ท่านไม่จำเป็นต้องถามข้าก็ได้ค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีส่วนไหนบุบสลายหรอก” นางตอบด้วยท่าทางแงงอนบวกกับความเขินอาย ตอนนี้พวงแก้มนวลนั้นสุกปลั่งดั่งลูกตำลึง

“อ่ะ....เช่น..เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะ” ยุนบกเองก็มีอาการเขินอายไม่ต่างกัน ทั้งสองยืนบิดไปมาโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองทั้งสองอยู่ เขามองภาพที่ทั้งสองหยอกล้อกันด้วยความเจ็บปวด มันทำให้ความสงสัยของเขากระจ่างทันที เรื่องเมื่อคืนนั้นเขาเข้าใจผิดจริงดั่งที่ยุนบกบอก และอีกเรื่องคือ จองฮยางไม่เคยหยุดรักยุนบกเลย แม้ช่วงที่ผ่านมานางจะแสดงออกไปอีกอย่าง แต่แท้จริงแล้วนางยังมียุนบกอยู่เต็มหัวใจ และตัวเขาเองไม่เคยเลย ไม่เคยที่นางจะเหลียวแล เมื่อทุกอย่างกระจ่างแก่ใจ ความเจ็บปวดและความคลั่งแค้นจึงมาจุกอยู่ที่อก เขาจึงชกไปที่อกของตนแต่ไม่ว่าจะชกไปกี่ครั้งอาการจุกนั้นก็ไม่หายไป พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในสมอง

“วิถีของลูกผู้ชายน่ะ มันก็มีไม่กี่อย่างหรอกนะ” เสียงนี้ทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างได้ตกเย็นวันนั้นหลังจากสอนเสร็จยุนบกก็เดินกลับมาที่เรือนพร้อมๆกับฟ้าคำรามและฮงโด ก่อนจะพบเข้ากับอินอุกที่ยืนรอเขาอยู่นานแล้ว เขาหยุดฝีเท้าทันทีที่เห็นอินอุก ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างหยั่งเชิง ก่อนที่อินอุกจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหายุนบกก่อน

“ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” อินอุกเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นก็พูดมา” ยุนบกตอบห้วน

“ข้าต้องการนาง แล้วเจ้าก็ไม่คู่ควร” อินอุกเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“เจ้าว่าอะไรนะ?” ยุนบกถามขึ้นอย่างเอาเรื่อง

“หรือว่าไม่จริง?” อินอุกถามกลับ ยุนบกได้แต่ระงับอารมณ์โกรธของตนเพราะอันที่จริงแล้ว เขาเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง

“ข้าขอท้าเจ้า ข้าจะสู้กับเจ้า ผู้แพ้จะต้องยอมปล่อยมือจากนาง” อินอุกส่งสารท้า

“สู้อะไรกัน? นี่ท่านจะบ้าหรือไงคุณชายฮง” ฮงโดแย้งขึ้นแต่ฟ้าคำรามก็ปรามไว้

“นี่คือวิถีของลูกผู้ชาย ปล่อยพวกเขาเถอะ” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นพร้อมกับกางมือกั้นฮงโดไว้ แต่ฮงโดไม่ฟังเขาผลักมือนั้นออก

“ลูกผู้ชายบ้าอะไรล่ะ” ฮงโดเดินเข้าไปหายุนบกทันที

“ยุนบกอย่าไปสนใจเลย เข้าบ้านกันเถอะ” ฮงโดพยายามลากร่างยุนบกให้เดินตามตนไป แต่เขาขืนร่างตัวเองไว้

“ข้าตกลง” ยุนบกตอบไปสั้นๆแต่แน่วแน่

“นี่เจ้าพูดบ้าอะไร” ฮงโดเอ่ยขึ้น

“วันประลองคืออีกหนึ่งสัปดาห์ หวังว่าเจ้าคงไม่เปลี่ยนใจนะ” อินอุกพูดเย้ยทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไป

“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรอ เจ้าคิดอะไรของเจ้า เจ้าเป็นอันธพาลหรือไง ห่ะ?” ฮงโดตะหวาดใส่ยุนบกทันทีที่เข้ามาในห้อง เขาไม่ตอบใดๆได้แต่ทำหน้าเครียด

“ข้าจะไปบอกยกเลิกให้เจ้าเดี๋ยวนี้ละ” ฮงโดเอ่ยขึ้นพลางจะเดินออกจากห้อง

“อย่านะครับ! ถ้าท่านทำแบบนั้นละก็ ข้าจะ....ข้าจะ...” ยุนบกเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง

“ทำไม! เจ้าจะทำไมข้า!?” ฮงโดเองก็ตะหวาดกลับ

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายหรือยังไง ถึงไปท้าประลองกับผู้ชายอกสามศอกแบบนั้น หรือเจ้าเป็นบ้าไปแล้วกันแน่ ห่ะ?” ฮงโดยังคงตะหวาดเขาเสียงเข้ม

“ข้าเป็นได้ทุกอย่าง....เพื่อนางแล้ว ข้าเป็นได้ทุกอย่าง จะผู้หญิง ผู้ชาย ช่างเขียนหรืออันธพาล ข้าจะเป็นทุกอย่าง” ยุนบกตอบกลับดั่งคนคลุ้มคลั่ง ก่อนที่หยดน้ำใสจะไหลลงอาบแก้ม เมื่อเห็นดังนั้นฮงโดก็ถึงกับส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะเดินเข้าไปกอดร่างยุนบกไว้

“ข้าจะเป็นทุกอย่าง ๆ ๆ....” เขายังคงพร่ำพูดประโยคเดิมในอ้อมกอดนั้น

“นี่เจ้า....เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เจ้ารักนางจนเป็นบ้าไปแล้ว” ฮงโดเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจวันต่อมาข่าวการประลองของทั้งสองก็รู้กันไปทั่วทั้งเขตมาโป

“เจ้าว่าอะไรนะ?” จองฮยางเอ่ยถามฟ้าลั่น ลูกชายหัวแก้วของจานและฟ้าคำราม

“ข้าว่า อาจารย์กับพี่อินอุกจะประลองกันครับ น่าตื่นเต้นจังเลยนะครับ พวกเขานะ...” ฟ้าลั่นยังพูดไม่ทันจบจองฮยางก็รีบเดินจากไปทันที นางรีบเดินไปหายุนบกที่ห้องของเขาเพื่อถามเอาความจริง

“โอ้ จองฮยาง เจ้ามีอะไรหรือ?” ยุนบกเปิดประตูออกมาพร้อมกับคำทักทายที่เป็นปกติ

“เป็นเรื่องจริงหรือค่ะ เรื่องที่ท่านจะประลองกับคุณชายฮง?” นางถามขึ้นทันที นั่นทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนจากร่าเริงเป็นเคร่งขรึม นางจึงรู้ว่ามันเป็นความจริง

“ช่างเขียนค่ะ ทำไมท่านถึงทำแบบนี้ละค่ะ ทั้งที่ตัวเองเป็น....แต่ก็ยังจะไปประลองกับคุณชายฮงอีก” นางเอ่ยขึ้น ทำให้ยุนบกรู้สึกขุ่นเคืองใจ

“นี่เจ้าโมโหสิ่งที่ข้าเป็น หรือโมโหที่ข้าจะประลองกับคุณชายฮงของเจ้ากัน?” ยุนบกถามขึ้น จองฮยางแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยิน

“ช่างเขียน!.....นี่ท่าน...ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง ข้าก็จะไม่พูดกับท่านอีก” นางเดินจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ไม่เข้าใจจริงๆว่ายุนบกคิดอะไร ทั้งที่นางท้วงขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่เขากลับหาเรื่องนาง นางจึงต้องไปเจรจากับอีกฝ่าย

“คุณชายฮงค่ะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านค่ะ” นางมาหาเขาที่ห้อง

“ว่าอย่างไรแม่นางจองฮยาง เจ้ามีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยรึ?” เขาถามนางอย่างอ่อนโยน

“ได้โปรดยกเลิกการประลองนั่นเถอะนะค่ะ” นางเอ่ยขึ้นอย่างวิงวอน เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

“แม่นางจองฮยาง การประลองนี้เป็นการตัดสินใจของข้าและข้าเองก็เป็นคนเริ่มมัน ข้าคงจะไม่สามารถทำอย่างที่เจ้าต้องการได้ ข้าขอโทษนะ แต่ถ้าหาก ยุนบกเกิดเปลี่ยนใจปฏิเสธการประลองขึ้นมา ข้าเองก็พร้อมที่จะยุติมัน” เขาอธิบาย คำพูดของเขานั้นช่างเยือกเย็นและสุขุมจนนางไม่สามารถท้วงได้ เช่นนี้แล้วนางจะทำอย่างไรดีเพื่อหยุดการประลองนี้

หลายวันผ่านไปท่าทีของอินอุกและยุนบกสงบลงมาก ทั้งคู่ไม่หาเรื่องกันอย่างเคย ดูจะหลบเลี่ยงกันด้วยซ้ำ นั่นเพราะต่างก็มุ่งมั่นและต้องการสมาธิเพื่อฝึกตนในการประลอง ทุกเย็นหลังสอนเสร็จยุนบกจะไปฝึกซ้อมคนเดียวที่น้ำตก ส่วนอินอุกใช้การทำงานบ้านเป็นการฝึกฝนและยังแอบไปฝึกซ้อมคนเดียวโดยไม่ให้ใครเห็นในทุกๆเย็นเช่นกัน นั่นยิ่งทำให้จองฮยางเครียดเข้าไปใหญ่กับท่าทีของทั้งสอง

