วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

The Fan Club ตอนที่ 16



ตอนที่ 16 ซ่อนรัก (Hidden Love)


หญิงสาวร่างโปร่งก้าวย่างอย่างรีบเร่งพลางกร่นด่าผู้จัดการส่วนตัวไปตลอดเส้นทางที่จะเดินไปยังประตูผู้โดยสารขาออก



“ฉัน บอกฉันรีบไง ทำไมถึงเพิ่งจะได้กันเนี่ยตั๋วนะ คุณทำงานแย่มากเลยนะ!” ดาราสาวฮันฮโยจูหันมาตะหวาดผู้จัดการของเธอ เพราะหลังจากได้คุยโทรศัพท์กับเพื่อนรักมุนแชวอนที่ตอนนี้ไปพักร้อนที่ ประเทศไทย เธอเลยทราบเรื่องทั้งหมดจึงยกเลิกตารางงานของตนและบอกให้ผู้จัดการหาตั๋ว เครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดให้ หากแต่เพราะเขาก็ไม่สามารถหามาได้รวดเร็วทันใจเธอ หลังจากที่ผู้จัดการโหลดกระเป๋ามากมายที่เธอขนไปด้วยเสร็จเขาก็กลับไป ร่างโปร่งจึงตรงขึ้นเครื่องไปด้วยความขุ่นเคืองที่มีผู้จัดการไม่ได้อย่างใจ เธอยังคงบ่นพึมพำมาตลอดทางแม้กระทั่งระหว่างที่ยกกระเป๋าซึ่งนำติดตัวขึ้นมา บนชั้นโดยสารขึ้นไปเก็บในที่เก็บกระเป๋าด้านบนของที่นั่ง



“โอ้ย! ทำไมมันปิดไม่ได้ละเนี่ย!” เธอโวยวายเมื่อไม่สามารถปิดฝาที่เก็บกระเป๋าลงได้เพราะกระเป๋าของเธอนั้นมี ขนาดใหญ่เกินไป เธอจึงดันทุรังจนมันหล่นลงมาใส่ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นพอดี



“โอ๊ะ! ตายแล้วกระเป๋าฉัน!” เธออุทานด้วยความตกใจที่กระเป๋าตกโดยไม่สนใจเลยว่าคนที่โดนกระเป๋าตกใส่จะเป็นอย่างไร



“นี่ คุณ! ทำบ้า.......” ชายหนุ่มโมโหต่อท่าทีที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเธอจึงจะตำหนิ แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นฮันฮโยจูเขาก็ถึงกับตกตะลึง



“พี่ จินโฮ!” ร่างโปร่งเองก็ตกใจไม่น้อยที่มาพบกับเขาอย่างไม่คาดฝันในสถานที่แบบนี้ ทั้งคู่ต่างนิ่งมองกันครู่ใหญ่ ก่อนที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องจะเดินมาบอกให้เธอเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย เพราะเครื่องกำลังจะออกแล้ว จินโฮจึงหยิบกระเป๋าของเธอและช่วยยัดมันใส่ที่เก็บกระเป๋าจนได้โดยที่ต่าง ฝ่ายต่างไม่พูดไม่จากัน



“คุณค่ะ ไม่ทราบที่นั่งของคุณตรงไหนหรือค่ะ?” พนักงานต้อนรับเดินมาถามร่างโปร่งเมื่อยังเห็นเธอยืนอยู่ ร่างโปร่งจึงยื่นตั๋วเครื่องบินให้ปรากฏว่าที่นั่งของเธอคือที่นั่งริม หน้าต่างข้างๆจินโฮนั่นเอง ในเมื่อไม่มีทางเลือกร่างโปร่งจึงต้องกลั้นใจเดินผ่านเขาไปเพื่อเข้าไปนั่ง ในที่นั่งของตน ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรเพียงแต่นั่งเงียบๆเพื่อรับรู้ปฏิกิริยาของอีกฝ่าย จนพนักงานต้อนรับสาธิตวิธีรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนที่เครื่องจะขึ้น หากแต่ร่างโปร่งไม่สามารถรัดของเธอได้



“อะไรเนี่ย ทำไมไม่ได้ละ โธ่!” เธอพึมพำกับตัวเองพลางก้มหน้าก้มตารัดเข็มขัด ก่อนที่มือหนาของคนข้างๆจะยื่นมาที่เธอพร้อมกับเลื่อนกายเข้ามาใกล้ๆ เธอหดตัวลีบด้วยความตกใจมองเขาที่กำลังรัดเข็มขัดให้เธอด้วยหัวใจที่เต้น ระรัว เมื่อทำเสร็จจินโฮได้สบตากับร่างโปร่งก่อนที่จะกลับมาอยู่ในท่านั่งดังเดิม ทำให้หัวใจของเธอนั้นเต้นไม่เป็นส่ำ เขาไม่เปลี่ยนไปเลยยังคงเป็นสุภาพบุรุษเหมือนเดิม เป็นพี่ชายที่แสนดีของเธอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยังคงมีอิทธิพลในหัวใจเธออย่างมากมาย ตลอดการเดินทางทั้งคู่ได้แต่แอบมองกันไปมาโดยที่ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ด้วยความอ่อนล้าจากการทำงานร่างโปร่งจึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ศีรษะของเธอค่อยๆไหลไปทางที่นั่งของจินโฮช้าๆจนเกือบจะตกขอบพะนัก แต่จินโฮเห็นเสียก่อนเขาจึงใช้ไหล่ของตนรองรับศีรษะของเธอ ร่างโปร่งหลับสบายโดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ร่างสูงนั้นนั่งมองเธอด้วยสายตา เอ็นดูเธอเพียงใด เขาปัดไรผมที่ลงมาปิดหน้าเธอเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกรำราญ



“กาแฟ หรือ.....?” พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเดินมาถามว่าจะรับเครื่องดื่มอะไร หากแต่โดนจินโฮจุ๊ปากห้ามไว้ก่อนด้วยกลัวว่าจะทำให้ร่างโปร่งตื่น พนักงานหญิงคนดังกล่าวจึงจากไปโดยดีและมองทั้งคู่ด้วยความอิจฉา เมื่อเครื่องใกล้จะถึงจุดหมายร่างโปร่งก็รู้สึกตัวขึ้น เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรเปียกๆอยู่บนใบหน้าจึงเช็ดออกอย่างลวกๆในขณะที่งัว เงียและหันไปมองที่ข้างๆ ก็พบว่าไหล่ของคนข้างๆเปียกปอนไปด้วยของเหลวที่ไหลออกจากปากของเธอ ร่างโปร่งอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ก่อนที่จินโฮจะควักผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมา หากแต่ไม่ใช่เพื่อเช็ดให้กับตนเองแต่เขากลับยื่นมันให้เธอ



“เช็ดปาก เสียสิ คราบน้ำลายเปื้อนไปหมด” เขากล่าว หากแต่ร่างโปร่งยังอยู่ในอาการช็อค เขาจึงโน้มตัวไปเช็ดให้เธอเอง เธอจึงรีบดึงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเอง



“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกก่อนจะเช็ดปากของตนด้วยอาการเขินอาย จินโฮรู้สึกชอบใจต่ออาการนั้น เขาเลยคิดที่จะแกล้ง



“ไม่ ใช่ตรงนั้น ตรงนี้ต่างหาก” เขาไม่พูดเปล่ายังจับมือของเธอเช็ดไปที่รอยดังกล่าว ร่างโปร่งถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่ก นั่นยิ่งทำให้เขาอยากเหย้าเธอมากขึ้น เขาจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้เธอเสียจนเกือบหายใจรดกัน เธอรีบถอยกรูดไปติดหน้าต่างจนศีรษะชนเข้ากับกระจก



“โอ้ย!” ร่างโปร่งครวญ จินโฮเห็นดังนั้นก็รีบโน้มตัวเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้ร่างโปร่งจึงไร้ทางหนี หัวใจของเธอมันเต้นแรงเสียจนกลบความเจ็บที่ศีรษะไปหมด



