ตอนที่ 15 โรครัก (Love Sick)
“ตอน นี้พระองค์จะทรงเป็นกษัตริย์หรือสุภาพบุรุษละเพค่ะ?” หญิงสาวร่างโปร่งในชุดฮัมบกกล่าวกับคนรัก จากนั้นเขาจึงยอมยอบร่างให้เธอเหยียบปีนข้ามกำแพง
“โอะ! ทำไมตัวเจ้าหนักกว่าเมื่อก่อนเสียอีก” เขาโอดครวญเมื่อหญิงสาวขึ้นเหยียบ
“ฝ่า บาทสูงขึ้นอีกนิดเพค่ะ ทำไมพระองค์ยังทรงอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนเลยละเพค่ะ “เธอกล่าวก่อนที่คนรักของเธอจะพยายามดันร่างให้สูงขึ้นตามคำของหญิงสาว
“คัท!” เสียงผู้กำกับสั่งคัทดังขึ้นก่อนที่เสียงโห่ร้องดีใจของคนทั้งกองถ่ายละคร พรีเรียตสุดฮิตจะตามมา หลังจากตรากตรำถ่ายทำกันมาอย่างยาวนานในที่สุดฉากสุดถ่ายของการถ่ายทำก็ สำเร็จลุล่วง
“เอ้ารีบๆ เก็บของ แล้วไปกินเลี้ยงปิดกล้องกัน ร้านอาหารจองไว้เรียบร้อยแล้ว” เสียงหญิงร่างท้วมผู้จัดการกองถ่ายดังบอกทีมงาน
“วันนี้ ฉันมีธุระสำคัญต้องไปทำ เอาไว้กินพรุ่งนี้ก็แล้วกัน พวกคุณคงไม่คิดจะกินเลี้ยงปิดกล้องโดยขาดนางเอกของเรื่องหรอกนะ แต่ถึงจะไปก็คงไม่มีที่ให้กินหรอก เพราะฉันโทรไปยกเลิกกับร้านเขาแล้วละ” ดาราสาวฮันฮโยจูนางเอกของเรื่องกล่าวก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ ผ้าในเต็นท์นักแสดง ทำให้ทีมงานต่างพากันอ้าปากค้าง ผู้จัดการกองถ่ายจึงรีบโทรไปตรวจสอบกับร้านอาหารที่จองไว้ทันที ปรากฏว่าห้องที่จองไว้โดนยกเลิกและมีคนใหม่จองไปแล้ว และการจะหาร้านอาหารที่รองรับคนได้เกือบร้อยชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายหากไม่มี การจองล่วงหน้า วันนี้ทุกคนจึงต้องอดฉลองปิดกล้องตามความต้องการของฮันฮโยจู
“อ้ากกกกกกกก ฉันจะบ้าตาย แผลงฤทธิ์จนถึงนาทีสุดท้าย ยัยปีศาจฮันฮโยจู!” ผู้กำกับถึงกับสติหลุดแหกปากอาละวาดยกใหญ่
ติ๊งต่อ ง ๆๆๆๆๆๆๆ เสียงออดประตูหน้าบ้านดังถี่ยิบอย่างไม่เกรงใจชาวบ้าน ชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องรับแขกได้ยินดังนั้นก็ รวบหนังสือพิมพ์ฟาดลงโต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นไปดูว่าคนไร้มารยาทที่ไหนมากดออด ชายหนุ่มมองจอมอนิเตอร์เห็นผู้มาเยือนก็ถึงกับแปลกใจ ไม่นานเขาก็เดินออกมายังหน้าบ้านและเปิดประตูออกไปหาแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หญิงสาวร่างโปร่งในชุดมินิเดรสเหลื่อมสีเงินระยิบระยับยืนจังก้าอยู่หน้า บ้าน
“ทำไมเธอไม่ขับรถเข้าไปในบ้านล่ะ เธอมีรีโมทประตูอยู่แล้วนี่” ชายหนุ่มถามด้วยความฉงน
“เพราะว่าฉันไม่อยากเข้าไป ฉันมีเรื่องจะพูดกับพี่แค่เรื่องเดียวแล้วฉันก็จะกลับ” ดาราสาวฮันฮโยจูกล่าว
“งั้นก็ว่ามาซิ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ
“ที่ ผ่านมาฉันคิดเสมอว่าพี่คือคนที่เพอเฟ็ค ฉันจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะได้ครอบครองความเพอเฟ็คนี้ ถึงแม้มันจะไม่มีหวังเลยก็ตาม แต่ฉันก็คิดว่าสักวันฉันต้องทำได้ แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมามันก็ทำให้ฉันคิดได้ว่า ที่ฉันคิดนั้นมันผิดมาตลอด เหตุผลที่พี่ไม่ยอมรับฉันไม่ใช่เพราะว่าฉันนั้นด้อยกว่า แต่เพราะพี่ต่างหาก พี่ต่างหากแต่ด้อยกว่าฉัน คนที่เพอเฟ็คที่สุดคือฉัน และเพื่อความเพอเฟ็คนี้ ฉันต้องตัดพี่ออกไป ฉันจะเป็นฮันฮโยจู