“มีเพียงหญิงแพศยาเท่านั้นทียิ้มร่าเมื่อบุรุษฟาดฟันกัน” ฮงโดเอ่ยขึ้นเมื่อเขาเดินมาพบกับจองฮยางเข้า

“ท่านหมายถึงใครกัน?” จองฮยางถามขึ้นอย่างเอาเรื่อง

“ข้าก็หมายถึงผู้หญิงแพศยานะซิ” เขาตอบกลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“นี่ท่าน!......” จองฮยางแทบอยากจะเข้าไปกรีดหน้าของเขาแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้

“หากเจ้าไม่ใช่หญิงแพศยา ก็หยุดการประลอง โง่ๆนี่ซะ” เขาพูดขึ้นให้นางสะอึก ก่อนจะเดินจากไป

ในคืนก่อนวันประลอง ยุนบกยังคงฝึกซ้อมอยู่แม้จะเย็นมากแล้วเขาคร่ำเคร่งอยู่กับการฝึกเสียจนไม่รู้ว่าจองฮยางนั้นมายืนดูเขาอยู่นานแล้ว ก่อนที่เขาจะหันมาเห็นนางเข้า

“จองฮยาง?” ยุนบกเอ่ยขึ้น

“ฝีมือของท่าน ก้าวหน้าไปมาก ไม่เหมือนกับท่านในสมัยก่อนเลย” นางกล่าวอย่างชื่นชม

“เช่นนั้น เจ้าว่าใครกันที่จะเป็นผู้ชนะ ข้า...หรือว่าอินอุก?” เขาถาม

“ช่างเขียน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะค่ะ” นางตอบ

“ทำไมละในเมื่อเจ้าก็เห็นฝีมือข้าแล้ว หรือว่า...เจ้ากลัวว่ามันจะแพ้” เขาถามอย่างประชดประชัน นางจึงโมโห

“ช่างเขียนค่ะ ข้าไม่ได้กลัวว่าใครจะแพ้หรือชนะทั้งนั้น ที่ข้ากลัวก็คือ....ข้าไม่อยากให้ใครบาดเจ็บ เพราะนี่มันเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี” นางตอบได้เชือดเฉือนใจเขานัก ทั้งที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อนาง แต่นางกลับเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ

“เช่นนั้นเจ้าก็ทนหน่อยนะ การประลองไร้สาระนี้มันไม่ยาวนานนักหรอก” เขาพูดตัดบทก่อนจะเดินจากไป

“ช่างเขียน!ๆๆ” นางร้องเรียกตามหลังแต่เขากลับไม่แม้จะหันมามอง



วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

The Fan Club ตอนที่4




ตอนที่ 4 รักจู่โจม (Love Attack)

คัท!เสียงผู้กำกับดังขึ้นเมื่อการถ่ายทำออกมาเป็นที่น่าพอใจ ดาราสาวจึงเดินออกจากฉากมายังเต็นท์นักแสดง

เหนื่อยหน่อยนะค่ะ แสดงได้ดีมากเลยค่ะอัญชันกล่าวขึ้นเมื่อเห็นดาราสาวเดินมา เธอจึงยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน

ไม่หรอกค่ะ เทคตั้งสามรอบ โดนผู้กำกับดุเลยเธอกล่าวเสียงอ่อย

ไม่เลยค่ะ เรื่องเทคนะใครๆเขาก็เป็น นักแสดงคนอื่นๆก็ยังเทคตั้งหลายทีเลยค่ะ เพราะงั้นคุณแชวอนเทคแค่สามครั้งเอง ก็อย่าคิดมากเลยนะค่ะอัญชันรีบหาเหตุผลมาปลอบใจดาราสาว เมื่อเธอได้ยินคำปลอบที่แสนน่ารักจากคนตัวเล็กก็เผยรอยยิ้มละลายใจ

ขอบคุณนะค่ะ คุณอัญชันเธอกล่าว ร่างเล็กมองรอยยิ้มนั้นตาเยิ้ม ก่อนจะรู้สึกตัวและตั้งสติกลับมาวางมาดเป็นผู้ช่วยที่ดีตามเดิม

คุณแชวอนคงจะหิวแล้วเดี๋ยวฉันไปเอาอาหารมาให้นะค่ะอัญชันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเวลาก็เลยเที่ยงมามากแล้ว

ไม่ต้องก็ได้ค่ะเดี๋ยวฉันไปเอาเองค่ะแชวอนเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ แต่ก็ช้ากว่าร่างเล็กเพราะตอนนี้อีกคนเดินตัวปลิวไปยังเต็นท์อาหารแล้ว ดาราสาวจึงได้แต่มองตามร่างเล็กไป เธอสังเกตได้ว่าแม่ครัวพูดคุยหยอกล้อกับอัญชันอย่างเอ็นดู น่าแปลกทั้งที่อัญชันพูดภาษาเกาหลีไม่เป็นแท้ๆ แต่ดูนั่นจะไม่ใช่ปัญหาของเธอเลยแม้แต่น้อย แน่ละ ใครจะไม่หลงรักใบหน้าสดใสและท่าทางน่ารักของร่างเล็กๆนั้นได้ เอ๋!? หลงรักหรอ?

นี่เธอคิดอะไรของเธออยู่เนี่ยแชวอนดาราสาวพูดกับตัวเองพลางส่ายหน้าให้กับความคิดไม่เป็นเรื่องของเธอ

มาแล้วค่ะ!เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับถาดอาหารในมือ นั่นจึงทำให้ดาราสาวรู้สึกตัว

เอ่อ...นี่มัน ค่อนข้างจะ...เยอะไปไหมค่ะ?” แชวอนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นถาดอาหารที่อัญชันยกมา

เอ๋? หรอค่ะ ขอโทษค่ะ เดี๋ยวฉันจะเอาไปคืนนะค่ะร่างเล็กกล่าวพร้อมกับหันหลังกลับ

ไม่ต้องก็ได้ค่ะ....ฉันว่าถ้าเราทานด้วยกัน มันก็คงไม่มากไปหรอกค่ะแชวอนเอ่ยขึ้นให้ร่างเล็กหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับมาด้วยท่าทางเก็บอาการดีใจที่ดาราสาวชวนทานอาหารร่วมกัน อัญชันจึงวางถาดลงที่โต๊ะ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้คิ้วจึงขมวดขึ้น

มีอะไรรึเปล่าค่ะ?” ดาราสาวถามขึ้นเมื่อเห็นอาการของอีกคน

เอ่อ....คือ นึกขึ้นได้ว่า ฉันทำคิมบับมานะค่ะร่างเล็กกล่าวเสียงอ่อย แชวอนถึงกับหลุดขำที่อีกคนทำหน้าเครียดเพียงเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทานอะไรดี

ถ้าอย่างงั้นก็เอาขึ้นมาทานด้วยกันสิค่ะ ฉันเองก็อยากลองทานคิมบับของคุณเหมือนกัน ถ้าคุณอัญชันอนุญาตนะค่ะแชวอนกล่าวอย่างอารมณ์ดี เมื่ออัญชันได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปเอาคิมบับของตนมาทันที เมื่อเปิดกล่องข้าวขึ้นก็พบกับข้าวห่อสาหร่าย ไม่สิดูเหมือนสาหร่ายมันจะถูกขยุ้มๆร่วมกับข้าวเอาไว้ซะมากกว่า ร่างเล็กมีอาการเขินอายทันทีที่ดาราสาวเห็นคิมบับฝีมือเธอ

เอ่อ...มันดู...เหมือนคิมบับเลยนะค่ะแชวอนไม่รู้จะกล่าวอะไรเมื่อเห็นรูปร่างของมัน

คุณแชวอนไม่ต้องทานก็ได้ค่ะ มันเละขนาดนี้ฉันว่า.....อัญชันยังพูดไม่ทันจบมือบางก็เอื้อมไม่หยิบคิมบับขึ้นมาและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

อืม....รสชาติไม่เลวเลยนะค่ะ ไม่สิอร่อยมากเลยค่ะดาราสาวตอบเมื่อได้ลิ้มรสที่ขัดกับรูปลักษณ์ ทำให้ร่างเล็กถึงกับหุบยิ้มไม่ลง

คุณอัญชันเก่งจังเลยค่ะ ทำอาหารอร่อยมากเลยแชวอนยังคงชมไม่ขาดปาก

ไม่หรอกค่ะ ฉันก็ทำเป็นแค่อย่างเดียวนี่ละค่ะ ถ้าคุณแชวอนชอบ ฉันทำมาให้ทานอีกก็ได้ค่ะร่างเล็กตอบอย่างเขินอาย

ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณอัญชันเปล่าๆแชวอนท้วงขึ้นด้วยความเกรงใจ