“เป็นยังไง บ้าง?” เขาถามเสียงนุ่มและลูบไปที่ศีรษะด้านหลังที่ชนกับกระจก ใบหน้าของเขาใกล้มากจนเธอสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจเขา แต่ก่อนที่เธอจะเสียการควบคุมร่างโปร่งรวบรวมแรงผลักเขาออกไปและลุกพรวดขึ้น ตรงไปยังห้องน้ำทันที เธอเข้ามาสงบจิตสงบใจในห้องน้ำและสลัดความไหวหวั่นที่มีต่อเขา



“เข้ม แข็งไว้สิฮโยจู เธอคือฮันฮโยจูนะ เข้าใจไหม” เธอพูดกับตัวเองในกระจกพลางกวักน้ำใส่หน้าตนเป็นการเรียกสติ เมื่อเครื่องมาจอดยังสนามบินสุวรรณภูมิเธอก็เดินลงมารอรับกระเป๋าของตน โดยมีจินโฮเดินตามมาติดๆ จนเธอคิดว่าเขาจงใจตามเธอมา



“นี่พี่ตามฉันมาหรอ?” เธอทนไม่ไหวจึงหันไปถามเขา



“เปล่า” เขาตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองและเดินจากไป ฮโยจูได้แต่มองตามด้วยความงุนงงและผิดหวังเล็กๆ ก่อนที่พาเหรดกระเป๋าของเธอจะมาครบ ร่างโปร่งเข็นรถที่บรรทุกกระเป๋ามากมายของเธอไปอย่างทุลักทุเล



“โอ้ ย ทำไมมันหนักอย่างนี้เนี่ย! ฉันขนบ้าอะไรมานักหนา?” เธอกร่นด่าตนเองอย่างคนไร้สติ แล้วจึงนั่งลงหมดแรง ทันใดร่างสูงก็เข้ามาเข็นรถของเธอ



“นั่นพี่จะทำอะไรน่ะ?” ร่างโปร่งถาม



“เธอ ควรจะใส่แว่นดำนะ เพราะถึงนี่จะเป็นต่างประเทศ แต่ที่นี่เธอก็เป็นที่รู้จักไม่ใช่น้อย” จินโฮเบี่ยงประเด็น ร่างโปร่งได้ยินดังนั้นจึงรีบควักแว่นดำออกมาใส่ทันที เขาจึงเข็นรถนำเธอไป ร่างโปร่งได้แต่เดินตามอย่างจำยอมด้วยเพราะกำลังของเธอคงไม่สามารถเข็นภูเขา กระเป๋าไปได้



“พี่เช่ารถไว้ เธออยากจะให้พี่ไปส่งไหม?” เขาถาม



“ไม่ ต้อง” ร่างโปร่งตอบหน้ามุ่ย จินโฮจึงพยักหน้ารับทราบโดยดีก่อนจะเข็นไปส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่ แม้รถจะแล่นออกไปร่างโปร่งก็ยังหันมามองร่างสูงที่ยังคงยืนรอให้รถแท็กซี่ ของเธอขับหายไปลับตา



“เขามาทำอะไรที่นี่นะ?” ร่างโปร่งพึมพำกับตนเอง





เวลาเกือบเย็นย่ำรถแท็กซี่เขียวเหลืองคันหนึ่งก็ค่อยๆแล่นเข้ามาจอดที่หน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงแว๊ดๆของร่างโปร่ง



“โอ้ ยจะบ้าตาย นี่ฉันนั่งรถแท็กซี่นานกว่านั่งเครื่องมาเสียอีก ขับบ้าอะไรหลงไปหลงมา! รีสอร์ทบ้านี่ก็หายากจริงๆ” เธอบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เรียกความสนใจของคนทั้งรีสอร์ท ลีฮอนคยองจึงเดินออกไปดูว่าใครมาส่งเสียงเอะอะแถวนี้ เมื่อฮโยจูเห็นคนเดินออกมาจึงคิดว่าเป็นพนักงาน



“เอ้ายืนบื้ออยู่ ทำไมล่ะ ยกกระเป๋าไปซิย่ะ ไม่ได้เปิดให้พักหรอที่นี่เนี่ย?” ฮโยจูประชดประชัน ลีฮอนคยองถึงกับเหวอให้กับกิริยาของร่างโปร่ง อัญชันจึงเดินมาสมทบ



“คุณฮันฮโยจู!?” ร่างเล็กอุทานอย่างตกใจที่เห็นคนที่ไม่คาดคิด



“ย่ะ ยัยเตี้ย! เร็วเข้าซิ รีบมาขนกระเป๋าฉันไปไว้ที่ห้องของแชวอน” ร่างโปร่งสั่งราวกับนางพระยา แต่ก็ต้องฟอร์มหลุดเมื่อร่างสูงปรากฏตัว



“นี่ๆๆ พี่มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?!” ร่างโปร่งถามลิ้นรัว



“ก็ขับรถมานะซิ พี่บอกแล้วว่าจะมาส่ง แต่เธอก็ไม่ฟัง” จินโฮตอบ



“นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ โอ้ยฉันจะบ้า!!” ร่างโปร่งโวยวายสติหลุด



“ฮโย จูๆ ใจเย็นๆ มีอะไรโวยวายยกใหญ่เลย แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง?” แชวอนที่ได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินออกมาดู ก็พบว่าเป็นเพื่อนรักของตนนั่นเอง



“โอ้ แชวอน เธอเป็นยังไงบ้าง ฉันเป็นห่วงเธอมากรู้ไหม?” ทันทีที่เห็นเพื่อนร่างโปร่งก็ตรงเข้าไปกอดรับขวัญเพื่อนอย่างห่วงใย ในขณะที่แชวอนนั้นหันไปสบตากับอัญชัน หากแต่ร่างเล็กกลับหันหนี



“ฉันไม่เป็นไร นี่เธอมาเพราะคิดว่าฉันเป็นอะไรยังงั้นหรอ?” ร่างบางตอบ



“ก็ ใช่นะซิ ก็ตอนคุยโทรศัพท์กับฉันเธอยังร้องไห้.....” ฮโยจูพูดยังไม่ทันจบก็โดนมือบางของแชวอนปิดปากห้ามไว้ไม่ให้เพื่อนตัวดี ประจานความอ่อนแอของเธอ



“ฉันว่าเราเข้าห้องกันเถอะ เธอมาเหนื่อยๆคงอยากพักซินะ ไปกันเถอะ” แชวอนจึงลากร่างโปร่งไปทันที โดยมีทั้งสามมองตามอย่างงุนงง



“คุณรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือค่ะ?” อัญชันหันไปถามกับจินโฮ



“.......ก็ แค่ ก่อนเครื่องขึ้นนะครับ” จินโฮตอบเล่นลิ้นด้วยไม่อยากให้ร่างเล็กโกรธที่เขาไม่ยอมบอกเรื่องที่ฮโยจู เดินทางมาด้วย อัญชันมองเขาอย่างตำหนิ



“แต่ผมสาบานได้ว่าไม่ได้เป็น คนบอกให้พวกเธอมาที่นี่” จินโฮยกมือขึ้นสาบาน อัญชันมองเขาอย่างอ่อนใจและรู้สึกว่าตนคิดผิดที่ตัดสินใจติดต่อเขาอีกครั้ง โดยเมื่อไม่นานมานี้อัญชันได้ส่งอีเมลติดต่อกับจินโฮอีกครั้งหลังจากที่ขาด การติดต่อไปนาน ทั้งคู่จึงได้แลกเปลี่ยนข่าวสารความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่าย และเพราะอีเมลล่าสุดที่อัญชันส่งมาทำให้จินโฮรู้สึกว่าเธอกำลังแย่เขาเลยมา หาโดยที่ไม่ได้นัดหมาย



เมื่อสองสาวเพื่อนรักเข้ามาในห้องของแชวอน ฮโยจูก็ไม่รอช้ารีบซักไซ้เพื่อนสาวทันที



“นี่ มันอะไรกัน เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ เธอเล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ร่างโปร่งซัก แชวอนได้แต่ทำหน้าอ่อนใจก่อนจะเล่าเรื่องโชคชะตาที่เล่นตลกทำให้เธอมาพบกับ อัญชันอีกครั้ง และต้องมาทนเห็นภาพบาดตาบาดใจ



“นังหน้าจืดเด็กยก กระเป๋านั่นนะหรอ? ให้ตายเถอะ ยัยเตี้ยนั่นกล้าทิ้งเพื่อนฉันมาเอาผู้หญิงอย่างนั้นเนี่ยนะ!” ฮโยจูกล่าวอย่างเคืองขุ่น