ผู้หญิงที่เพอเฟ็คด้วยตัวของเธอเอง” เธอสาธยายด้วยน้ำเสียงหยิ่งยะโส เมื่อกล่าวจบเธอก็หยิบแว่นดำขึ้นมาใส่เชิดหน้าตามสไตล์ของเธอ ก่อนจะเดินหันหลังให้เขาและตรงขึ้นรถของตัวเองขับออกไปทันที จินโฮได้แต่ยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า ร่างโปร่งที่เดินหันหลังให้เขาสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวดที่ต้องตัดใจจาก คนที่เธอรักมาทั้งชีวิต แว่นตาที่เธอใส่ในเวลากลางคืนเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อความโก้หรู แต่เพื่อปกปิดหยาดน้ำตาที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ ร่างโปร่งแหกปากร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางขับรถ เธอถอดแว่นดำออกและปาดหยดน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาดั่งสายน้ำ เมื่อถึงแยกไฟแดงร่างโปร่งจอดรถรอสัญญาณไฟและสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด เธอฟุบลงกับพวงมาลัยอย่างหมดแรง และแม้จะไฟเขียวแล้วแต่เธอก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้
“คุณแชวอน เตรียมตัวถ่ายฉากคาราโอเกะด้วยนะค่ะ” ทีมงานสาวในกองถ่ายละครครอบครัวเถิดทูนผู้เป็นพ่อบอกกับดาราสาวนางเอกป้าย แดงหมาดๆ หลังจากเหตุการณ์ภาพฉาวสงบลงไม่นานเธอก็ได้เซ็นสัญญากับสังกัดใหม่ ซึ่งมีผู้บริหารใหญ่เป็นผู้หญิง จึงทำให้ดาราสาวมั่นใจว่าเธอจะเข้าใจหัวอกนักแสดงหญิงอย่างตน และไม่นานหลังจากเซ็นสัญญางานต่างๆก็ตามมามากมาย ล่าสุดดาราสาวได้รับบทนางเอกอีกครั้งหลังจากที่เคยเล่นไว้ในละครเรื่องแรก หากแต่ไม่เป็นที่รู้จัก ละครเรื่องนี้จึงถือเป็นการเปิดตัวเธอในฐานะนางเอกหน้าใหม่เต็มตัว ฉากต่อไปที่เธอจะถ่ายเป็นฉากที่ทุกคนในครอบครัวมาร้องคาราโอเกะร่วมกันโดย ผู้เป็นพ่อจะร้องเพลงโปรดของเขาซึ่งใช้ร้องเป็นประจำทุกครั้งที่เข้าคาราโอ เกะ “If you love me” เพียงแค่เห็นชื่อเพลงน้ำตาก็เธอก็หยดลงใส่สคลิป ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ไปแดกูก็ผุดขึ้นให้เจ้าของความทรงจำชอกช้ำใจ ในฉากนี้เธอต้องแสดงเป็นน้องสาวคนเล็กของบ้านผู้สดใสและร่าเริง ซึ่งตรงกันข้ามกับสภาพจิตใจของเธอลิบลับ แต่ด้วยสปิริตนักแสดงเธอก็สามารถถ่ายทำลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อหมดคิวแสดงของตนเธอก็เก็บสัมภาระเตรียมกลับบ้าน
“คุณแชวอน เพลงประกอบละครพาสสองออกแล้วนะค่ะ นี่ค่ะเอาไปฟังดูสิ” ทีมงานสาวคนเดิมนำซีดีเพลงประกอบละครมาให้เธอ เธอจึงรับไว้และตรงไปขึ้นรถของตน เมื่อกลับมายังคอนโดเธอจึงเปิดซีดีแผ่นนั้นฟัง เพียงแค่อินโทลขึ้นเธอถึงกับหยุดชะงักและพลิกดูรายชื่อเพลงด้านหลัง “If you love me” ดั่งสวรรค์กลั่นแกล้ง ไม่ใช่แค่ใช้ในฉากนั้นฉากเดียว หากแต่มันคือเพลงประกอบละครของเรื่องนี้ นี่เธอต้องทนฟังเพลงนี้ตลอดการถ่ายทำเลยหรือ ร่างบางทรุดลงข้างๆเครื่องเสียงอย่างหมดแรง หยดน้ำตาของเธอรินไหลจากดวงตาที่เหนื่อยล้า เพราะหากไม่ได้เข้าฉากเธอก็จะแอบไปร้องไห้คนเดียวอยู่เสมอ นี่คงเป็นหนึ่งสาเหตุว่าทำไมใบหน้าของเธอจึงเหมือนคนป่วยทั้งที่บทที่ได้ นั้นสดใสร่าเริง