ไม่เลยค่ะ ฉัน...เต็มใจค่ะร่างเล็กตอบอย่างหนักแน่น ดาราสาวจึงยิ้มรับอย่างขอบคุณ ทั้งสองทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุขโดยเฉพาะอัญชันที่ดูเหมือนจะอิ่มอกอิ่มใจทั้งที่ยังไม่ได้แตะอะไร เธอได้แต่นั่งมองภาพดาราสาวตรงหน้าที่พูดคุยเป็นกันเองอย่างสนิทสนม มันดูเป็นจริงและเรียบง่าย ช่างห่างไกลจากจินตนาการที่เธอเคยคิดฝัน หากแต่อีกเสี้ยวหนึ่งในห้วงคำนึงก็ทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง เธอได้แต่ภาวนาทุกคืนว่าเมื่อตื่นขึ้นขอให้เรื่องทั้งหมดไม่หายไปเหมือนความฝัน ขอให้สายตาคู่งามคู่นี้มองมาที่เธอและฉายภาพเธออยู่ในนั้นอย่างคนที่คุ้นเคยเหมือนเช่นชั่วขณะนี้

คุณอัญชันค่ะ? คุณฟังฉันอยู่หรือเปล่าค่ะ?” ดาราสาวถามขึ้นเมื่อคู่สนทนาของเธอไม่มีการตอบสนองมาพักใหญ่

ค่ะ? อ้อ..ค่ะ ค่ะ ฉันฟังอยู่ร่างเล็กรีบตอบลนลาน

คุณเนี่ย...อย่าบอกนะค่ะว่าฝันกลางวันอยู่ ฮิๆๆแชวอนพูดเหย้าขึ้น หากแต่เธอคงไม่รู้ว่ามันแทงใจคนฟังเข้า อัญชันจึงได้แต่หัวเราะ แฮะๆ อ้า...ฝันกลางวันหรอ ถูกต้องที่สุดเลยร่างเล็กนึกขึ้นในใจ


เมื่อหมดคิวถ่ายของวันนี้
ดาราสาวจึงเดินทางกลับไปพร้อมกับอัญชันในรถตู้สีขาวคันเดิม ก่อนที่มือถือของเธอจะดังขึ้น

ค่ะคุณจาง.............อะไรนะค่ะ! แล้วอย่างนี้ใครจะไปเป็นเพื่อนฉันละคะ....ฉันเข้าใจค่ะเธอวางสายด้วยอาการกลัดกลุ้ม

มีอะไรหรือค่ะ?” อัญชันจึงถามขึ้นอย่างสงสัย

คุณจางเขาไม่ว่างไปงานกับฉันคืนนี้นะค่ะ พอดีว่าญาติเขาป่วยกะทันหัน เฮ้อ...ฉันคงต้องไปคนเดียวแล้วละค่ะแชวอนเล่าเรื่องที่คุณจางบอกมาตามสาย อัญชันที่ได้เห็นใบหน้ากลัดกลุ้มนั้นก็ครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะโพล่งออกไป

ให้ฉันไปแทนก็ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรร่างเล็กกล่าวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

เอ๋? แต่คุณอัญชันมีเรียนไม่ใช่หรือค่ะ?” ดาราสาวถามขึ้นอย่างสงสัย

เอ่อ....วันนี้ฉันไม่มีเรียนนะค่ะอัญชันตอบ หากแต่ความจริงนั้นเธอมีคราสเรียนตามปกติเช่นเดิม แต่เพราะความเป็นห่วงและเพราะใบหน้ากลัดกลุ้มนั้นทำให้เธอเอ่ยเช่นนี้

จริงหรอค่ะ! ดีจัง ขอบคุณนะค่ะ นึกว่าต้องไปงานคนเดียวซะแล้ว ดีจริงๆเลยค่ะ คุณเป็นนางฟ้า(Angel) ของฉันจริงๆแชวอนเอ่ยขึ้นอย่างดีใจพลางเข้าไปกุมมือร่างเล็กไว้อย่างขอบคุณคุณต่างหากที่เป็นนางฟ้า (Angel)” อัญชันคิดในใจ

เมื่อรถตู้มาถึงที่บริษัทแชวอนก็รีบเข้าไปแต่งตัวเพื่อเตรียมไปงานประกาศรางวัลผลโหวตดารายอดนิยมที่ให้แฟนๆโหวตผ่านเว็บไซต์
เธอสวมชุดราตรียาวสีชมพูอ่อนแหวกสูง ดูราวกับว่าเธอเป็นนางฟ้าจริงๆ อัญชันถึงกับตาค้างทันทีที่ดาราสาวเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

คุณอัญชันค่ะ? เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ?” แชวอนถามขึ้นเมื่อเห็นอาการตกตะลึงตาค้างของอัญชัน หากแต่ร่างเล็กไม่ตอบใดๆเพราะยังตกอยู่ในภวังค์ ทำให้ดาราสาวเริ่มวิตกว่าอีกคนเกิดอาการแปลกๆขึ้นอีกแล้วหรือ เธอจึงเดินเข้าไปหาร่างเล็กและใช้มือบางอังหน้าผากของอัญชันไว้ นั่นจึงทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัวขึ้นเมื่อถูกประชิดตัว หน้าอัญชันแดงก่ำทันที

ไม่สบายหรือเปล่าค่ะคุณอัญชัน? หน้าคุณ...แดงมากๆเลยค่ะดาราสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นใบหน้าของร่างเล็กแดงขึ้น หากแต่คนที่โดนประชิดตัวอยู่ในอาการอึ้งกิมกี่จึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบ

คุณแน่ใจนะค่ะ?” แชวอนยังคงเป็นห่วงเพราะอาการแปลกๆของร่างเล็กยังไม่หายไป คราวนี้เธอจึงใช้หน้าผากของตนเองแทนฝ่ามืออังหน้าผากของร่างเล็กเพื่อวัดอุณหภูมิให้มั่นใจ อัญชันยืนตัวแข็งทื่อและหยุดหายใจไปชั่วขณะทันที หน้าที่แดงอยู่ก่อนกลับยิ่งแดงเข้าไปใหญ่

เอ๋ แปลกจัง ตัวก็ไม่ร้อนนีน่า.....คุณแน่ใจนะค่ะว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ?” ดาราสาวถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ อัญชันได้แต่พยักหน้าตอบ ก่อนที่แชวอนจะยอมผละมือจากร่างเล็กและมานั่งให้ช่างแต่งหน้าแต่งให้เธออย่างจริงจัง ร่างเล็กจึงอาศัยจังหวะนั้นเดินออกจากห้องไป เมื่อออกมายังทางเดินเธอพยายามตั้งสติแต่ภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่นั้นยังฝั่งอยู่ในความทรงจำ ภาพใบหน้านวลของดาราสาวที่ลอยเข้ามาใกล้กับหน้าของเธอนั้นทำให้ร่างเล็กกรีดร้องออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาดูว่าไม่มีคนอยู่ เธอจึงกรี๊ดออกมาอีกครั้งหนึ่งและกระโดดโลดเต้นอย่างลืมตัว ก่อนจะหันมาเจอเข้ากับพนักงานในบริษัทคู่หนึ่งที่เดินผ่านมาแถวนั้น พวกเขามองเธอแปลกๆกับท่าทางที่เธอทำ ร่างเล็กจึงแสร้งทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วรีบเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวตามเดิม เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องร่างเล็กที่ต้องนั่งคอยดาราสาวแต่งหน้าก็เกิดผล็อยหลับไป

คุณอัญชัน คุณอัญชันค่ะ?” เสียงร่างบางเรียกพลางเขย่าร่างเล็กที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง อัญชันค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างสลึมสลือก่อนจะเห็นร่างของดาราสาว เธองดงามราวกับนางฟ้าจนร่างเล็กคิดว่าตนเองฝันอยู่ จึงตบเข้าที่ใบหน้าของตนอย่างแรง เพี๊ยะ! หน้าอัญชันหันไปตามแรงมือและรอยแดงก็ปรากฏขึ้นบนแก้มน้อยๆนั้น

ว้าย! คุณอัญชัน คุณตบหน้าตัวเองทำไมค่ะ? เป็นอะไรไหมค่ะเนี่ย?” ดาราสาวตกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายและเข้าไปดูอาการอย่างเป็นห่วง

ตายจริงเป็นแนวเลยค่ะ เจ็บมากไหมค่ะ?” แชวอนลูบรอยแดงนั้นอย่างเบามือ สัมผัสของดาราสาวทำให้อัญชันมั่นใจแล้วว่าเธอตื่นอยู่ เพราะตอนนี้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นส่ำ

ม่ะ....ไม่เป็นไรค่ะ แฮะๆ มันเป็นวิธีคลายง่วงของฉันนะค่ะร่างเล็กแถเอาดื้อๆ ทำให้อีกคนถึงกับเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็ต้องยอมรับอย่างจำใจ เพราะเธอก็ชักจะเริ่มชินกับอาการแปลกๆของผู้หญิงร่างเล็กคนนี้ซะแล้ว

ถ้าคุณอัญชันง่วงจะไม่ไปก็ได้นะค่ะ ฉันไปคนเดียวได้ค่ะแชวอนเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจที่ทำให้อีกคนต้องลำบาก

ไม่ค่ะ! ไม่เลยค่ะ ฉัน..ตอนนี้ฉันกระปรี้กระเปร่าสุดๆเลยค่ะอัญชันรีบลุกขึ้นและทำท่าแข็งขันทันที ดาราสาวถึงกับหลุดขำให้กับท่าทางของเธอ

ฮึๆๆ ถ้าอย่างงั้นก็รบกวนด้วยนะค่ะ ไปกันเถอะค่ะร่างบางบอกพร้อมรอยยิ้มละลายใจก่อนจะเดินนำออกไป