“เขาไม่ใช่คนยกกระเป๋าหรอก แต่ถึงจะเป็นมันก็ไม่เกี่ยว เพราะจะเด็กยกกระเป๋าหรือดาราดัง สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง” แชวอนกล่าวด้วยความปลง



“ไม่ ได้! อย่าแม้แต่จะคิด ฉันไม่ยอมให้เพื่อนของฉันแพ้ผู้หญิงอย่างนั้น แถมเธอบอกว่าแม่นั่นมีลูกติดด้วยนี่ เธอจะยอมแพ้ผู้หญิงโลคลาสที่มีลูกติดมาด้วยอย่างงั้นหรอ?” ร่างโปร่งบอกอย่างฮึกเหิม หากแต่ร่างบางกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ทำให้คนพูดรู้สึกหงุดหงิด



“มานี่ๆ ลุกขึ้นเลยลุกขึ้น อย่างแรก เธอจะมาเหงาหงอยเศร้าสร้อยแบบนี้ไม่ได้ แล้วอีกอย่างพวกเราที่เป็นถึงระดับซุปตาร์ของเกาหลี แม้จะไม่ได้อยู่หน้ากล้องแต่ก็ต้องเจิดจรัสที่สุดเข้าใจไหม มาแต่งตัวกันดีกว่า” ว่าแล้วร่างโปร่งก็จับเพื่อนสาวที่ร้องไห้จนหน้าโทรม เนรมิตให้เป็นดาราสาวมุนแชวอนผู้งดงามคนเดิม



เมื่อถึงช่วงหัวค่ำวัน เพ็ญจัดโต๊ะอาหารต้อนรับเพื่อนๆของอัญชัน ที่ต่างมากันอย่างไม่ได้นัดหมายด้วยอาหารไทยลานตาตรงระเบียงบ้านสวน จินโฮ อัญชันและลีฮอนคยองต่างช่วยเป็นลูกมือวันเพ็ญกันอย่างขะมักเขม่น จนในที่สุดสองสาวเพื่อนซี้ก็ปรากฏตัวขึ้น แชวอนอยูในชุดเดรสซีฟองยาวชมพูหวานสายเดี่ยว ส่วนฮโยจูนั้นเป็นเดรสสั้นซีฟองคล้องคอสีแอฟปริคอตสดใส ทำเอาอัญชันและจินโฮถึงกับมองทั้งสองด้วยความตกตะลึง



“หนูจันทร์มา แล้วหรอ คนนี้ใช่ไหมเพื่อนหนูนะ โอ้ทำไมตัวสูงจังเลย แต่สวยน่ารักทั้งคู่” วันเพ็ญรีบเดินเข้าไปทักทายแชวอนทันที ฮโยจูจึงรีบยกมือไหว้วันเพ็ญตามที่เพื่อนสาวสอน



“มาๆ นั่งลงๆ แม่ทำอาหารไว้เยอะเลย ดูซิมีต้มยำกุ้งที่หนูชอบด้วย” วันเพ็ญนำเสนออาหารที่ตั้งใจทำเป็นพิเศษเพื่อแชวอน ร่างโปร่งพอได้ยินว่าต้มยำกุ้งก็มองอย่างสนใจ



“ข็อบ คุง ค่า(ขอบคุณค่ะ)” แชวอนกล่าวก่อนจะนั่งลงพร้อมเพื่อนสาว วันเพ็ญจึงนั่งข้างๆแชวอน โดยมีลีฮอนคยองนั่งตรงข้าม และอัญชันนั่งข้างๆเธอซึ่งตรงข้ามกับที่นั่งของแชวอน



“เอ้ากินกัน ตามสบายเลยนะ” วันเพ็ญบอกพร้อมทำท่าประกอบเพื่อให้แขกต่างด้าวเข้าใจ แชวอนนั้นส่งสายตาไปยังคนตรงข้ามหากแต่อีกฝ่ายกลับหลบสายตาของเธอ ตรงกันข้ามกับฮโยจูที่ต้องคอยหลบสายตากรุ้มกริ่มของจินโฮเพราะมันทำให้เธอ ไม่มีสมาธิในการทำแผน “ทวงคืนยัยเตี้ย” ที่เธอเป็นคนวาง



“ชันตักต้ม ยำให้หนูจันทร์ซิลูก เอากุ้งตัวโตๆนะเหมือนคราวก่อนไง” วันเพ็ญพูดขึ้นจึงทำให้อัญชันทำหน้าตาตื่น ฮโยจูและแชวอนที่ฟังไม่รู้เรื่องได้แต่มองปฏิกิริยาของร่างเล็กด้วยความ สงสัย ก่อนที่อัญชันจะตักกุ้งจากชามต้มยำให้แก่แชวอน ร่างบางถึงกับแปลกใจก่อนจะอมยิ้มดีใจ



“พี่ชันค่ะ ช่วยตักกุ้งให้ฉันด้วยซิค่ะ เอาตัวใหญ่ๆเลยนะค่ะ” ลีฮอนคยองจงใจกล่าวขึ้นด้วยภาษาเกาหลีเพื่อให้แชวอนและฮโยจูรับรู้พร้อมทั้ง มองด้วยสายตาท้าทาย อัญชันจึงทำตามอย่างว่าง่าย ลีฮอนคยองจึงยิ้มอย่างผู้มีชัย



“ขอบคุณนะค่ะพี่ชัน เดี๋ยวนี้พี่ฟังและพูดเกาหลีได้คล่องป๋อเลยนะค่ะ” ลีฮอนคยองกล่าวโอ้อวด



“เพราะ ยองชิสอนพี่นั่นล่ะ” ร่างเล็กจึงตอบด้วยความไม่ล่วงรู้ถึงสงคราวประสาทของสามสาว ลีฮอนคยองจึงยิ่งเชิดหน้าเชิดตาข่มสองสาวฝั่งตรงข้ามยกใหญ่ สร้างความขุ่นเคืองให้ทั้งสองไม่น้อย



“โอ้นี่เธอพูดเกาหลีได้แล้วหรอ ดีจังจะได้พูดอะไรเข้าใจกันง่ายๆหน่อย แต่เอ๊ะ...ถึงฟังไม่ออกเธอก็เข้าใจอยู่แล้วนี่ เพราะเมื่อก่อนถึงเพื่อนฉันไม่พูดอะไร เธอยังเข้าใจเลย” ฮโยจูสวนหมัดกลับด้วยการรื้อฟื้นอดีตก่อนจะส่งยิ้มท้าทายคู่ต่อสู้ ร่างเล็กที่เป็นคนกลางถึงกับทำหน้าไม่ถูก



“อย่างนั้นหรือค่ะ แหมมิน่าล่ะ เพราะพี่เก่งเรื่องเข้าใจคนนั่นเอง ขนาดฉันไม่พูดอะไรพี่ก็ทำให้ฉันทุกอย่างเลย แม้กระทั่งเรื่องที่ฉันบอกแท้ๆว่าไม่ต้องทำพี่ก็ทำให้ แบบนี้เรียกว่าเข้าใจหรือว่าใส่ใจดีละค่ะ” ลีฮอนคยองไม่น้อยหน้าออกหมัดตอบโต้ให้ร่างโปร่งหน้าหงายลมออกหู



“โอ๊ะ นั่นผัดกุ้งหรอ เพื่อนฉันชอบกินกุ้งนะรู้ไหม ตักอันนั้นให้เพื่อนฉันด้วยซิ” ฮโยจูจึงเปลี่ยนแนวการต่อสู้เป็นการออกคำสั่งให้ร่างเล็กทำตามเหมือนที่เคย ทำเสมอมา อัญชันได้ยินดังนั้นจึงจะทำตามที่ร่างโปร่งบอก หากแต่ไม่ทันที่จะตักลีฮฮนคยองก็ดึงมือของร่างเล็กไปเสียก่อน



“พี่ ค่ะ ฉันอยากทานอันนั้นน่ะค่ะ ตักให้ฉันหน่อยซิค่ะ” ลีฮอนคยองกล่าวพร้อมเบียดร่างกระแซะอัญชันเป็นการอ้อนฮโยจูถึงกับมองตา เหลือก สองสาวส่งสายตาฟาดฟันกันไม่นานร่างโปร่งก็ลุกขึ้นด้วยความเหลืออด