ร่างเล็กเหม่อมองทิวทัศน์ยามราตรีผ่านระเบียง บ้านมุมโปรดอย่างเงียบเหงา ภาพความทรงจำเก่าๆยังคงฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มุมนี้ที่เธอคนนั้นชอบ มุมนั้นที่เธอคนนั้นผ่าน ที่ที่ทั้งสองสนุกสนานกัน ยังคงซ้ำเติมรอยแผลในใจให้มันไม่มีวันหาย
“พี่ชันค่ะ มาอยู่นี่เอง” เสียงหวานของหญิงสาวในชุดคลุมท้องดังขึ้น
“อ้าวยองชิ ยังไม่นอนอีกหรอเรา” ร่างเล็กหันไปตามเสียงทัก
“นอนไม่หลับเลยละค่ะ มันหนัก ยังกะโดนยักษ์ทับแน่ะ” หญิงสาวกล่าวพลางจับไปที่ท้องโย้ๆของตัวเอง
“ฮ่าๆๆ ยักษ์ที่ว่าน่ะ มันลูกชายพี่นะ” อัญชันกล่าวพลางหัวเราะ
“อะไรกันล่ะ ใช่ลูกพี่ที่ไหนลูกของฉันกับพี่แทยังต่างหาก” ลีฮอนคยองแย้ง
“ก็ เจ้านั่นมันฝากให้พี่ทำหน้าที่แทนมันนี่ เพราะงั้นพี่ก็เหมือนพ่อของเจ้าตัวเล็กนี่ เอ๊ะหรืออยากให้พี่ทำหน้าที่สามีด้วยล่ะ แต่แบบนั้นเห็นทีพี่คงทำไม่ได้หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ” อัญชันเหย้าให้หญิงสาวเขินอาย เธอจึงตีร่างเล็กไปหนึ่งที
“เดี๋ยวเถอะ จะฟ้องพี่แทยัง…..โอ๊ะ!” หญิงสาวค้อนก่อนจะอุทานออกมาเมื่อถูกลูกในท้องเตะ อัญชันจึงก้มลงไปแนบหูกับท้องของเธอ
“แทยอง รีบๆออกมาเล่นกับอาเร็วๆนะ อาเหงามากๆเลย” อัญชันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้า
ณ ร้านอาหารเนื้อย่างแห่งหนึ่ง เหล่าทีมงานละครพรีเรียตสุดฮิตกำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนานหลังจากตรากตรำ ทำงานกันมาแรมปี ทีมนักแสดงนำร่วมกันเป่าเค้กฉลองพร้อมช่วยกันตัดแบ่งให้กับทีมงาน จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันอย่างออกรส ต่างพูดถึงช่วงเวลาถ่ายทำที่ยากลำบากทั้งสภาพอากาศ คิวแสดงที่แน่นเอียดและฤทธิ์เดชของใครบางคน
“ในที่สุดพวกเราก็พ้น ทุกข์กันสักที ฉันละเข็ดแล้ว ดูสิเนี่ยขนาดงานปิดกล้อง ชียังบังคับคนทั้งกองมาตามเวลาที่ชีกำหนด ดีนะนี่แค่ปาร์ตี้ภายใน ยังมีงานปิดกล้องอย่างเป็นทางการที่ต้องเชิญสื่อมวลชนมาร่วมด้วยในสัปดาห์ หน้านี้อีก ฉันละหวั่นใจจริงๆว่าชีจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก” หญิงร่างท้วมผู้จัดการกองถ่ายกล่าวพร้อมกระดกโซจูกับลูกทีม
“คงไม่ มั้งค่ะผู้จัดการ ถ้าเป็นต่อหน้าสื่อชีแอ๊บได้เนียนตลอดละค่ะ เฮ้อ...แต่ใครจะรู้บ้างหน้อ ว่าเบื้องหลังอย่างเราๆต้องเจออะไรมั่ง” ผู้ช่วยคนสนิทกล่าว
“แล้วเจออะไรบ้างล่ะ?” เสียงฮันฮโยจูถามขึ้นด้านหลังของผู้ช่วย เธอถึงกลับหน้าซีดรีบหันกลับไปมองเจ้าของเสียง
“ฉัน มาชนแก้วฉลองค่ะ คุณผู้จัดการ” ร่างโปร่งกล่าวพร้อมยื่นแก้วไปหาผู้จัดการร่างท้วม หญิงร่างท้วมจึงชนแก้วกับเธออย่างเสียไม่ได้ด้วยใบหน้าขาดเลือด
“เอา ล่ะ ฉันขอตัวกลับก่อน สนุกกันให้เต็มที่นะค่ะทุกคน ในเมื่อฉันเป็นคนเลื่อนงานให้มาจัดวันนี้ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายวันนี้ฉันจะเป็นคนออกเองทั้งหมด บายค่ะ” ร่างโปร่งกล่าวกลางห้องพร้อมเดินฝ่าทีมงานออกไป สร้างความแปลกใจให้ทุกคนไม่น้อยที่คนอย่างฮันฮโยจูจะมีสปิริตกับเขาด้วย ร่างโปร่งเดินออกมายังหน้าร้านพร้อมกดมือถือโทรไปยังคนที่เธอบอกให้มารับ หากแต่พบเข้ากับร่างสูงเสียก่อน
“เลิกแล้วหรอ?” จินโฮถาม เขาเดินเข้ามาหาเธอพร้อมลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ ดอกไม้ที่เธอชอบ เขายื่นมันให้เธอ ทันใดนั้นรถสปอร์ตสีดำคันงามก็มาจอดหน้าร้าน ชายหนุ่มหน้าสวยก้าวลงจากรถอย่างสง่างามพร้อมกุหลาบแดงช่อโตและริบบิ้นสะดุด ตา