เมื่อรถทีทั้งสองนั่งมาจอดตรงพรมแดงประตูรถก็ถูกเปิดออก
ดาราสาวก้าวลงจากรถอย่างสง่างาม เธอโบกมือให้กับแฟนๆที่มารอต้อนรับ เสียงชัตเตอร์ดังระงมพร้อมๆกับแสงแฟลชที่สาดมายังร่างบางจนแทบตาพร่า ร่างเล็กลงรถตามมาห่างๆและมองดาราสาวอย่างชื่นชม เธอดูโดดเด่นและเปล่งประกายดั่งดวงดาวยามราตรี เมื่อเธอเดินพ้นตากล้องและเข้าไปสู่ประตูงาน ร่างเล็กจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแล้วนำเสื้อคลุมมาคลุมให้แก่ร่างบาง

ขอบคุณค่ะแชวอนหันมาขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ร่างเล็กยิ้มรับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้างานไป แต่อัญชันก็เว้นระยะห่างเพื่อให้ง่ายต่อดาราสาวในการสัมภาษณ์หรือทักทายคนในวงการ เธอช่วยจับชายกระโปรงที่ลากยาวและจัดแต่งชุดให้เข้าที่เพื่อให้ถ่ายภาพออกมาดูดี อัญชันคอยดูแลดาราสาวเป็นอย่างดี
เมื่องานการประกาศรางวัลเริ่มขึ้นดาราสาวจึงไปนั่งประจำที่ที่โต๊ะของเธอ โดยมีสายตาของอัญชันมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา แชวอนเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาอ่อนโยนนั้น เธอไม่เคยคิดว่าการออกงานจะน่าสนุกขนาดนี้มาก่อน นั่นคงเป็นเพราะมีคนร่างเล็กมาด้วยกระมัง จึงทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้ ดาราสาวอมยิ้มให้กับความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจ

เอ๋? ยิ้มอะไรจ๊ะแชวอน?” ดาราที่นั่งข้างๆทักขึ้นเมื่อเห็นร่างบางอมยิ้มอยู่

อ่ะ....อ้อ...เปล่าค่ะ ฮิๆๆแชวอนรีบแก้ตัวทันที ใครจะบอกได้ละว่ายิ้มเพราะผู้ช่วยสาวมางานด้วย ว่าแล้วเธอก็หันไปมองอัญชันแว๊บหนึ่งและรีบหันกลับไปทันที เพราะกลัวว่าอีกคนจะเห็นใบหน้าแดงก่ำของเธอ นั่นทำให้ร่างเล็กถึงกับทำหน้างงให้อาการรุกรี้รุกรนของดาราสาว เมื่อการประกาศรางวัลสิ้นสุดลงอัญชันก็รีบเดินเข้าไปหาร่างบางทันทีพร้อมกับคลุมเสื้อคลุมให้ร่างบางอีกครั้ง ทำให้ทั้งสองสบตากันพักหนึ่ง ก่อนที่กลุ่มนักข่าวจะเข้ามารุมล้อมแชวอนเพื่อถามถึงผลงานที่กำลังถ่ายทำอยู่ อัญชันจึงต้องหลบฉากไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ดูเหมือนคำถามจะมีมาอย่างไม่สิ้นสุดจนดาราสาวเริ่มจะเบื่อกับการตอบคำถามเสียแล้ว หากแต่คงดูไม่ดีแน่ถ้าเธอเอ่ยปากขอตัวไปก่อน

ขอโทษนะค่ะ คุณแชวอนต้องกลับแล้วค่ะอัญชันเดินเข้ามาโอบร่างบางและเดินผ่าวงล้อมนักข่าวออกไป แชวอนรู้สึกคาดไม่ถึงจริงๆว่าร่างเล็กจะรู้ความรู้สึกของเธอและเข้ามาช่วยเธอแบบนี้ เมื่อออกมาพ้นกลุ่มนักข่าวแล้วอัญชันจึงคลายวงแขนที่โอบร่างบางออก

ขอบคุณนะค่ะ คุณอัญชัน ไม่อย่างงั้นฉันคงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆเลยดาราสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ร่างเล็กรู้สึกเขิน

ไม่เป็นไรค่ะอัญชันตอบพลางก้มหน้างุดให้ดาราสาวเอ็นดูกับท่าทางนั้น จากนั้นทั้งสองจึงนั่งรถกลับ โดยอัญชันเสนอให้ไปส่งแชวอนที่คอนโดก่อน เมื่อรถมาจอดยังหน้าคอนโดของดาราสาว ร่างเล็กก็ยังลงไปส่งเธอถึงหน้าประตูทางเข้า

วันนี้ขอบคุณมากนะค่ะคุณอัญชัน ที่ช่วยไปงานเป็นเพื่อนฉันแชวอนก้มขอบคุณอัญชัน ร่างเล็กเห็นดังนั้นก็รีบลนลานก้มตอบจึงทำให้ศีรษะทั้งสองชนกัน โอ้ย!

ขอ..ขอโทษค่ะคุณแชวอนเป็นยังไงมั่งค่ะ?” อัญชันถามอย่างเป็นห่วงและรีบเข้าไปดูศีรษะของดาราสาวทันที ทั้งที่คนที่เจ็บกว่าคือเธอ นั่นทำให้แชวอนยิ่งรู้สึกประทับใจร่างเล็กเข้าไปใหญ่

ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ คุณอัญชันต่างหาก หน้าผากคุณแดงเลยเธอกล่าวพร้อมกับลูบหน้าผากของอัญชัน

ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้เองด้วยความเขินอายร่างเล็กจึงถอยหนีมือบางนั้น เธอยังคงความขี้อายไว้เสมอ แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ที่แชวอนเองคิดว่าน่าเอ็นดูเป็นที่สุด

ถ้าอย่างงั้นก็....ราตรีสวัสดิ์นะค่ะแชวอนกล่าวก่อนจะหันหลังเดินเข้าคอนโดไปแต่เพราะทางเข้าเป็นพื้นต่างระดับทำให้เธอสะดุดกับขอบประตู ข้อเท้าน้อยๆของเธอพลิกร่างบางจึงเซไปข้างหน้าแต่ทันใดนั้นอ้อมแขนหนึ่งก็กอดร่างเธอไว้ไม่ให้ล้มลง

คุณแชวอน? เป็นยังไงบ้างค่ะ?” อัญชันที่กอดร่างบางอยู่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

ม่ะ...ไม่เป็นไรค่ะแชวอนตอบติดอ่างเพราะตอนนี้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ และเพราะแชวอนหันหลังให้ร่างเล็กจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้ใบหน้าของดาราสาวแดงก่ำขนาดไหน ร่างบางที่อยู่ภายในอ้อมแขนเล็กๆนั้นเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วก็ต้องรู้สึกใจหายที่อีกคนดันคลายวงแขนนั้นซะได้ อัญชันสำรวจดูว่าดาราสาวได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

ฉันไม่เป็นไรจริงๆค่ะ...โอ้ย!ร่างบางบอกเมื่อเห็นอีกคนมองเธออย่างสำรวจ แต่ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อลงน้ำหนักไปที่เท้าขวาซึ่งพลิกไปเมื่อครู่

คุณแชวอน!ร่างเล็กรีบคุกเข่าลงดูข้อเท้านั้นทันที เธอพบว่ามันแดงและปูดขึ้นเล็กน้อย

คุณข้อเท้าพลิกนี่อัญชันเอ่ยอย่างเป็นห่วง

ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เองเดี๋ยวฉันทายาก็คงจะหาย นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันว่าคุณอัญชันรีบกลับได้แล้วละค่ะ อีกอย่าง คนขับเขารออยู่นะค่ะแชวอนตอบด้วยความเกรงใจและไม่อยากให้อีกคนเป็นห่วง ร่างเล็กจึงครุ่นคิดสักครู่

เดี๋ยวรอแป๊บนึ่งนะค่ะอัญชันพูดก่อนจะวิ่งไปยังรถที่มาส่งพวกเธอ เธอคุยกับคนขับรถสักพัก รถก็แล่นออกไปเธอจึงวิ่งกลับมาหาร่างบาง

ไปค่ะ ฉันจะไปส่งคุณที่ห้องเองอัญชันเข้าไปประคองร่างบางไว้และพาเธอเดินไปด้วยกัน แชวอนรู้สึกตกใจที่อัญชันกลับมาหาและแอบยินดีไปพร้อมๆกัน ร่างเล็กประคองเธอจนมาถึงห้อง เมื่อเข้ามาภายในห้องร่างเล็กพาเธอไปนั่งยังโซฟา และค่อยๆถอดรองเท้าส้นสูงให้เธออย่างเบามือ ร่างเล็กมองข้อเท้าน้อยด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวและออกมาพร้อมกับผ้าห่อน้ำแข็ง อัญชันนำมันมาประคบที่ข้อเท้านั้น

โอ้ย!....ร่างบางร้องออกมาเล็กน้อยและพยายามหลีกเลี่ยงเมื่อถูกประคบ

อดทนหน่อยนะค่ะร่างเล็กกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนจึงทำให้ร่างบางยอมทำตามอย่างว่าง่าย ดาราสาวมองภาพที่อัญชันประคบข้อเท้าให้อย่างจริงจังนั้น ทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นกลางใจ เป็นความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนแต่ทว่าก็ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวไปพร้อมๆกัน มันคืออะไรกันนะความรู้สึกนี้?