“ฉันอิ่มแล้วขอตัวก่อนนะค่ะ” กล่าวจบแชวอนก็เดินออกจากโต๊ะไปทันที



“อ้าว หนูจันทร์ ยังไม่ได้กินเลยนี่” วันเพ็ญท้วงแต่ร่างบางก็เดินลงเรือนไปเสียก่อน ทำให้ฮโยจูต้องวิ่งตามไปอีกคน ทั้งโต๊ะจึงลุกขึ้นมาตามสองสาวไปอย่างงุนงง



“นี่ แชวอนเธอเดินหนีมาแบบนี้ไม่ได้นะ ทำแบบนี้นังนั่นก็ได้ใจกันพอดี” ฮโยจูกล่าวหัวเหวี่ยงทันทีที่เข้ามาในห้อง แต่ทันใดร่างบางก็น้ำตาไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้าง ร่างโปร่งเห็นดังนั้นจึงเข้าไปกอดปลอบเพื่อนสาวของตน



“โอ๋ๆ อย่าร้องเลย มันยังไม่จบเสียหน่อย ศึกนี้เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น ถ้าเธอรักยัยเตี้ยมากขนาดนี้ก็ต้องเข้มแข็งแล้วเอายัยนั่นกลับมาให้ได้ เข้าใจไหม” ร่างโปร่งพูดเตือนสติเพื่อน





เช้าวันใหม่กับหัวใจของ ทั้งสี่ที่คงยังว้าวุ่นด้วยเรื่องทุกอย่างยังคาราคาซังอยู่ ร่างโปร่งผู้ไม่เคยตื่นด้วยตัวเองลุกขึ้นตั้งแต่ไก่โห่ พร้อมปลุกเพื่อนสาวให้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวรับแผนการขั้นต่อไป ก่อนจะตรงไปที่บ้านสวนเพื่อทานอาหารเช้า สองสาวปรากฏตัวในชุดทะมัดทะแมง แชวอนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนทรงเท่ห์กับกางเกงขาสั้นพร้อมหมวกปีกรอบฉลุ คาดโบว์ ฮโยจูนั้นเปรี้ยวสดใสด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีฟ้าแขนกุด กับกางเกงยีนขาสั้นจุ๊ดจู๋พร้อมแว่นตาดำทรงตี๋ใหญ่สุดเท่ห์ หยุดสายตาของอัญชันและจินโฮได้เหมือนเคย ทั้งสี่นั่งลงยังโต๊ะอาหารก่อนที่ลีฮอนคยองจะยกข้าวต้มมาให้ทุกคนบนโต๊ะ



“ต๊าย เหมาะมาก!” ฮโยจูกล่าวขึ้นและมองลีฮอนคยองอย่างเหยียดหยามว่าเหมาะสมกับหน้าที่คนรับใช้ ลีฮอนคยองจึงกระแทกชามลงโต๊ะจนมันเกือบจะหกใส่ฮโยจู



“ว้ายตายแล้ว! ยัยนี่นิ!” ฮโยจูอุทานพร้อมจ้องเขม็งไปที่ลีฮอนคยอง หากแต่อีกฝ่ายไม่เกรงกลัวกลับมองจ้องตอบอย่างท้าทาย แชวอนจึงต้องห้ามเพื่อนไว้เพราะกลัวเรื่องราวจะเลยเถิด



“จริงสิ ฉันเพิ่งมาเที่ยวเมืองไทยกับแชวอนเป็นครั้งแรก เธอพาพวกฉันเที่ยวหน่อยได้ไหม?” ร่างโปร่งเปิดหัวข้อสนทนาขึ้น ทำเอาอัญชันทำหน้าเหวอด้วยไม่แน่ใจว่าร่างโปร่งพูดกับตนไหม



“..... เอ่อ....ก็ได้ค่ะ แต่ว่าฉันคงพาไปไกลๆไม่ได้หรอนะค่ะ เพราะต้องดูแลรีสอร์ทด้วย ถ้าเป็นที่ใกล้ๆนี้ก็คงได้ค่ะ” อัญชันตอบอย่างลำบากใจ



“ก็ดีนะค่ะพี่ชัน ตอนนี้กำลังลงกล้าพอดี เราไปดูคนงานลงกล้ากันดีไหมค่ะ?” ลีฮอนคยองพูดแทรกขึ้น และคล้องแขนอัญชันอย่างออดอ้อน



“นี่!.... เธอน่ะเป็นแม่ลูกอ่อนไม่ใช่หรือไง? ไม่ต้องให้นมลูกหรอ รู้ไหมเด็กๆที่ไม่ได้กินนมแม่น่ะ มันจะโง่!” ร่างโปร่งด่าลีฮอนคยองทางอ้อมได้แสบทรวง



“นั่นสิ ยองชิอยู่ดูลูกเถอะนะ พี่ไปไม่ไกลหรอกมีอะไรก็โทรหาพี่นะ พี่จะรีบมาทันที” อัญชันกล่าวสมทบหากแต่เห็นต่างอย่างกลายๆ ร่างบางที่ได้ยินก็ถึงกับมองทั้งสองอย่างเศร้าๆ



พอตกช่วงสาย อัญชัน แชวอน ฮโยจูและจินโฮก็เดินเท้าจากบ้านสวนมุ่งตรงไปยังพื้นนาของครอบครัวอัญชัน



“นี่ ทำไมทางเข้าบ้านเธอมันถึงได้ไกลแบบนี้ ไม่มีปัญญาซื้อที่ซินะเลยต้องไปอยู่ลึกสุดน่ะ” ฮโยจูกล่าวขึ้นด้วยหงุดหงิดที่เดินมานานแล้วแต่ยังไม่เห็นถนนเส้นหลัก



“...... มันเป็นความคิดของพ่อฉันนะค่ะ ท่านอยากที่จะเห็นบ้านสวนให้ถ้วนทั่วทุกครั้งที่เข้าออกบ้าน เลยทำทางให้มันยาวคดเคี้ยวรอบสวนแบบนี้” อัญชันตอบ ทำให้ร่างโปร่งถึงกับอ้าปากค้างด้วยไม่คาดคิดว่าเนื้อที่ของบ้านสวนนั้นจะ ครอบคลุมมาถึงนี่



“นี่เธอหมายความว่า ตั้งแต่บ้านเธอจนมาถึงที่นี่เนี่ย....ยังเป็นเขตของบ้านเธอหรอ?” ฮโยจูถาม อัญชันจึงพยักหน้าตอบ



“โอ้ แม่เจ้า! นี่มันกี่ไร่กันเนี่ย?” ร่างโปร่งบ่นพึมพำกับตนเอง ในขณะที่แชวอนซึ่งเดินอยู่ข้างๆร่างเล็กได้แต่จ้องมองคนข้างๆอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีสายตาของอีกคนมองกลับมา ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่ถึงก้าวแต่เธอกลับรู้สึกว่าเดินเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงใจ ของอีกคนเสียที



“โอ้ย!!! ฉันเดินไม่ไหวแล้ว! ร้อนก็ร้อน” ร่างโปร่งร้องขึ้นและนั่งลงกอดเข่าตัวเองทันที ร่างบางและอัญชันจึงหันกลับมามอง ก่อนที่ร่างสูงจะกางล่มให้กับฮโยจู



“ถ้า เดินไม่ไหว จะขี่หลังพี่ไปไหมล่ะ?” จินโฮบอกหน้าทะเล้นก่อนจะนั่งคุกเข่าหันหลังให้ร่างโปร่งเป็นท่าเตรียมพร้อม ให้อีกคนขึ้นขี่หลัง ฮโยจูมองจินโฮด้วยอาการคาดไม่ถึงก่อนจะเห็นสายตาของแชวอนและอัญชันที่ทั้ง สองมองอย่างยินดี ร่างโปร่งจึงเกิดอาการอายหน้าแดงเลยผลักหลังจินโฮจนร่างสูงเกือบล้มคว่ำ ก่อนจะลุกขึ้นเดินจ้ำๆแบบไม่รอใคร ให้ทั้งสามมองตามและขบขันกับอาการเขินอายของเธออย่างน่าเอ็นดู เมื่อเดินพ้นเขตบ้านจนออกมายังถนนเส้นหลักซึ่งขนาบข้างไปด้วยเทือกสวนไร่นา ไม่นานนักทั้งสี่ก็เดินมาถึงที่นาของครอบครัวอัญชันซึ่งคนงานกำลังลงกล้ากัน อย่างขะมักเขม้น สองสาวเพื่อนซี้มองท้องนาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอย่างตื่นตาตื่นใจ