“ยินดีด้วยนะฮโยจู ในที่สุดก็ถ่ายเสร็จ” เขากล่าวพร้อมยื่นช่อดอกกุหลาบให้เธอ เธอยิ้มรับหน้าบานตัดหน้าจินโฮอย่างจงใจ
“ขอบคุณค่ะ พี่แจจุง” เธอพูดเสียงหวาน
“เรา จะไปกันหรือยังจ๊ะ พี่จองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว” ไอด้อลชื่อดังคิมแจจุงผู้เคยแสดงร่วมกับเธอในภาพยนตร์รักโรแมนติกที่โด่งดัง ไปทั่วเอเชียกล่าวพร้อมยื่นแขนให้เธอควง ร่างโปร่งคล้องแขนชายหนุ่มหน้าสวยอย่างยินดีและเดินขึ้นรถไปพร้อมเขา เหลือเพียงร่างสูงที่ยืนมองทั้งสองจากไปด้วยอาการช็อคและสับสน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะปฏิเสธเขา ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังไปกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้ แม้จะบอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกผิดหวังแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอก ไม่ถูก ร่างสูงนึกถึงคำพูดของฮโยจูที่พูดกับเขาเมื่อวาน
“ฉันต้องตัดพี่ออกไป ฉันจะเป็นฮันฮโยจู ผู้หญิงที่เพอเฟ็คด้วยตัวของเธอเอง”
“นี่ เธอ....เอาจริงหรือเนี่ย?” จินโฮพึมพำกับตัวเองพร้อมมองตามรถของแจจุงด้วยสายตาเศร้าสร้อย เขาคงเสียเพชรในมือที่เขาไม่เคยเห็นคุณค่าไปเสียแล้ว ร่างสูงหวนคำนึงถึงอดีตตั้งแต่ที่เขาพบฮันฮโยจูครั้งแรกในโรงเรียนมัธยม เธอนั้นงดงามและสดใส เธอเดินเข้ามาหาเขาและบอกให้เขาคบกับเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน หากแต่ตอนนั้นเขายังไม่สนใจในความรักเขาจึงปฏิเสธเธออย่างไม่ใยดี แต่เธอก็ไม่เคยละความพยายาม เธอหาโอกาสหรือแม้กระทั้งสร้างโอกาสเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเขาเสมอและมา คอยกวนอารมณ์ของเขาตลอดเวลา จากที่ไม่คิดจะสนใจเขาก็เริ่มเอ็นดูเธอในฐานะน้องสาวจอมเอาแต่ใจ จนเวลาผ่านไปตอนนี้เขารู้แล้วว่าเธอสำคัญต่อเขาเพียงไร
“ฮโยจู ใส่แว่นทำไมน่ะ? นี่มันในรถนะแล้วก็มืดมากแล้วด้วย” แจจุงถามขึ้นเมื่อเห็นร่างโปร่งสวมแว่นตาดำ
“....ขับ รถไปเถอะค่ะ” เธอตอบเสียงเข้มทำให้เขาไม่กล้าถามต่อ ร่างโปร่งปกปิดหยดน้ำตาของเธอด้วยแว่นดำอีกครั้ง ทั้งที่เธอพยายามจะไม่ร้องไห้แต่น้ำตามันก็ไม่ยอมฟัง ร่างโปร่งจึงทำอะไรไม่ได้ได้แต่ปล่อยให้มันรินไหลอยู่อย่างนั้น ก่อนจะบอกให้สารถีผู้เกรงกลัวเธอขับไปส่งที่คอนโดแทนร้านอาหารที่เคยตกลงกัน ไว้
แม้เวลาจะผ่านไปร่างที่ไร้หัวใจของทั้งสี่ก็ยังคงทำงานไป อย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อไม่ให้สมองมีเวลาว่างคิดถึงใครคนนั้นที่ตัวเองไม่เคยลืมเลือนได้ เลยแม้เสี่ยววินาที พวกเขาพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ หากแต่ยิ่งพยายามมันก็ยิ่งเจ็บปวด
จินโฮโหมงานเปิดตัวดาราหน้าใหม่ ของบริษัทอย่างหนักรวมถึงเดินทางไปดูงานต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักทำให้เขาไม่เผลอคิดถึงเสียงแว๊ดๆของน้องสาวตัวป่วนที่ตั้งแต่ นั้นก็ไม่โผล่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย ชีวิตที่ดำเนินไปโดยไร้เงาของหญิงสาวร่างโปร่งที่เคยเดินตามต้อยๆ ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตขาดหายอะไรไป
“คุณปาร์คค่ะ เอกสารให้เซ็นค่ะ” เลขาของจินโฮเดินเข้ามาพร้อมเอกสาร เขาหยิบมาเปิดอ่านรายละเอียด ทำให้หวนคิดถึงอดีตอีกครั้ง
“นี่เอกสารสัญญา 1 ปี ได้ 50 ล้านวอนเป็นค่ากินเปล่า เธอคงจะพอใจนะ” จินโฮยื่นเอกสารให้ดาราสาวฮันฮโยจู
“เงิน กินเปล่านะ ฉันไม่ต้องการหรอก พี่ก็แค่เป็นแฟนกับฉัน ฉันก็จะเซ็นสัญญากับบริษัทของพี่ตลอดชีวิตเลย” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเลห์
“คุณปาร์คค่ะ?” เลขาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายของเธอมองเอกสารอย่างเหม่อลอย จินโฮจึงรู้สึกตัว
“เอาไว้เดี๋ยวบ่ายๆผมจะเข้ามาเซ็น” ร่างสูงลุกออกจากห้องทำงานไปอย่างหัวเสีย
“เอา ล่ะค่ะ วันนี้ถ่ายพอแล้ว คุณฮโยจูไปพักผ่อนได้แล้วค่ะ” ทีมงานกองถ่ายภาพยนตร์โฆษณาการท่องเที่ยวของประเทศแทบตะวันตกประเทศหนึ่งบอก กับดาราสาว เธอจึงตรงเข้าโรงแรมที่พักของตนทันทีหลังจากต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มหน้ากล้อง มาทั้งวัน
“อ้าว! คุณฮโยจูไม่ล้างเครื่องสำอางก่อนหรือค่ะ” ทีมงานคนหนึ่งร้องเรียกหากแต่ร่างโปร่งก็เดินลิ่วๆไปเสียแล้ว หลังจากเข้ามาในห้องร่างโปร่งนั่งลงอย่างหมดแรงที่โซฟา ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างเครื่องสำอางออก เธอมองใบหน้าของตัวเองในกระจก ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลลงอาบแก้มเพราะภาพในอดีตย้อนมาให้เจ็บช้ำ
“จะแต่งหน้าเข้มๆไปทำไม” ร่างสูงถามขึ้นหลังนั่งรอดาราสาวฮันฮโยจูแต่งหน้ามานาน
“นี่ มันงานประกาศรางวัลนะ กล้องนับพันจับมาที่ฉัน ฉันก็ต้องแต่งซิ เกิดถ่ายออกมาหน้าซีดเป็นศพจะทำยังไง ภาพวันนี้จะถูกโพสลงในเวบเป็นล้านๆเวบ แล้วมันก็จะอยู่บนอินเตอร์ประจานฉันไปจนชั่วนิรันดร์” ร่างโปร่งอธิบาย ทำให้ชายหนุ่มอดขำไม่ได้ถึงความวิตกจริตของเธอ เขาจึงเดินเข้าไปหาเธอและโน้มร่างไปจ้องใบหน้าของเธอใกล้ๆ
“พี่ก็ไม่ เห็นว่า ตรงไหนบนหน้าเธอมันจะไม่สวยเลย เครื่องสำอางพวกนี้มีแต่จะบดบังความงามของเธอ” เขากล่าวเสียงนุ่ม ร่างโปร่งถึงกับใจสั่น
“เร็วๆเข้าล่ะ ไม่งั้นพี่ไม่รอแล้วนะ” ร่างสูงกล่าวก่อนจะมองนาฬิกาอย่างร้อนรน
ร่าง โปร่งนึกถึงความทรงจำเก่าๆที่มีกับจินโฮ ผู้ชายที่เธอรักมาทั้งชีวิต หยดน้ำตาทำให้มาสคาร่าไหลเปื้อนแก้มขาว ก่อนที่เธอจะฟูมฟายออกมาและทรุดลงสะอึกสะอื้นข้างๆอ่างล้างหน้า
หลัง จากถ่ายทำละครครอบครัวเสร็จสิ้น ดาราสาวมุนแชวอนก็มีงานภาพยนตร์เข้ามา โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่เธอได้แสดงบนจอเงิน แต่บทที่ได้นั้นโดดเด่นกว่าภาพยนตร์เรื่องแรกมากนัก แถมยังเป็นภาพยนตร์พรีเรียต แอ็คชั่นท้าทายความสามารถของเธอที่ยังไม่เคยแสดงฉากแอ็คชั่นมาก่อน ดาราสาวจึงทุ่มเททำงานเต็มกำลัง จากนั้นไม่นานก็ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของเครื่องดื่มเกลือแร่ยี่ห้อหนึ่ง และตามมาด้วยละครพรีเรียตสุดคลาสสิคที่กล่าวขานกันว่าเป็นโรมิโอกับจูเรียต แห่งโชซอน เธอโหมงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อลบเลือนเรื่องราวของคนร่างเล็ก แต่ไม่ว่าเธอจะไปที่ใดหรือทำอะไร ก็ไม่สามารถลบเลือนเงาของร่างเล็กที่ปกคลุมหัวใจของเธอได้ ยังคงมีเงาของคนคนนั้นวิ่งวนอยู่รอบๆตัวเธอเหมือนเมื่อก่อน