เดี๋ยวประคบต่อไปเรื่อยๆนะค่ะ ว่าแต่ตู้ยาอยู่ตรงไหนหรือค่ะ?” อัญชันเงยหน้าขึ้นถามร่างบางทำให้เธอถึงกับตกใจ จึงรีบชี้ไปยังตำแหน่งตู้ยาสามัญประจำบ้านซึ่งอยู่ข้างกำแพง ร่างเล็กลุกไปตามที่อีกคนชี้ เธอเปิดตู้ยาเลือกมาสองสามชนิดจึงกลับมาหาร่างบางอีกครั้ง

นี่ยาแก้ปวดและแก้อักเสบรีบทานเลยนะค่ะ ส่วนนี่เป็นยาทาบรรเทาอาการปวด เอาไว้ทาพรุ่งนี้นะค่ะเธอยื่นมันให้ร่างบาง ดาราสาวได้แต่รับไว้ด้วยใบหน้าเหรอหรา

คุณอัญชันเก่งจังค่ะ รักษาอาการบาดเจ็บก็ได้แชวอนเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม

ไม่หรอกค่ะ เพราะฉันซุ่มซ่าม เรื่องข้อเท้าพลิกหรือแผลถลอกเนี่ยฉันเป็นบ่อยค่ะ ก็เลยพอจะรู้วิธีรักษาบ้างร่างเล็กรีบตอบท่อมตน

แล้วแบบนี้คุณอัญชันจะกลับยังไงละค่ะ คนขับรถก็ไปซะแล้วแชวอนเอ่ยขึ้น จึงทำให้ร่างเล็กนึกขึ้นได้ แม้จะเป็นคนบอกให้คนขับกลับไปเอง แต่ตัวอัญชันเองก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท

เอ่อ....เรื่องนั้น.....ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันกลับเองได้ค่ะอัญชันตอบอย่างหนักแน่นเพื่อไม่ให้ดาราสาวต้องกังวล

แต่มันดึกมากแล้วนะค่ะแชวอนยังคงกังวลอยู่

ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่มารับ ว่าแต่ก่อนอื่นรีบทานยาเถอะค่ะว่าแล้วอัญชันก็เดินไปเอาแก้วน้ำมาให้ร่างบาง นั่นจึงดึงความสนใจของเธอไปได้ เธอยอมทานยาอย่างว่าง่าย ก่อนที่อัญชันจะเห็นว่าน้ำแข็งเริ่มละลายไปมากแล้วจึงเอาไปเปลี่ยนให้ใหม่ ร่างเล็กประคบประหงมข้อเท้านั้นอยู่นานจนแน่ใจว่าดาราสาวดีขึ้นมากแล้ว

มันยุบลงแล้ว แต่คงยังเจ็บอยู่พยายามอย่าเดินมากนะค่ะ แล้วก็...อย่าลืมทายาด้วยนะค่ะร่างเล็กบอกอย่างจริงจัง ทำให้ดาราสาวเผลอหลุดขำออกมาที่ถูกอีกคนทำเหมือนเธอเป็นเด็กเล็กๆ

ทราบแล้วค่ะ คุณหมอเธอจึงตอบเหย้าให้อีกคนหน้าแดง

ถ้ายังงั้น....ราตรีสวัสดิ์ค่ะอัญชันจึงบอกลากับร่างบางด้วยท่าทางเขินอาย ดาราสาวจึงจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งเธอที่ประตู แต่อัญชันก็รั้งให้ร่างบางนั่งลงไปตามเดิม

ไม่เป็นไรค่ะ อย่าเพิ่งลุกเลยนะค่ะอัญชันบอกกับร่างบางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงรอยสัมผัสและน้ำเสียงอันอ่อนโยนที่ยังติดตรึงอยู่ในใจของดาราสาว รอยยิ้มผุดขึ้นโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว ตอนนี้เธอคงจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงใครบางคนที่เคยนั่งอยู่กลางใจคนนั้นด้วย เพราะตอนนี้ผู้หญิงร่างเล็กนิสัยแปลกกำลังเข้ามายึดครองพื้นที่หัวใจของเธอซะแล้ว

ขณะเดียวกันร่างเล็กที่เดินลงมาจากคอนโดก็เริ่มเครียดว่าตนจะกลับบ้านยังไง
ถึงบอกดาราสาวไปว่าจะเรียกแท็กซี่มารับ แต่ลำพังตัวเธอซึ่งมีเงินอยู่น้อยนิดจะไปมีปัญญาจ่ายค่ารถได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีทางเลือกเธอจึงหยิบมือถือของตนขึ้นมาและกดไปยังคนที่เธอคิดว่าจะขอความช่วยเหลือได้

ต้องขอโทษและขอบคุณคุณปาร์คมากนะค่ะ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วแท้ๆอัญชันเอ่ยอย่างเกรงใจพร้อมก้มขอบคุณจินโฮที่กำลังขับรถอยู่

อย่าพูดอย่างงั้นเลยครับ ผมเต็มใจ แล้วก็ถือเป็นการขอโทษคุณเรื่องเมื่อคราวก่อนที่ฮโยจูก่อเรื่องด้วยเขาหันมาตอบด้วยใบหน้าอ่อนโยนเช่นเคย

เรื่องนั้น...ฉันก็ไม่ได้ติดใจอะไรหรอกค่ะอัญชันตอบหน้าเจื่อน

ผมดีใจนะครับที่คุณไม่ถือสาเธอ อันที่จริงฮโยจูเขาก็แค่อารมณ์ร้อนไปหน่อย เพราะจริงๆเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ผมว่าไม่แน่คุณอึนชันกับเธออาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้นะครับจินโฮพูดเป็นวรรคเป็นเวรก่อนจะหันกลับไปหาร่างเล็ก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเธอผล็อยหลับไปซะแล้ว

คงเหนื่อยมากซินะครับ คุณอึนชันจินโฮเอ่ยขึ้นอย่างเอ็นดู

เมื่อจินโฮขับรถมาถึงบ้านของอัญชันแต่ร่างเล็กก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
จินโฮจึงต้องจำใจปลุกร่างเล็ก

คุณอึนชันครับ ถึงแล้วนะครับ คุณอึนชันจินโฮเรียก แต่เธอกลับไม่ตอบสนองเขาจึงเข้าไปใกล้เพื่อจะเรียกอีกครั้ง แต่เมื่อได้เห็นใบหน้านั้นใกล้ๆมันก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะสัมผัสมัน เขาค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าแสนรักนั้น ลูบไล้แก้มใสที่เขาหลงใหล

อืม.....เสียงร่างเล็กละเมอออกมาเบาๆ นั่นจึงทำให้เขาหยุดมือก่อนจะตัดสินใจเขย่าร่างเล็กให้ตื่น

คุณอึนชันครับ ถึงแล้วครับจินโฮเรียกพร้อมเขย่า ร่างเล็กจึงสลึมสลือตื่นขึ้น ก่อนจะลงรถไป จินโฮจึงตามลงไปส่งที่หน้าประตู

ขอบคุณคุณปาร์คมากนะค่ะ ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดีอัญชันกล่าวอย่างเกรงใจ

ทั้งที่ผมก็บอกแล้วว่าเป็นการขอโทษเรื่องวุ่นวายคราวก่อน แต่คุณก็ยังอยากจะตอบแทนผมอีก ถ้าอย่างงั้นผมก็ขอฉวยโอกาสนี้แล้วกันนะครับจินโฮตอบอย่างอารมณ์ดี

เอ๋?” อัญชันถึงกับร้องเสียงหลง

เอาเป็นว่า ผมขอให้คุณ เลิกเรียกผมว่าคุณปาร์คจะได้ไหมครับจินโฮเฉลย

แล้วจะให้ฉันเรียกว่าอะไรละค่ะ?” อัญชันถามอย่างสงสัย

เรียกชื่อผมสิครับ เอ้าไหนลองเรียกสิครับจินโฮเอ่ย

เอ่อ....ค่ะ คุณปา...เอ้ย คุณจินโฮอัญชันจึงต้องทำตามอย่างช่วยไม่ได้

ครับผม....ราตรีสวัสดิ์นะครับ คุณอึนชันจินโฮตอบรับอย่างชอบใจ

เอ่อ...ราตรีสวัสดิ์ค่ะอัญชันก็ได้แต่ตอบไปอย่างงงๆแล้วจึงเดินเข้าบ้านไป


Teddy Bear –
ดึกมากแล้วคุณยังไม่นอนอีกหรอ?

Bbong9 –
แล้วคุณละทำไมยังไม่นอน?

Teddy Bear –
ฉันเป็นห่วงคุณนะ ดูแลตัวเองด้วยละ (◕〝◕)

Bbong9 –
ฮิฮิ ฉันมีคนดูแลดีอยู่แล้วล่ะ (●*∩_∩*●)

Teddy Bear –
⊙0⊙ ใครหรอ?