“ทั้งหมดนี่เป็นของคุณอัญชันหมดเลยหรือครับ?” จินโฮถามอย่างประหลาดใจ



“...เอ่อ ไม่ใช่ของฉันหรอกค่ะ จริงๆมันเป็นของคุณตา แล้วคุณพ่อก็มาซื้อที่เพิ่มอีกทีที่หลังนะค่ะ มันก็เลยเยอะแบบนี้.....” อัญชันบอกอย่างเจี๋ยมเจียมแต่ทำให้ทั้งสามถึงกับตกตะลึง



“นี่ๆๆ ยัยเตี้ยนี่มันรวยหรอ?” ฮโยจูเขย่าแขนเพื่อนถาม หากแต่ร่างบางเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นักจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างไม่มั่นใจ



“เอา ล่ะ เริ่มกันเลยไหมค่ะ?” ร่างเล็กถามหากแต่ไม่ฟังคำตอบ กลับเดินนำทุกคนลงไปยังแปลงนาและช่วยคนงานลงกล้าทันที จินโฮจึงตามไปติดๆ เห็นดังนั้นสองสาวจึงต้องรีบตามลงไป และสาละวนล้มคว่ำไปตามๆกัน ร่างโปร่งนั้นร้องวี๊ดว้ายตั้งแต่เท้าแรกที่เหยียบลงโคลน



“กรี๊ด! ทำไมมันเป็นแบบนี้ อ้าย!” ฮโยจูร้องลั่นเมื่อขาขาวๆจมหายลงไปในโคลนและไม่สามารถขยับไปไหนได้ เธอพยายามดิ้นไปดิ้นมาจนโคลนกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้าเธอไปหมด จินโฮมองร่างโปร่งด้วยความขบขันก่อนจะเดินเข้าไปหา



“ให้ช่วยไหม?” เขาถามพร้อมยื่นมือออกไปให้เธอจับ หากแต่ร่างโปร่งสะบัดหน้าหนีแต่เพราะเธอสะบัดแรงไปเลยทำท่าจะล้มหน้าคะมำ ดีที่ร่างสูงเข้าไปหิ้วปีกของเธอไว้ได้ทัน แผ่นหลังบอบบางจึงแนบกับอกกว้างทำให้หัวใจของร่างโปร่งเต้นไม่เป็นส่ำ



“ไม่เป็นไรน่ะ?” จินโฮกระซิบข้างหูถามอย่างแผ่วเบา ด้วยความตกใจร่างโปร่งจึงผละออกจากร่างสูงเป็นเหตุให้เธอเสียหลักล้มคว่ำไม่เป็นท่า



“ว้าย!..... ม่ายยยยยย!!!!” ฮโยจูร้องลั่นทุกคนจึงหันมามองเธอเป็นตาเดียวและหัวเราะชอบใจกับสภาพมอมแมม นอนจมโคลนของเธอ ร่างบางเห็นดังนั้นจึงจะเดินเข้าไปช่วยเพื่อน ด้วยความรีบร้อนเธอจึงเสียหลักไปอีกคน แต่ก่อนที่จะล้มลงอัญชันก็คว้าเอวของเธอเอาไว้ได้ ทั้งสองอยู่ในท่าแนบนิดกันเหมือนเมื่อครั้งที่แชวอนสะดุดขาตัวเองหน้าคอนโด จนข้อเท้าพลิก ภาพในอดีตเด่นชัดในความทรงจำของทั้งสอง ทั้งคู่สบตากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ร่างเล็กจะผละออกเมื่อได้ยินเสียงคนงาน ร้องถามฮโยจูว่าเป็นอย่างไร



“ไปล้างตัวกันก่อนดีกว่านะค่ะ ทางโน้นมีบ่อน้ำค่ะ” อัญชันกล่าวพลางชี้ไปทิศทางที่ว่าทั้งสามจึงเดินตามร่างเล็กไป ราวๆห้าร้อยเมตรก็ถึงบ่อน้ำที่ว่า มันเป็นบ่อขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้ใหญ่น้อยล้อมรอบและมีเพิงหลังเล็กๆตั้งอยู่ หัวและท้ายบ่อ



“อะไรเนี่ย! เธอจะให้ฉันล้างตัวที่นี่หรอ!?” ฮโยจูมองสภาพบ่อที่ดูเหมือนจะมีอสูรกายโผล่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อจึงทำหน้าขยาด จินโฮได้ยินดังนั้นเลยเดินนำลงไปและหันมาหาร่างโปร่ง



“มาซิ เดี๋ยวพี่พาลงไป” ร่างสูงบอกพร้อมยื่นมือมาให้เธอ หากแต่เธอไม่สนกลับเดินลงไปอย่างไม่เกรงกลัว แต่เพราะทางลงนั้นชันมากเธอจึงลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า ร่างโปร่งร้องโอดโอยก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปประคองเธอขึ้นมาและปัดดินโคลนที่ เปื้อนตัวเธอออก



“ฮึๆๆ เป็นอะไรมากไหม?” จินโฮถามพลางหัวเราะขบขัน ทำให้อัญชันและแชวอนที่ยืนดูอยู่ข้างบนหัวเราะตามไปด้วยก่อนจะหันมาสบตากัน ทั้งสองจึงหยุดหัวเราะโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นจินโฮก็จูงร่างโปร่งไปริมน้ำพร้อมกับกวักน้ำขึ้นมาล้างแขนขาให้กับ เธอ แต่ร่างโปร่งสะบัดตัวหนีและกวักน้ำขึ้นมาล้างตัวด้วยตัวเอง ทันใดนั้นมือของเธอก็ไปสัมผัสเข้ากับบางสิ่ง ด้วยความตกใจเธอจึงร้องลั่น



“กรี๊ด!!!!” ร่างโปร่งร้องสุดเสียงพร้อมลุกขึ้นวิ่งหนีเป็นขณะที่จินโฮวิ่งเข้าไปหาเธอพอ ดี ทั้งสองจึงชนกันจนเสียหลักตกลงไปในน้ำทั้งคู่ และอยู่ดีๆฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาอย่างหนักโดยไม่มีปี่ไม่มีมีขลุ่ย ร่างเล็กจึงฉุดแขนร่างบางวิ่งเข้าไปหลบในเพิงท้ายบ่อทันที ฝนตกแรงมากจนทั้งคู่เนื้อตัวเปียกปอน แม้เข้ามาภายในเพิงแต่ทั้งสองก็ยังคงจับมือกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่อัญชันจะรู้สึกตัวและปล่อยมือจากร่างบางทันที ขณะเดียวกันด้านจินโฮเมื่อตกลงไปในน้ำก็รีบลากร่างโปร่งขึ้นฝั่งและพากัน วิ่งเข้าไปหลบยังเพิงที่ตั้งอยู่หัวบ่อ ทั้งสองต่างอยู่ในสภาพเปียกซก ร่างสูงจึงถอดเสื้อยืดของตนออกเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างและกล้ามท้องเป็นมัดๆ



“พะ...พะ ...พี่ทำอะไรเนี่ย?!!!” ฮโยจูถามเสียงสั่นพร้อมกอดอกตัวเองแน่นเพราะคิดว่าร่างสูงจะทำมิดีมิร้ายตน จินโฮเห็นดังนั้นเลยคิดจะแกล้งจึงเดินเข้าหาร่างโปร่งด้วยสีหน้าจริงจัง ฮโยจูถอยหลังหนีจนตัวไปติดกับเสาเพิง ร่างสูงยื่นหน้ากรุ้มกริ่มเข้าไปใกล้ๆเธอหลับตาปี้ด้วยคิดว่าเขาจะจูบ



“ฮ่ะๆๆๆ” หากแต่เขากลับหัวเราะร่า ก่อนจะนั่งพักอย่างสบายอารมณ์ ร่างโปร่งถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก



“พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย?” ฮโยจูถามเสียงเข้ม



“ทำอะไร? พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เธอโมโหทำไม? หรือเธอโมโหเพราะว่าพี่ไม่ทำอะไร” จินโฮตอบยียวนให้คนถามหน้าแดง



“บะ..บ้าหรอ โมโหอะไร ใครโมโหล่ะ” ร่างโปร่งรีบปฏิเสธ และนั่งลงห่างๆจากร่างสูง เขาชำเลืองมองเธออย่างขบขัน เธอจึงทำหน้ามุ่ย



“พี่ น่ะ เป็นบ้าอะไรของพี่ ตั้งแต่บนเครื่องแล้ว พี่ต้องการอะไรกันแน่ พี่ทำแบบนี้ทำไม?” ด้วยความสงสัยที่สั่งสมมาตลอดช่วงเวลาที่พบกันอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจถามออกไป



“แล้วพี่ทำอะไรล่ะ?” จินโฮยังเล่นลิ้น



“ก็ ทำ....ทำดีกับฉันทำไม?” ร่างโปร่งตอบเสียงอ่อน ร่างสูงได้ยินดังนั้นจึงยิ้มอย่างพอใจ แต่ก่อนที่เขาจะให้คำตอบก็สังเกตได้ว่าร่างโปร่งนั่งกอดเข่าตัวสั่นด้วยความ หนาวเหน็บ



“หนาวหรอ?” เขาถามเสียงนุ่ม จนคนฟังแทบเคลิ้มก่อนจะได้สติ



“พี่อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ!” เธอตะหวาดกลับ



“พี่ ไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง แต่แค่จะเปลี่ยนที่นั่ง” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นไปนั่งข้างๆเธอ จินโฮดึงร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมกอด เธอถึงกับตกใจตัวแข็งทื่อ



“ที่พี่ทำไปไม่ได้ต้องการอะไร แค่อยากทำในสิ่งที่พี่เคยพลาดโอกาสที่จะทำ” เขากอดกระชับเธอแน่นและกระซิบบอกข้างหู ร่างโปร่งได้ยินดังนั้นจึงจ้องมองเขาด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนที่ใบหน้าของร่างสูงจะเลื่อนเข้ามาใกล้ๆ เธอรับรู้ได้ทันทีว่าเขาจะทำอะไรจึงหลับตาพริ้มรอรับสัมผัสที่ส่งผ่านความ รู้สึกของเขามายังเธอ



ทางด้านแชวอนและอัญชันต่างนั่งกันคนละมุมใน เพิงท้ายบ่ออย่างเงียบงัน ก่อนที่อัญชันจะสังเกตเห็นว่าเชิ้ตของร่างบางนั้นเปียกปอนจนมองทะลุไปถึงภาย ใน ร่างเล็กจึงถอดเสื้อเชิ้ตที่ใส่ทับเสื้อยืดของตนออกและเดินไปให้ร่างบาง



“สวม สิค่ะ เสื้อคุณบางเกินไป” ร่างเล็กกล่าวพร้อมยื่นเสื้อให้ร่างบาง แชวอนมองอัญชันอย่างคาดไม่ถึงว่าอีกคนยังห่วงใยเธอ เธอรับมันมาสวมและแอบอมยิ้มด้วยความดีใจแล้วร่างเล็กจึงนั่งลงไม่ไกลจากเธอ นัก ทำให้บรรยากาศของทั้งสองดีขึ้นกว่าเดิมมันเกือบจะเหมือนเมื่อก่อนที่อัญชัน คอยดูแลเอาใจใส่ร่างบางเสมอ ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น



“กรี๊ด!” ร่างบางผวากอดอัญชันด้วยความตกใจ ทั้งสองได้แนบชิดกันอีกครั้งหลังจากพรากจากกันไปนาน เมื่อสายตาผสานความรู้สึกที่ยังคับคลั่งอยู่ในใจสั่งให้ร่างกายทำตามความ ปรารถนา ทั้งสองเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้กันและกันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนของอีกฝ่าย ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของอัญชันจะดังขึ้นดึงร่างเล็กให้กลับมาสู่โลกแห่งความ จริง อัญชันผละออกจากแชวอนและรับสายนั้นทันที



“ว่าไงนะ? เข้าใจแล้วพี่จะกลับไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” อัญชันตอบรับคนในสายซึ่งแชวอนรับรู้ได้ทันทีว่าคือลีฮอนคยอง ร่างเล็กทำท่าจะออกไปเสียเดี๋ยวนั้นร่างบางจึงลุกขึ้นรั้งแขนร่างเล็กไว้



“อย่า ไปนะค่ะ อย่าไปเลยนะค่ะ” แชวอนอ้อนวอน หากแต่ร่างเล็กกลับทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะคลายมือเธอออกและเดินจากไปอย่างไม่ เหลียวหลังกลับ ร่างบางได้แต่มองภาพที่อัญชันจากไปอย่างไร้เยื่อใยด้วยน้ำตานองหน้าก่อนจะ ทรุดลงฟูมฟายสะอึกสะอื้น ขณะเดียวกับที่อัญชันวิ่งฝ่าพายุกลับไปยังบ้านสวนด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไม่แพ้ กันที่ต้องทิ้งคนที่หัวใจยังอาลัยรักไว้



“แทยองเป็นอะไรหรอยองชิ?!” อัญชันวิ่งขึ้นบ้านมาและถามด้วยความร้อนใจเมื่อทราบว่าแทยองหลานรักร้องไห้งอแงไม่หยุด



“แกคงตกใจเสียงฟ้าร้องนะค่ะ แต่ตอนนี้เงียบไปแล้ว” ลีฮอนคยองบอกก่อนจะสังเกตเห็นว่าร่างเล็กนั้นอยู่ในสภาพเปียกปอน



“ตาย จริงนี่พี่วิ่งฝ่าฝนมาเลยหรือค่ะ เข้ามาเปลี่ยนเสื้อก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหวัดจะกินเอา” ลีฮอนคยองบอกด้วยความห่วงใยพลางเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปให้อัญชัน คำพูดของเธอทำให้ร่างเล็กฉุกคิดได้ว่าแชวอนนั้นก็เนื้อตัวเปียกปอนเช่นกัน จึงเป็นห่วงว่าอีกคนจะไม่สบายเลยจะวิ่งกลับไปหา



“อย่าไปค่ะ! พี่คงไม่ใช่คนโง่ที่จะกลับไปหาคนที่ทำร้ายพี่อีกหรอกนะค่ะ” ลีฮอนคยองฉุดแขนของอัญชันและห้ามไว้ด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ ร่างเล็กมองหน้าหญิงสาวและส่งยิ้มเศร้าสร้อยให้ พร้อมลูบใบหน้าเธอด้วยความรักใคร่ ก่อนจะเดินฝ่าฝนกลับไปหาคนที่หัวใจยังคงรักไม่เปลี่ยนแปลง ฝนเริ่มซาลงเมื่ออัญชันใกล้จะถึงเพิงท้ายบ่อ ร่างเล็กเดินเข้าไปข้างในก็พบกับร่างบางนอนหมดสติอยู่



“คุณแชวอน คุณแชวอนเป็นอะไรไปค่ะ?!” ร่างเล็กวิ่งเข้าไปประคองร่างบางขึ้นจึงรับรู้ได้ว่าเธอตัวร้อนมาก อัญชันเอามืออังหน้าผากเธอเพื่อวัดอุณหภูมิให้แน่ใจ ก่อนจะอุ้มร่างบางวิ่งกลับไปยังบ้านสวน พอดีกับที่จินโฮและฮโยจูเดินออกมาจากเพิงหัวบ่อทันเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งสองจึงวิ่งเข้าไปหา



“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” จินโฮถาม



“คุณ แชวอนไม่สบายค่ะ” ร่างเล็กตอบอย่างร้อนใจ จินโฮจึงอาสาอุ้มร่างบางไปส่งบ้านสวน เมื่อมาถึงอัญชันก็ให้จินโฮอุ้มแชวอนเข้าไปยังห้องนอนของตน ทุกคนในบ้านต่างแตกตื่น