“คุณแชวอนน้ำค่ะ...........ร้อนไหมค่ะเดี๋ยวฉันพัดให้........แสดงได้ดีมากเลยค่ะ........หิวไหมค่ะ..........สู้ๆนะค่ะ!” คำพูดเหล่านี้ และท่าทางกระตือรือร้นของอัญชันที่เคยอยู่ข้างๆคอยดูแลเอาใจใส่เสมอยังคงติดตรึงอยู่ในใจของร่างบาง
“แช วอน....แชวอน!” รยูซึงรยอง ดารามากฝีมือผู้เคยแสดงร่วมกับเธอในละครเรื่องยอดหญิงตำนานศิลป์ ซินยุนบกมาก่อน ร้องทักขึ้น ร่างบางจึงหลุดจากภวังค์
“คิดอะไรอยู่รึ เรา?....ว่าแต่เบอร์มือถืออะไรหรือ เดี๋ยวผมมีอะไรจะได้ติดต่อสะดวก” เขาถามพร้อมหยิบมือถือออกมาบันทึกตามคำบอกของร่างบาง
“เอ๊ะ? นี่เบอร์เก่านี่ ไม่ได้เปลี่ยนใหม่หรอกรึ? ตั้งนานแล้วนะ” เขาถามอย่างแปลกใจที่เธอยังใช้เบอร์เดิมเมื่อครั้งยังถ่ายละครเรื่องที่แล้ว ด้วยกัน
“........ฉัน....ไม่กล้าเปลี่ยนเบอร์หรอกค่ะ” เธอตอบเสียงเศร้า ยิ่งทำให้คนฟังแปลกใจเข้าไปใหญ่
“ฉัน หมายถึง ฉันไม่อยากเปลี่ยนเบอร์ใหม่นะค่ะ มันยุ่งยาก” ร่างบางตอบไม่ให้คนฟังสงสัยหากแต่ความจริงนั้นเป็นเพราะเธอกลัวว่าอัญชันจะ ไม่สามารถติดต่อกลับมาหาเธอได้หากเธอเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เธอยังหวังเสมอว่าสักวันอัญชันจะโทรกลับมาหาเธอ แต่ทุกครั้งที่มองมือถือซึ่งนอนแน่นิ่งไม่มีการตอบสนองต่อสายเรียกเข้ามันทำ ให้หัวใจเธอยิ่งเจ็บปวด เป็นเหตุให้เธอร่ำไห้อย่างปวดร้าวทุกครั้งที่มองหน้าจอว่างเปล่าบนมือถือของ ตัวเอง
“พี่ชันค่ะ พี่ชัน!” ลีฮอนคยองร้องเรียกร่างเล็กพลางเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในไซด์ก่อสร้าง ซึ่งกำลังดำเนินงานก่อสร้างรีสอรทโฮมสเตย์ในบริเวณบ้านสวนอยู่
“ยอง ชิ! เข้ามาทำไมในนี้ มันอันตราย ใกล้จะคลอดอีกไม่กี่วันนี้แล้ว” อัญชันเห็นหญิงสาวท้องแก่เดินเข้ามาก็ตกใจรีบลากเธออกมาจากบริเวณก่อสร้าง ทันที
“ฉันเอาข้าวกลางวันมาให้ค่ะพี่” เธอกล่าวเสียงอ่อนพร้อมยื่นกล่องข้าวให้ร่างเล็ก ร่างเล็กยิ้มรับหน้าระอาก่อนที่จะพากันมานั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ลีฮอนคยองเปิดกล่องข้าวที่ตนทำมาเองออก ซึ่งมีทั้งกิมจิ คิมบับ มันดู (เกี้ยวห่อ) และขนมซองเพียร อัญชันเห็นดังนั้นก็ถึงกับทำหน้าเครียดจนลีฮอนคยองแปลกใจ
“พี่ชันค่ะ? เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?” หญิงสาวถาม
“พี่ยังทำงานไม่เสร็จน่ะ ยองชิทานไปก่อนเถอะนะ” ร่างเล็กบอกก่อนจะลุกหนีไป
“อ้าว!.... แต่ฉันทำมาให้พี่นะ...” ลีฮอนคยองพูดไล่หลังแต่ไม่ทันคนตัวเล็กที่เดินจ้ำอ้าวเข้าไซด์ก่อสร้าง อัญชันคิดถึงความหลังตอนที่ทานคิมบับกับร่างบางในกองถ่ายและขนมซองเพียรที่ แดกู
“คุณอัญชันไม่ไปทานข้าวหรือครับ?” หัวหน้าคนงานที่กำลังจะเดินออกจากไซด์ไปพักทานอาหารถามขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กเดินเข้ามาในไซด์
“ฉัน..... เรียบร้อยแล้วละค่ะ พวกคุณไปทานกันเถอะ” อัญชันตอบก่อนจะเดินเข้าไปหลบมุมร้องไห้ที่ด้านหลังบ้านพักซึ่งกำลังก่อ สร้างอยู่ แม้ว่าจะพยายามทำงานหนักในการสร้างรีสอร์ทและเตรียมเปิดให้บริการ แต่ก็ยังไม่วายคิดถึงคนที่เธอจากมา