Bbong9 –
คนที่คุณไม่รู้ว่าใคร ฮิฮิ (◕‿-)

Teddy Bear – (
づ ̄³) อารมณ์ดีเชียว ต้องมีอะไรแน่ๆเลย

Bbong9 –
มีซิ แต่ไม่บอกหรอก :p เพราะฉันเอง...ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

Teddy Bear –
เอ๋? เอาเถอะ แต่ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ คุณบอกฉันได้นะ ฉันพร้อมจะรับฟังเสมอ。◕‿◕。

Bbong9 –
ขอบคุณนะเท็ดดี้ คุณเป็นคนดีจัง เหมือนเทวดาเลย (Angel)

Teddy Bear –
คุณต่างหากละที่เป็นนางฟ้า (Angel)



วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

After Ending (After School ตอนพิเศษ)


After Ending

“ที่รักค่ะ หิวหรือยังเอ่ย?” ร่างบางเดินเข้ามาจากด้านหลังและเกยคางกับไหล่คนรักพร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงหวาน

“ยังจ๊ะ เดี๋ยวขอวาดอีกแป๊ปหนึ่งนะ” คนรักเธอตอบกลับด้วยเสียงใส

“ก็ได้ค่ะ ถ้าหิวแล้วบอกฉันนะ” ร่างบางบอกก่อนจะหอมไปที่แก้มใสหนึ่งฟอดใหญ่ๆ จากนั้นจึงเดินออกไปเพื่อให้คนรักวาดภาพต่ออย่างมีสมาธิ

อะแฮ่มๆ สวัสดีทุกท่าน คิดถึงฉันไหมเอ่ย.........ฉันรู้ๆ พวกคุณคงคิดถึงหน้าตาน่ารักของฉันสินะ :3 ตอนนี้ฉันย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์กแล้วและมีความสุขม๊วกกกกกก ก็อย่างที่เห็นละนะ ภรรยาของฉันเธอดีออกขนาดนี้ ฮิๆๆ ^ ^ พูดกี่ทีก็มีความสุข ภรรยาของฉ้านนนนนนนนน ใช่! เราแต่งงานกันแล้ว ฮิ้ววววว ในที่สุดฉันก็ขอเธอแต่งงานสำเร็จ แปะๆๆๆๆๆ (เสียงตบมือ) ฉันยังจำวันนั้นได้ดี ฉันตั้งใจจะขอเธอแต่งงานที่สวนสาธารณะที่เราเจอกันครั้งแรก (โฮแมนติกไหมละ :D) แต่เราดันพลัดหลงกันซะงั้น ("_ _) ฉันเดินหาเธออยู่นานทีเดียว จนในที่สุดเราก็หากันจนพบที่ศาลาหลังนั้น หลังที่ฉันเคยได้พบกับนางฟ้าแสนงอนของฉัน และที่นั่นฉันก็ได้เอ่ยปากขอแต่งงานกับเธอ ฉันจำสีหน้าของเธอได้ดี เธอมีอาการอึ้งที่ได้ยินก่อนจะร้องไห้โฮออกมา ฉันตกใจแทบแย่ แล้วเธอก็โผเข้าหาฉันและตอบรับด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ วินาทีนั้นฉันสัญญากับตัวเองว่า จะดูแลร่างบอบบางในอ้อมกอดนี้ให้ดีที่สุด //(ㄒoㄒ)// ซึ้งไหม

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนเราก็เดินทางไปจัดงานแต่งกันที่แคนาดาพร้อมด้วย พ่อ แม่ พี่ยุนโฮ พี่ซาน จารย์ และอดัม อ้อเกือบลืม มาเตสโตรวิลเลี่ยมหัวงูก็มา วันนั้นจองอาสวยมากๆ ไม่รู้ว่าเพราะฉันตาเบลอหรือเพราะความสวยของเธอกันแน่ ฉันถึงได้เห็นแสงรอบๆตัวเธอ มันสว่างไสวไปหมด เธอใส่ชุดเจ้าสาวแสนสวยมีชายกระโปรงยาวเป็นหางว่าว แต่ด้านบนเป็นเกาะอก o(≧ω≦)o เซ็กซี่ม๊วกกก พูดแล้วอยากให้เธอใส่ชุดนั้นให้ดูอีกรอบจัง อิอิอิ ในพิธีที่เรากล่าวคำสาบานนั้นฉันดันลืมคำมั่นของตัวเองซะได้ ~( ̄▽ ̄)~ ทั้งที่นั่งท่องทั้งคืน ถูกจารย์หัวเราะเยาะเลย (づ ̄³ ̄) แต่ยังดีที่ได้พี่ชายใจดีของฉันช่วยกระซิบบอกให้ เพราะพี่ก็ช่วยฉันเขียนคำมั่นด้วย พิธีจึงเสร็จลงได้ เฮ้อโล่งเลยละ จากนั้นก็เข้าหอ ฮ่าๆๆ

หลังจบพิธีแต่งงานพวกฉันก็เถียงกันยกใหญ่เรื่องฮันนีมูน เพราะตัวฉันอยากจะไปที่มัลดีฟหรือที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่อิตาลี แต่จองอายืนยันท่าเดียวว่าต้องไปอิตาลีเท่านั้น ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ แต่มีหรือที่คนอย่างฉันจะยอม ยุนนาผู้ดื้อรั้นคนนี้เคยยอมใครด้วยหรือ ฮ่าๆๆ.....แต่สุดท้ายเราก็ไปอิตาลี ก็นะฉันไม่เคยยอมใครหรอกนอกจากภรรยา »-(¯`v´¯)-» เมื่อไปถึงอิตาลีเธอก็ขยั้นขยอให้ฉันพาไปที่โดมุสให้ได้ อะไรนักหนาฉันอยู่ที่นั่นตั้ง 4 ปี เบื่อจะตายอยู่แล้ว แต่ก็นะมันเป็นความต้องการของเธอที่ฉันไม่สามารถขัดได้ ก็เลยต้องพาเธอไป และที่นั่นทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมเธอถึงอยากมาอิตาลี

“ฉันอยากเห็นที่ๆเธอเคยอยู่ ฉันอยากจะชดเชยเวลาของเรา” นี่คือคำพูดของเธอ มันทำให้ฉันดีใจแทบบ้า ฉันเข้าไปกอดเธอทันทีที่ฟังจบ นับจากนั้นฉันจึงพาจองอาไปทุกที่ที่ฉันเคยไป มันทำให้ฮันนีมูนของเรามีความสุขที่สุด จริงสิเมืองสุดท้ายที่เราไปคือเวโรนา เมืองแห่งความรัก ที่นี่เราสองคนได้เขียนจดหมายถึงจูเลียต นางเอกในบทประพันธ์ของเช็คเสปียร์ด้วย ฉันไม่รู้ว่าจองอาเขียนอะไรถึงจูเรียตหรอกนะ แต่ฉันเขียนถึงจูเลียตว่า

“สวัสดีจูเลียต ฉันเพิ่งแต่งงานและเราก็มาฮันนีมูนกันที่นี่ ฉันมีความสุขมากและอยากจะให้มันเป็นเช่นนี้ตลอดไป แต่ฉันก็รู้ว่าไม่มีความสุขใดอยู่กับเราได้ตลอดไปเช่นเดียวกันกับความทุกข์ เพราะฉะนั้นฉันจะเตรียมรับมือกับมันนะ และอยากให้คุณช่วยเป็นพยานด้วยว่าไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขฉันจะรับมันทั้งหมดโดยไม่ปล่อยมือจากคนรักของฉัน เพราะเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน”

ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องราวเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ฉันและจองอาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขในอพาร์ทเม้นทีบรู๊กลิน ฉันวาดภาพและมีแกลรอลี่ของตัวเองที่อัพเปอร์อีสไซด์ ส่วนจองอาก็ได้เล่นประจำในวงนิวยอร์กฮาโมนิค เธอมักจะทำงานบ้านและอาหารเช้าให้เสร็จก่อนออกไปซ้อมทุกเช้า และจะกลับมาทำอาหารเย็นรอฉันกลับจากแกลรอลี่ ทุกๆวันชีวิตคู่ของเราช่างมีความสุข

“เมื่อไหร่คุณจะวาดเสร็จสักที ฉันรอนานแล้วนะ” เสียงเข้มของเธอดังขึ้นและเดินปึงปังเข้ามาในห้องวาดภาพของฉัน

“อีกแป๊ปหนึ่งนะจ๊ะที่รักเกือบเสร็จแล้ว” ฉันจึงต้องบอกประวิงเวลาเธอ สงสัยเธอคงจะโมโหหิวแล้ว

“ถ้าอยากจะวาดนัก ก็วาดไปเลยทั้งคืน ข้าวก็ไม่ต้องกินแล้วกัน ฉันจะเททิ้งให้หมดเลย” เธอพูดเสียงเขียวก่อนจะเดินออกไป ฉันเลยต้องรีบวางงานและออกไปทานข้าวกับเธอไม่อย่างงั้นแม่คุณทิ้งทุกอย่างแน่ๆ เฮ้อ...นี่ละชีวิตคู่ แต่ถึงยังไงเธอก็ยังน่ารักเสมอในสายตาของฉัน รวมทั้งเสียงแว๊ดๆที่ตะโกนด่าฉันทุกวันนั่นก็ด้วย

“ฉันบอกให้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้วในตะกร้าไงละ นี่คุณต้องให้ฉันพูดอีกกี่รอบกัน!”

“ห้ามทานขนมเวลาดูทีวีนะ ดูสิหกหมดแล้ว!”

“นี่คุณดื่มเบียร์อีกแล้วหรอ นี่กระป๋องที่เท่าไหร่แล้ว เอาไปทิ้งให้หมดเลยนะ!”

“ออกไปเลยนะ ถ้าไม่อาบน้ำอย่าหวังจะได้มานอนบนเตียงของฉันเป็นอันขาด!”