“เกิดอะไรขึ้นหรือค่ะ?” ลีฮอนคยองวิ่งมาถามด้วยความแปลกใจ



“ยอง ชิ ช่วยคุณแชวอนด้วย ช่วยเธอด้วยเถอะ!” อัญชันกล่าวพลางเขย่าแขนลีฮอนคยองอย่างอ้อนวอน หญิงสาวทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะทำตามที่ร่างเล็กร้องขอ ลีฮอนคยองนั้นเคยศึกษาในคณะแพทย์ศาสตร์จึงมีความรู้ในการปฐมพยาบาลและรักษา คนไข้ทั่วไป หลังจากเช็ดตัวและให้ยาแชวอนเรียบร้อยเธอก็เดินออกจากห้องมาโดยมีทุกคน คอยอย่างลุ้นระทึก



“แค่ไข้หวัดธรรมดานะค่ะ ฉันเช็ดตัวและให้ทานยาเรียบร้อยแล้ว คงไม่เป็นไรแล้วละค่ะ” ลีฮอนคยองบอกให้ทุกคนโล่งใจ ร่างเล็กจึงจะเดินเข้าไปในห้องแต่โดนหญิงสาวรั้งไว้



“ฉันบอกแล้วไง ค่ะว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว พี่รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจะจัดการเอง” ลีฮอนคยองบอกเสียงแข็ง อัญชันจึงยิ้มรับก่อนจะลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู



“ไม่เป็นไร ยองชิไปพักผ่อนเถอะ พี่จะดูแลคุณแชวอนเอง” ร่างเล็กกล่าวก่อนจะคลายแขนตนและเดินเข้าไปในห้อง ทำให้ฮโยจูถึงกับยิ้มเย้ยหยันลีฮอนคยองอย่างออกนอกหน้า เมื่อเข้ามาภายในห้องอัญชันมองร่างบางที่นอนหลับไหล้อยู่บนเตียงของตนด้วย ความห่วงใย มือเล็กไล่ไรผมบนหน้านวลออกอย่างทะนุถนอม



“ฉันขอโทษนะ ค่ะ ฉันไม่ได้โกรธหรือเกลียดคุณเลย ไม่เคยแม้แต่จะคิด แต่ที่ทำเย็นชากับคุณเพราะฉันไม่อยากจะฉุดคุณลงมาอีก เพราะถึงเราจะคบกันต่อไป ไม่ช้าหรือเร็วความสัมพันธ์นี้ก็จะสร้างปัญหาให้คุณอยู่ดี ฉันยอมเจ็บปวดที่ต้องทนอยู่โดยไม่มีคุณ ดีกว่าให้คุณต้องมาเจ็บปวดเพราะรักคนอย่างฉัน ฉะนั้นได้โปรดเถอะค่ะ เรา.....อย่ารักกันเลยนะค่ะ” ร่างเล็กพร่ำบอกคนที่อยู่ในนิทราทั้งน้ำตา




วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Thunder and the wind: The After war 10


ตอนที่ 10 เผด็จศึก

“หลักของการเผด็จศึกนั้น มีอยู่สามขั้นตอน ง่ายๆ ดูนะ” ฟ้าคำรามกล่าวจากนั้นจึงหันหน้าไปทางชิล สาธิตวิธีการเผด็จศึกให้ยุนบกดู

“ขั้นที่หนึ่ง เจ้าต้องมองตานางให้หวานซึ้งที่สุด ดู” พูดจบเขาก็ส่งสายตาเยิ้มให้ชิลขนลุกขนชัน

“ขั้นที่สอง ลมปาก เจ้าจะต้องใช้น้ำเสียงและคำพูดที่โดนใจนาง” ฟ้าคำรามเลื่อนหน้าของตนเข้าไปประชิดใบหูของชิล และกระซิบอย่างแผ่วเบา

“ข้ารักเจ้า เป็นของข้าเถอะ” ฟ้าคำรามกระซิบจากนั้นจึงกดร่างชิลนอนลงและขึ้นคร่อมทันที ทำเอายุนบกและชิลใจหายใจคว่ำ

“นี่ ละหลักการทั้งหมด ขั้นที่สามเจ้าต้องลงมือทันทีหลังจากทำขั้นที่สองเข้าใจไหม” ฟ้าคำรามลุกออกจากร่างชิลให้คนถูกจับกดโล่งใจอย่างแปลกประหลาด

“ท่านพูดอะไรเนี่ย? ข้าไม่เข้าใจเลยสักอย่าง” ยุนบกกล่าวหน้ามุ่ย

“อะไร กันว้า เจ้านี่มันสมองทึบจริงๆ ทำขนาดนี้แล้วยังไมรู้เรื่องอีก นี่จะให้ข้าปล้ำเจ้าชิลให้ดูตรงนี้เลยหรือไง” ฟ้าคำรามกล่าวอย่างอ่อนใจ แต่คำพูดเขาทำให้ชายร่างใหญ่อย่างชิลถึงกลับเสียวสันหลัง

“ข้าว่าข้าขอตัวก่อนดีกว่า” ชิลเห็นท่าไม่ดีจึงขอปลีกตัว หากแต่พอจะลุกก็โดนฟ้าคำรามกดร่างเขาให้นั่งลงตามเดิม

“เดี๋ยว.... ข้าว่าเห็นที เราคงต้องให้เจ้าไก่อ่อนนี่ เจอของจริงแล้วล่ะ” ฟ้าคำรามหันมาพูดกับชิล ชายร่างใหญ่ได้ยินดังนั้นก็กอดอกตัวสั่นด้วยความกลัวว่าจะถูกฟ้าคำรามปล้ำ ฟ้าคำรามเห็นดังนั้นก็มองเขาด้วยความฉงน

“เจ้าบ้า ใครจะไปทำกับเจ้าลงล่ะ ข้าหมายถึง จะพายุนบกมันไปขึ้นครูที่หอนางโลมต่างหาก” ฟ้าคำรามเฉลยให้ชิลถึงกับถอนหายใจโล่ง หากแต่ยุนบกที่ถูกกล่าวถึงกลับสะดุ้งโหยง

“หะ หะ หอนางโลม” ยุนบกอุทานติดอ่างด้วยความตกใจ

“ถูก ต้อง ไม่ต้องห่วงนะ น้องรัก หอนี้ข้ารู้จักนางโลมแต่ละนางเป็นอย่างดี ข้าจะเลือกคนที่เด็ดที่สุดให้กับเจ้าเลย” ฟ้าคำรามเข้ามากอดคอน้องรักและกล่าวอย่างชอบใจ แต่ยุนบกนั้นหน้าซีดเผือด

“ชิ ล...เอาไอ้นั่นมาซิ” ฟ้าคำรามกล่าวพร้อมยื่นมือไปรอรับ “ไอ้นั่น” ชิลได้ยินดังนั้นจึงล้วงตำราเล่มหนึ่งออกมาจากเสื้อของเขาส่งให้ฟ้าคำราม จากนั้นฟ้าคำรามจึงยื่นมันให้กับยุนบก

“เอ้า เอาไปศึกษาเสียให้พอ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปปฏิบัติจริง ฮ่าๆๆๆๆ” ฟ้าคำรามกล่าวก่อนจะเดินหัวเราะชอบใจออกจากศาลาเขียนภาพไปพร้อมกับชิล เหลือเพียงยุนบกที่ยังนั่งหน้าซีดกับความคิดพิเรนของฟ้าคำราม ก่อนที่จะหันมาสนใจตำราในมือ เขาค่อยๆเปิดมันออกดู ทันทีที่เห็นหน้าแรกยุนบกก็ถึงกับโยนตำราทิ้งอย่างไม่รู้ตัว

“นะ..นะ..นี่มัน หนังสืออย่างว่านี่” ยุนบกหน้าตาตื่น


ภาย ในครัว จานและจองฮยางกำลังตักอาหารใส่ชามเพื่อเตรียมไปตั้งโต๊ะสำรับ จานเป็นผู้ถือสำรับนำไปก่อนเหลือเพียงจองฮยางที่คอยเก็บเครื่องปรุงและ เครื่องใช้ให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อจัดเก็บเรียบร้อยนางจึงเดินออกจากครัวเพื่อไปร่วมทานอาหาร แต่ทันทีที่ก้าวออกจากครัวร่างบางก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งอย่างแรงจนทั้งสอง ล้มไม่เป็นท่า