“คุณแชวอนจะเป็นยังไงบ้างนะ เธอสบายดีรึเปล่า ได้พักผ่อนบ้างไหม จะมีคนดูแลเธอไหม?” คำ ถามพวกนี้คอยวิ่งวนอยู่ในสมองร่างเล็กตลอดเวลา อยากจะโทรไปหาใจจะขาดแต่เพราะตัวเองได้ตัดสินใจจากมาแล้วจึงต้องหักห้ามใจ และอยู่อย่างฝืนทนต่อความทรงจำที่คอยกัดกินหัวใจและความคิดถึงที่ทำให้แทบลง แดงตาย เฝ้ารออย่างสิ้นหวังว่าเมื่อไหร่ความทุกข์นี้จะจางหายไป หากแต่เมื่อคิดว่าต้องลืมเธอผู้เป็นยอดดวงใจหัวใจก็ไม่ยอมปล่อยความทรงจำที่ แสนเจ็บปวดนี้ให้จางหายไป แม้ต้องเจ็บปวดเพียงใดก็จะกอดรัดความทรงจำเหล่านี้ไว้ เหมือนดั่งคนโง่ที่ไม่ยอมปล่อยมือจากดอกกุหลาบซึ่งมีหนามแหลมคมทิมตำมือของ ตนให้เจ็บสาหัส เพียงเพราะต้องการเชยชมดอกอันงดงามของมันต่อไป
หลัง จากถ่ายละครพรีเรียตเรื่องล่าสุดจบไปดาราสาวมุนแชวอนจึงขอทางต้นสังกัดพัก เธอมองหาโรงแรมและรีสอร์ทในต่างประเทศที่จะสามารถให้ดาราอย่างเธอพักผ่อนได้ สบายๆโดยไม่ต้องคำนึงถึงปาปารัซซี่ เธอค้นหาที่พักผ่านกูเกิ้ล จึงมาเจอเว็ปไซท์หนึ่งซึ่งเป็นเว็ปของรีสอร์ทโฮมสเตย์บรรยากาศบ้านสวนใน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย ซึ่งมีผู้ดูแลเป็นคนเกาหลี และได้รับคำวิจารณ์ดีๆจากนักท่องเที่ยวที่เคยไปพัก ร่างบางมองภาพบรรยากาศของรีสอร์ทช่างคล้ายคลึงกับบ้านสวนที่เธอเคยไป หากแต่ที่นั่นไม่ได้เป็นรีสอร์ทเพียงแต่เป็นที่พักของครอบครัวเล็กๆที่เธอตก หลุมรัก เธอไม่รู้ว่าบ้านสวนนั้นอยู่ที่ไหนเพราะอัญชันเป็นคนพาเธอไป หากรู้เธอคงจะไปหาและพาคนตัวเล็กกลับมาอยู่เคียงข้างเธอดังเดิม คิดได้ดังนั้นเธอก็ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าอีกครั้ง ก่อนจะทำการจองที่พักผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยชื่อของผู้จัดการคนใหม่ของเธอ หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์เธอก็เดินทางมาที่ประเทศไทยเพียงลำพัง
“เอ๊ะแทยองไปไหนเนี่ย?” วันเพ็ญเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาหาหลานชายแต่ไม่พบ
“อ่าว? เมื่อกี้หนูวางไว้ในเปลนะค่ะ หายไปไหนเนี่ย?” ลีฮอนคยองที่กำลังแต่งตัวอยู่เดินออกมาจากห้องเมื่อได้ยินเสียงวันเพ็ญ เธอเรียนรู้ภาษาได้ไวตอนนี้จึงสามารถพูดภาษาไทยได้แล้ว
“ตายแล้ว! หลานฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!” วันเพ็ญแตกตื่นยกใหญ่ ก่อนที่ร่างเล็กจะอุ้มหลานชายคนโปรดขึ้นเรือนมา
“อยู่นี่ๆ โวยวายไปได้ แทยองยังเดินไม่ได้ จะหายไปไหนได้ละ” อัญชันบอก
“โธ่ใจหายหมดเลยค่ะ พี่ชัน เอ๊ะนี่พี่จะไปกับฉันด้วยรึค่ะ?” ลีฮอนคยองถามเมื่อสังเกตเห็นร่างเล็กแต่งกายพร้อมออกไปข้างนอก
“ก็ใช่นะซิ คิดว่าพี่จะปล่อยให้เอาลูกพี่ไปตรวจคนเดียวหรอ” ร่างเล็กตอบหน้าเป็น
“ฉันไปไม่นานหรอกค่ะ แค่ตรวจพัฒนาการตามหมอนัดเท่านั้นเอง” ลีฮอนคยองแย้ง
“ถ้าไม่นานก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เดี๋ยวรีบไปรีบกลับกันก็ได้” อัญชันยังดื้อไม่ฟังคำแย้ง
“แต่ วันนี้ลูกค้าที่จองไว้จะมาเช็คอินท์นะค่ะ เป็นคนเกาหลีด้วย ถ้าฉันกับพี่ไม่อยู่พร้อมกันแบบนี้ก็แย่ซิค่ะ” ลีฮอนคยองยังไม่ลดความพยายาม
“ไม่ต้องห่วงหรอก แม่เค้าก็พูดได้แล้ว ไหนพูดซิแม่!” อัญชันส่งต่อมุกทันที
“อา รัด ซอ (เข้าใจแล้ว)” วันเพ็ญรีบรับมุกทันที แต่ความจริงนั้นตัวเองพูดเป็นแค่ไม่กี่คำแถมยังฟังไม่เข้าใจเลยสักคำ ในรีสอร์ทนี้คนที่พูดเกาหลีได้รู้เรื่องมีลีฮอนคยองและอัญชันซึ่งเรียนภาษา เกาหลีกับเธอจนพูดได้เพียงสองคนเท่านั้น เมื่อเห็นแม่ลูกรับส่งมุกกันเป็นปีเป็นขลุ่ยลีฮอนคยองจึงหมดแรงที่จะทัดทาน จึงต้องยอมให้กับคนตัวเล็ก