“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้คุณวาดภาพเฉพาะในห้องของคุณ ดูซิสีมันหกเลอะพรมเต็มไปหมดเลย!”

“สนุกไหมละทิ้งฉันอยู่บ้านคนเดียวแล้วออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆนะ!”

“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ มาช่วยฉันจัดบ้านเดี๋ยวนี้!” และอีกมากมาย บราๆๆๆ แต่นั่นก็ยัง น่าร้ากกกก<( ̄︶ ̄)/ จนกระทั่งวันหนึ่ง

“ทำไมวันนี้คุณกลับบ้านช้าจัง รู้ไหมฉันรอทานข้าวกับคุณนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย” เธอขึ้นเสียงใส่ฉันทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ฉันงงมากทั้งที่นี่เพิ่งสองทุ่ม มันเลยเวลาปกติที่ฉันกลับบ้านแค่ครึ่งชั่วโมงเอง

“เอ่อ..ขอโทษนะจ๊ะ ฉันไปทานข้าวกับอดัมมาน่ะ” ฉันจึงขอโทษเธอไปสงสัยวันนี้เธอคงอารมณ์ไม่ดี

“ทานกับอดัมหรอค่ะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

“จ๊ะ” ฉันก็ได้แต่ตอบไปอย่างสงบเสงี่ยม ท่าทางของเธอดูแปลกๆไป ปกติเธอน่าจะอาละวาดกว่านี้ถ้าเธอโมโห แต่นี่ดูเหมือนเธอจะโมโหแต่เก็บอารมณ์ไว้ เธอเป็นอะไรหรือเปล่านะ? วันต่อมาเป็นวันหยุดของเราทั้งคู่ฉันจึงคิดอยากจะทำอะไรให้เธอบ้าง เลยตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารเช้าให้เธอ แต่เพราะฉันไม่เคยทำมาก่อนมันจึงเละไม่เป็นท่า เมื่อเธอตื่นขึ้นมาเธอก็โวยวายยกใหญ่ และโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างจริงจัง ทั้งที่ปกติเธอจะแกล้งโวยวายก่อนแล้วก็แอบดีใจแท้ๆที่ฉันทำอะไรให้เธอแบบนี้ แต่คราวนี้มันแปลกไป

“ห้ามกลับบ้านช้า ถ้ามีธุระต้องบอกก่อนหนึ่งวัน
ห้ามดื่มเบียร์เกินวันละหนึ่งกระป๋อง
ห้ามทานของหวานถ้าไม่ใช่หลังอาหาร
ห้ามนอนโดยไม่ได้อาบน้ำเด็ดขาด
ห้ามทำห้องเลอะ ไม่ว่าจากสาเหตุอะไร
ห้ามอยู่จนดึกดื่น หากไม่ได้ทำงาน
ห้ามวางเสื้อผ้าไว้เกลื่อนกลาด
ห้ามไปเล่นเกมส์ที่บ้านเพื่อนคนเดียวโดยไม่พาฉันไปด้วย และไม่ให้ไปเกินเดือนละสองครั้ง
ต้องกลับมาทานอาหารเย็นกับฉันทุกวัน ถึงทานมาแล้วก็ต้องทานอีก
ต้องช่วยฉันทำงานอาทิตย์ละหนึ่งวัน และห้ามเถียงฉัน” (;°○°) เธอสั่งยืดยาวจนฉันฟังแทบไม่ทัน

“เอ่อ...ที่รักจ๊ะ ที่สั่งมาเนี่ย ก็ห้ามทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ”ฉันถามขึ้นอย่างสงสัย

“ห้ามเถียง!” เธอทำเสียงเข้ม ฉันก็เลยได้แต่พยักหน้ารับ เค้าไม่ได้เถียงสักหน่อยแค่ถามเฉยๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? o(╥﹏╥)o ทำไมเธอถึงลุกขึ้นมาเข้มงวดขนาดนี้ (ถึงปกติจะเข้มอยู่แล้วก็เถอะ) และเมื่อฉันไปทำงานเธอก็โทรมาเช็คทุกสองชั่วโมง

“คุณอยู่ที่ไหน?” เธอถามเสียงเข้ม

“เอ่อ...ก็ที่แกลรอลี่ไงจ๊ะ” ฉันตอบอย่างงงๆ

“กับใคร?” เธอยังคงถามเสียงเข้มอยู่

“จะกับใครละ ไม่มีใครหรอก อดัมก็ไปคุยงานที่ฝรั่งเศส ตอนนี้มีฉันดูแกลรอลี่คนเดียวจ๊ะ” ฉันตอบไปตามความจริงเพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย พนักงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับก็ลาหยุดซะด้วย ฉันเลยต้องดูแลแกลรอลี่คนเดียว เมื่อเธอได้คำตอบแล้วก็วางสายไป พักนี้เธอมักถามอะไรแปลกๆ

“คุณยุนนาค่ะ ดีใจจังที่วันนี้เจอคุณได้” เสียงใสของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นฉันจึงหันไปมอง โอ้แม่เจ้า! นั่นเซรีน่านี่ ให้ตายเถอะหล่อนยังไม่ละความพยายามสักที ( _ _。)

“สวัสดีค่ะ คุณเซรีน่า มาซื้อภาพหรอค่ะ?” ฉันจึงต้องทักทายตามมารยาท เพราะยังไงเธอก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของฉัน

“แล้ว...คุณยุนนาขายอย่างอื่นไหมละค่ะ?” เธอพูดอย่างมีนัยและเดินเข้ามาใกล้ฉัน ให้ตายเถอะจะทำยังไงดีเนี่ยจะเดินหนีก็ไม่ได้ไม่มีคนเฝ้าแกลรอลี่ซะด้วย

“ว่าไงละค่ะ ฉันอยากจะซื้อ ไอ้นี่นะค่ะ” เธอเบียดร่างและกระซิบที่ข้างหูพร้อมจิ้มปลายนิ้วไปที่อกข้างซ้ายของฉัน โอ้! ⊙▂⊙ ล่อแหลม นี่มันล่อแหลมจริงๆ ถ้าใครมาเห็นเข้ามีหวังเป็นเรื่องแน่โดยเฉพาะจองอา เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงผลักร่างเธอออกอย่างเบามือ

“หัวใจฉันไม่ได้มีไว้ซื้อขายหรอกนะค่ะ แล้วมันก็มีเจ้าของแล้วด้วย” ฉันบอกออกไปเพื่อให้เธอตัดใจแต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม

“น่าสนใจจังค่ะ อยากรู้จังว่าฉันกับเจ้าของหัวใจของคุณ ใครจะเก่งกว่ากัน?” เธอยังคงพูดมีนัยด้วยใบหน้าท้าทายดูเหมือนฉันคงไปกระตุ้นเธอมากกว่าเดิมซะแล้ว ให้ตายเถอะฉันจะทำยังไงกับผู้หญิงคนนี้ดีเนี่ย เย็นวันนั้นฉันกลับไปบ้านตรงเวลาตามที่ภรรยาสุดที่รักสั่ง แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปทำไมบรรยากาศมันมาคุแบบนี้\("▔□▔)/

“ที่รักจ๊ะฉันกลับมาแล้ว” ฉันพยายามทำใจดีสู้เสือ (ภรรยา) เอ่ยออกไปเสียงใส แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆจากเธอ เธอยังคงนั่งหน้าเครียดที่โต๊ะอาหารซึ่งเคยมีอาหารเย็นเตรียมไว้เต็มโต๊ะทุกเย็น แต่วันนี้ไม่รู้ว่าพวกมันหายไปไหนกันหมด สงสัยว่าเธอคงจะเพิ่งกลับจากซ้อมและคงจะเหนื่อยมาก

“ที่รักจ๊ะเราไปทานอาหารนอกบ้านกันดีไหม เดี๋ยวฉันโทรจองโต๊ะเลยนะ” ฉันเลยเดินไปหยิบโทรศัพท์

“ไม่ต้อง!” เสียงเข้มดังขึ้น ฉันหยุดการกระทำทุกอย่างทันที นี่มันต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่างแน่ๆ ว่าแต่เรื่องอะไรละ? ⊙﹏⊙

“วันนี้คุณทำอะไร?” เธอเอ่ยขึ้นเสียงเย็น มันเย็นมากถึงขนาดฉันรู้สึกหนาวไปทั้งสันหลัง

“ก็...ก็อยู่เฝ้าแกลรอลี่ไงจ๊ะ อยู่เฝ้าทั้งวันเลย” ฉันตอบเสียงอ่อย เธอได้ยินก็ตบโต๊ะดังปัง!