“เถิดเดี๋ยวเอารถตู้ไปรับลูกค้าที่สนาม บินนะ ทำเหมือนที่ไปกับฉันนั่นละ ชูป้ายชื่อให้สูงๆเข้าใจไหม เดี๋ยวลูกค้าไม่เห็น ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอด ฝากด้วยนะ” อัญชันฝากฝังกับคนงานก่อนจะขับรถพาลีฮอนคยองและลูกไปหาหมอ
ไม่นานรถ ตู้สีขาวที่ออกไปรับลูกค้ายังสนามบินสุวรรณภูมิก็แล่นเข้ามาในบ้านสวน ทิวทัศน์ที่คุ้นตาทำให้ร่างบางรู้สึกสงสัย เธอจึงพยายามมองผ่านกระจกรถไปตลอดทางเข้าจนรถมาจอดยังหน้ารีสอร์ท ร่างบางก้าวลงมาด้วยความแปลกใจ แม้จะมีสิ่งปลูกสร้างแปลกตาแต่ทิวทัศน์ของที่นี่ยังเหมือนเดิม ที่นี่คือบ้านสวนของอัญชันไม่ผิดแน่
“อ้าวเถิดลูกค้ามาแล้วหรอ เวลคัม เวลคัม!” วันเพ็ญรีบออกมาต้อนรับลูกค้าทันที แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบเข้ากับร่างบาง
“อ้าว! หนูจันทร์เป็นไงมาไงละเนี่ย โอ้ยไม่ได้เจอกันนานเลย!” วันเพ็ญรีบเข้าไปลูบหน้าลูบหลังร่างบางทันที เธอจึงยกมือไหว้ตามแบบไทย
“ขึ้น บ้านก่อนๆ” วันเพ็ญชักชวนให้ร่างบางขึ้นเรือนด้วยท่าทาง เธอจึงเดินตามอย่างว่าง่าย ทั้งสองนั่งคุยกันคนละภาษาอยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงรถของอัญชันขับเข้ามาจอด ร่างบางจึงลงจากเรือนมาด้วยหัวใจพองโตที่จะได้พบคนที่เฝ้าคิดถึง หากแต่ภาพที่เห็นกลับเป็นภาพที่คนตัวเล็กเดินประคบประหงมหญิงสาวกับเด็ก ทารกอยู่
“ความจริงพี่ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้นะค่ะเนี่ย” ลีฮอนคยองกล่าว
“ได้ ไงล่ะ พี่เป็นพ่อก็ต้องดูแลลูกและแม่ของลูกพี่สิ” อัญชันตอบทะเล้นให้ลีฮอนคยองเขินจนต้องทุบคนตัวเล็กไปหนึ่งที ก่อนจะสังเกตเห็นร่างบางของมุนแชวอน
“เอ๊ะใครกันค่ะนั่น?” ลีฮอนคยองถามขึ้น อัญชันจึงหันไปมอง ร่างเล็กถึงกับตกตะลึงตาค้างยืนตัวแข็งทื่อ
“คุญแชวอน...?” อัญชันทักอย่างแปลกใจ
“เจอ กันแล้วใช่ไหม นี่หนูจันทร์เพื่อนของชันมัน ลูกค้าที่จองวันนี้นะเป็นหนูจันทร์เอง....อุ้ยตายหลานย่ามาแล้ว” วันเพ็ญเดินลงจากเรือนพร้อมแนะนำร่างบาง ก่อนจะเดินเข้าไปอุ้มหลานชายสุดที่รักขึ้นเรือนไป ลีฮอนคยองมองท่าทางของอัญชันและแชวอนที่ต่างก็ทำหน้าไม่ถูก จึงพอจะเข้าใจว่าผู้มาเยือนคนนี้เป็นใครและมีความสัมพันธ์ยังไงกับอัญชัน
“โลก กลมจริงๆเลย ที่แท้คุณก็เป็นเพื่อนกับพี่ชัน เอ๊ะยังงี้ จะให้คุณ.....ชื่ออะไรนะค่ะ?” ลีฮอนคยองเปิดบทสนทนาขึ้น ก่อนจะฉีกหน้าด้วยการจำชื่อของร่างบางไม่ได้
“.....ฉันมุนแชวอนค่ะ” ร่างบางตอบอย่างเสียไม่ได้
“ยังงี้จะให้คุณมุนแชวอน พักกับเราบนเรือนดีไหมค่ะพี่ชัน?” ลีฮอนคยองถาม
“อย่า เลย....เดี๋ยวคุณแชวอนจะอึดอัด ให้เขาพักที่รีสอร์ทนั่นแหละ พี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะ” อัญชันตอบก่อนจะปลีกตัวไป ร่างบางได้แต่มองตามอย่างอาวรณ์
“เชิญทางนี้ค่ะ คุณมุนแชวอน” ลีฮอนคยองเรียกร่างบางด้วยใบหน้าแสร้งยิ้ม จากนั้นจึงเดินนำเธอไปยังรีสอร์ทที่ได้จองไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ต้องการคอมเมนต์ โดยไม่ต้อง Login ตรง แสดงความคิดเห็นในฐานะ
ให้เลือกโปรไฟล์เป็น ไม่ระบุชื่อ