“นี่อยู่กันทั้งวันเลยเรอะ....” เธอเอ่ยขึ้นพลางกัดฟันกรอดๆ (น่าจัวๆ)

“อยู่กับใครจ๊ะทั้งวัน? อะไรหรอจองอา?” ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยถามออกไป

“อย่ามาเนียนนะ คุณคิดว่าฉันโง่นักใช่ไหม ใช่สิฉันไม่ได้สวยไม่ได้สูงเหมือนยัยเสาไฟฟ้านั่นนี่ ฉันมัน...ฮื่อๆๆๆๆ” เธอระเบิดอารมณ์ออกมาก่อนจะร้องไห้โฮ ฉันงงมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่จองอาหมายถึงใครกัน เธอกำลังพูดเรื่องอะไร? ( ‵□′)

“ฉันคงเป็นนางมารร้ายของคุณไปแล้วสินะ ถ้าอย่างงั้นคุณก็ไปหาเธอเถอะ” เธอกล่าวทั้งน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นเดินหนี แต่ฉันไม่ยอมให้เธอไปไหนหรอก ฉันจึงเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้

“เธอหมายถึงใครกันจองอา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ฉันกระซิบถามข้างหูเธอ ร่างเธอสั่นเทาและร้องไห้กระซิกก่อนจะแกะมือฉันออก

“คุณรู้ดีว่าฉันหมายถึงใคร อย่าทรมานฉันอีกเลย ปล่อยฉันไปเถอะในเมื่อคุณไม่ต้องการฉันแล้ว” เธอหันมาและกล่าวทั้งน้ำตา ฉันสะเทือนใจกับภาพที่เห็น มันเหมือนกับร่างของเธอกำลังจะหายไปต่อหน้าต่อตาฉัน

“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน บอกฉันมาสิ” ฉันจึงเขย่าร่างบางถามเพื่อให้แน่ใจว่าร่างตรงหน้าฉันจะไม่หายไป ก่อนจะกอดเธอเอาไว้แน่น ร่างบางขัดขืนฉันแต่ฉันก็ไม่ยอมปล่อยเธอ จนในที่สุดเธอก็เลิกขัดขืนและร้องไห้กับไหล่ฉัน ฉันจึงคลายวงแขนออกก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมจับมือเธอไว้

“ได้โปรดเถอะจองอา ได้โปรดบอกฉัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันทำเธอเสียใจเรื่องอะไร?” ฉันกล่าวอย่างวิงวอนพร้อมสบตาเธออย่างอ้อนวอน เธอจึงยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง

“เมื่ออาทิตย์ก่อนเพื่อนในวงโทรมาบอกว่าเจอคุณในร้านอาหาร คุณทานอาหารอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันไม่เชื่อเรื่องที่เขาพูดฉันคิดว่าเขาคงตาฝาด แต่พอคุณกลับมาคุณก็บอกว่าทานอาหารมาแล้ว แต่คุณโกหกฉันว่าไปทานกับอดัม มันทำให้ฉันคิดมากฉันพยายามที่จะเชื่อใจคุณ แต่ว่าฉันก็อดไม่ได้ เพื่อนของฉันเธอบอกว่าเธอก็เคยเป็นแบบฉัน เธอทำหน้าที่ภรรยาที่ดีทุกอย่างแต่สุดท้ายสามีของเธอก็นอกใจ เพราะแบบนั้นฉันถึงได้ออกกฎกับคุณมากมายเพราะฉันไม่อยากจะเป็นเหมือนหล่อน แต่แล้ววันนี้ฉันก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกับคุณ......ทั้งที่คุณบอกว่าอยู่คนเดียว แล้วผู้หญิงคนนั้นมาได้ยังไง....” เธอเล่าทั้งน้ำตา ฉันพยายามนิ่งให้เธอเล่าจนจบ และจับมือเธอขึ้นมาจูบลงไปเบาๆ

“ฉันขอโทษ...ขอโทษที่ทำให้เธอเข้าใจผิด ขอโทษที่ทำให้เธอเสียใจ ขอโทษที่ปล่อยให้เธอทุกข์ใจอยู่คนเดียว แต่เธอจะยอมฟังเรื่องที่ฉันจะอธิบายได้ไหม เธอ...จะเชื่อใจฉันคนนี้อีกครั้งได้ไหม?” ฉันบอกเธอและสบตาเธออย่างอ้อนวอน เธอพยักหน้านองน้ำตานั่น

“เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า วันนั้นที่ฉันบอกไปทานข้าวกับอดัมนั้น ฉันยอมรับว่าโกหกจริง แต่นั่นเพราะไม่อยากให้เธอคิดมาก ความจริงแล้วฉันไม่ได้อยากไปทานอาหารกับเธอคนนั้นเลย นั่นเป็นเพราะอดัมหลอกให้ฉันไป เขาบอกว่ามีลูกค้าอยากคุยกับฉัน ฉันเลยไปไม่คิดว่าจะเป็นหล่อน ในเมื่อไปแล้วฉันก็ไม่มีทางเรื่องเพราะยังไงหล่อนก็เป็นลูกค้า เรื่องมันเลยเป็นแบบนั้น ส่วนวันนี้ฉันไม่ได้โกหกเธอจริงๆ ตอนที่เราคุยโทรศัพท์กันนั้นฉันอยู่คนเดียวจริงๆ หล่อนเพิ่งมาหลังจากฉันวางโทรศัพท์จากเธอ และฉันก็ไม่ยินดีเลยที่เจอหล่อน ฉันไม่รู้ว่าเธอเห็นอะไรบ้างนะแต่บอกได้อย่างเดียวว่า ฉันไม่ได้ยินดีกับการกระทำของเขา และฉันก็บอกเขาไปแล้วว่าหัวใจของฉันมีเจ้าของแล้ว แล้วเจ้าของก็หวงมากด้วย” ฉันกล่าวพร้อมสบตาเธออย่างจริงใจ และเอามือของเธอมานาบที่หัวใจฉันไว้ เธอหัวเราะเมื่อฉันกล่าวถึงเจ้าของหัวใจ ก่อนจะโผเข้ากอดฉัน

“ฉันขอโทษค่ะ ฉันมันโง่จริงๆ” เธอกล่าว

“ใช่ แล้วก็ขี้หึง จู้จี้ แสนงอน เจ้าอารมณ์ด้วย” ฉันกล่าวเหย้าเธอ เธอจึงทำหน้าบูดและตีใส่ฉันดังเพี๊ยะ

“ถ้าฉันไม่ดีขนาดนั้นก็เลิกกับฉันเลยสิ” เธอหันหน้าหนีอย่างแงงอน

“แล้วใครว่าไม่ดีละ ภรรยาของฉันน่ารักที่สุดในโลกอยู่แล้ว” ฉันจึงเข้าไปกอดเธอและหอมแก้มนวลเข้าไปเต็มสฟอด เธอยิ้มอย่างดีใจ

“สัญญานะค่ะว่าจะไม่นอกใจฉัน?” เธอหันกลับมากล่าวอย่างจริงจัง

“แน่นอนจ๊ะ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้” ฉันเองก็ตอบรับอย่างจริงจังเช่นกัน ก่อนจะจับมือทั้งสองของเธอยกขึ้นมาแนบแก้มไว้

“เพราะฉันสัญญากับจูเลียตเอาไว้แล้ว” ฉันกล่าวต่อ

“อะไรนะค่ะ จูเลียตนี่ใครกัน?” เธอชักมือกลับและถามเสียงเข้มทันที

“เอ้าก็จูเลียตไงที่เราเขียนจดหมายถึงนะ” ฉันพยายามอธิบาย

“นี่คุณเขียนจดหมายถึงหล่อนด้วยหรอ? หล่อนเป็นใครกันบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ” เธอโวยวายยกใหญ่และวิ่งไล่ตีฉันไปรอบบ้าน กว่าจะอธิบายให้เธอเข้าใจได้ก็เกือบค่อนคืน วันต่อมาฉันจึงพาจองอามาที่แกลรอลี่ด้วย และเป็นไปตามคาดที่เซรีน่าก็มาที่แกลรอลี่เช่นกัน เธอเดินชูคอระหงส์เข้ามาหาเราทั้งคู่ทันที

“สวัสดีค่ะคุณยุนนา วันนี้พาป้ามาด้วยหรอค่ะ?” เซรีน่าเริ่มเปิดศึกก่อน จองอาจึงสวนกลับในแบบของเธอ

“ที่รักค่ะ เขาว่าฉันเป็นป้าค่ะ คุณว่าฉันเหมือนป้าหรือเปล่าค่ะ?” เธอหันมาถามฉันและทำหน้าแบ๊วใส่ ให้ตายเถอะเป็นคุณจะตอบยังไงล่ะ ก็มันน่ารักขนาดนี้

“อ้อไม่หรอกจ๊ะ เธอน่ารักมาก” ฉันจึงตอบไปอย่างที่คิด จองอาจึงยิ้มรับและจับหน้าฉันหันไปทางเธอ ก่อนจะจูบเย้ยเซรีน่าให้เห็นกันจะๆ

“ขอบคุณค่ะที่รัก” เธอกล่าวหลังจุมพิตอันร้อนแรง ฉันแทบยืนไม่อยู่เลย แต่มันก็ได้ผลทีเดียว เซรีน่าเดินฟาดงวงฟาดงาออกไปเลย จองอามองตามและหัวเราะอย่างพอใจ เมื่อเห็นเธอยิ้มอารมณ์ดีแบบนี้มันก็ทำให้ฉันอารมณ์ดีไปด้วย แต่ไม่ทันไรเธอก็หันกลับมาทางฉันด้วยใบหน้ายักษ์

“อย่าแม้แต่จะคิดนะค่ะ ถ้าคุณนอกใจฉันละก็ ฉันฆ่าคุณแน่” เธอกล่าวเสียงเข้ม

“\("▔□▔)/…จ้า” ดูเหมือนว่านางฟ้าของฉันคงจะกลายร่างเป็นนางมารไปซะแล้ว แต่ก็เอาเถอะจะนางฟ้าหรือนางมาร ฉันก็รักเธอจองอาของฉัน\(≧3≦)/