“โอะ! เจ้าเป็นยังไงบ้างจองฮยาง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ยุนบกถามขึ้นทันทีที่ตั้งตัวได้ เขาจึงรีบเข้าไปประคองนาง ในระหว่างที่ลุกขึ้นสายตาของจองฮยางก็เหลือบไปเห็นตำราเล่มหนึ่งที่หล่นอยู่ ไม่ไกลจากยุนบก นางจึงผละตัวออกจากเขาและก้มลงไปเก็บมันขึ้นมาดู เมื่อเปิดตำราขึ้นนางก็พบกับภาพอนาจารอย่างโจ่งแจ้ง ก่อนที่ยุนบกจะดึงหนังสือกลับไป จองฮยางมองเขาอย่างประหลาดใจ เขาเองก็ทำหน้าไม่ถูกเช่นกันอยากจะอธิบายแต่ปากดันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนลุกลี้ลุกลนก่อนจะจ้ำอ้าวเข้าห้องตัวเองไป ร่างบางได้แต่มองตามเขาด้วยอาการช็อค

เมื่อเข้ามาภายในห้องยุนบกก็ถึงกับฟาดหนังสือดังกล่าวลงพื้นด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

“โธ่ เอ้ย แบบนี้จองฮยางจะมองข้ายังไงละเนี่ย นางต้องคิดว่าข้า.....” ยุนบกพึมพำกับตนเอง ก่อนจะนั่งลงกุมขมับ สักพักเขาก็เหลือบไปดูหนังสือเล่มนั้น และนึกถึงคำพูดของฟ้าคำราม

“เอ้า เอาไปศึกษาเสียให้พอ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปปฏิบัติจริง ฮ่าๆๆๆๆ”

ยุ นบกส่ายหน้าสลัดความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะหันไปจัดเก็บอุปกรณ์เขียนภาพของตนที่ตั้งแต่กลับมาจากกระท่อมกลางป่า ก็ยังไม่ได้เอาออกจากย่าม เขาค่อยๆจัดเรียงอย่างระมัดระวัง สักพักสายตาก็หันไปจับจ้องที่หนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง ยุนบกชั่งใจอยู่สักครู่

“เอาว่ะ แค่นิดเดียว อย่างน้อยเราก็เคยเขียนภาพแบบนี้มาก่อน ดูสิว่าเดี๋ยวนี้เขาไปถึงไหนกันแล้ว” เขาหาข้ออ้างให้ตนเอง แล้วจึงเปิดดูหนังสือนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ


เช้าต่อมาเสน่ห์จัน ทราปิดร้านตามปกติ ทุกคนกลับมาทำหน้าที่เดิมของตัวเองอีกครั้ง ฟ้าคำรามอุ่นเหล้า จานต้อนรับลูกค้า จองฮยางเป็นแม่ครัว และยุนบกคอยยกอาหาร

“โต๊ะห้าขอน้ำแกงเพิ่มจ้าจองฮยาง” ยุนบกบอกกับร่างบาง นางจึงหันมาหาคนเรียก หากแต่พอสายตาทั้งสองผสานกันก็เกิดรู้สึกขัดเขินเอาเสียดื้อๆกับเหตุการณ์ เมื่อคืน

“อ้า พี่ฟ้าคำราเดี๋ยวข้าไปช่วยอุ่นเหล้า” ยุนบกจึงรีบหาข้ออ้างหลบสายตานางไปหลังร้าน และสลับหน้าที่กับฟ้าคำรามแทน เมื่อเข้าช่วงสายร้านปิดลงทุกคนทานอาหารกันเรียบร้อย ฟ้าคำรามและชิลก็เข้ามาประกบยุนบกทันที

“เอาล่ะ น้องรัก ถึงเวลาของลูกผู้ชายแล้ว ไปกันเลยดีกว่า” ฟ้าคำรามกล่าวพลางลากยุนบกออกจากบ้าน

“เดี๋ยวครับ ไป..ไปกันเลยรึครับ? เอาไว้วันหลังไม่ดีกว่าหรือครับ ข้า...ข้ายังไม่ได้ศึกษาหนังสือที่ท่านให้มาเลย” ยุนบกท้วง

“ไม่ ต้ององต้องอ่านมันหรอก เดี๋ยวไปเจอของจริงเจ้าก็ทำเป็นเองล่ะ มาเร็ว......ส่วนเจ้าเฝ้าบ้าน ดูต้นทางไว้” ฟ้าคำรามไม่ฟังลากร่างยุนบกไปตามใจ ก่อนจะหันมาพูดกับชิลให้ชายร่างใหญ่ทำหน้าจ้อยที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้าน


“ยินดีต้อนรับค่า นายท่านเชิญเลยค่าๆ” สาวงามหน้าหอร้องเรียกแขกผู้มาเยือนให้เข้าไปภายใน

“นี่ คือ หอบุปผาสวรรค์ ข้าเป็นลูกค้าชั้นเลิศของที่นี่เลยล่ะ นางโลมที่นี่เด็ดๆทั้งนั้น” ฟ้าคำรามบรรยายก่อนจะลูบปากเหมือนอยากของเปรี้ยว

“ข้าว่าเดี๋ยวเราค่อยมาวันอื่นดีกว่านะครับ วันนี้ข้ายังไม่พร้อม” ยุนบกกล่าวและพยายามขืนร่างตนจากฟ้าคำราม

“ต๊าย พี่ฟ้าคำราม! หายหน้าไปเสียนาน นึกว่าลืมที่นี่เสียแล้ว” นางโลมปากแดงนางหนึ่งเดินเข้ามาทักฟ้าคำรามอย่างคุ้นเคย ก่อนจะสังเกตเห็นหนุ่มรูปงามข้างๆ

“อุ้ยตายแล้ว นายน้อยท่านนี้เป็นใครกันค่ะ รูปงามนัก” นางถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางหยิกแก้มใสของยุนบกอย่างหมันเคี้ยว

“นี่ น้องข้าเอง เป็นไงหล่อเหมือนข้าใช่ไหมล่ะ ข้าจะพามันมาขึ้นครู” ฟ้าคำรามแนะนำก่อนจะกระซิบกระซาบกับนางโลม เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็มองเขาตาลุกวาวเหมือนเสือสาวเจอกวางหนุ่ม แล้วทั้งสองก็ลากเขาเข้าไปด้านใน ยุนบกและฟ้าคำรามเข้ามาดื่มเหล้ากันในห้องรับรองห้องหนึ่ง ฟ้าคำรามมีนางโลมคนสนิทคลอเคล้าอยู่ใกล้ๆ ส่วนยุนบกนั้นมีนางโลมสองนางนัวเนียจับโน่นนี่ของเขาอยู่ตลอดเวลา

“ดื่มอีกซิค่ะนายน้อย” นางโลมอ่อนเยาว์หากแต่กร้านโลกรินเหล้าให้เขา แล้วจึงมากระแซะถามเสียงอ้อน ยุนบกได้แต่นั่งตัวลีบ

“นายน้อยค่ะ ทานนี่หน่อยซิค่ะ” นางโลมอีกคนเบียดร่างเข้ามาอีกข้างพร้อมจะป้อนเขาด้วยปาก ยุนบกนั้นพยายามหันหน้าหนีสุดกำลัง

“เอ่อ...ข้ายังไม่หิว” เขากล่าวปฏิเสธเสียงอ่อน ในขณะที่ฟ้าคำรามซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองดูด้วยความชอบใจ

“แล้วนี่คยองเฮว่างหรือยังล่ะ?” ฟ้าคำรามเอ่ยถามขึ้นกับเหล่านางโลม

“แหม พี่ฟ้าคำรามนี่ ไม่ไว้หน้าข้าเลยนะค่ะ ทั้งที่ข้าก็นั่งอยู่ที่นี่แล้วแท้ๆ ยังจะเรียกหาคยองเฮอีก” นางโลมคนสนิทฟ้าคำรามกล่าวอย่างน้อยใจ เขาจึงหัวเราะชอบใจก่อนจะหอมนางไปฟอดใหญ่

“ข้าไม่ได้เรียกนางมาให้ข้าหรอก แต่ให้เจ้านี่ต่างหาก” ฟ้าคำรามกล่าวพร้อมชี้ไปที่ยุนบก ทำให้คนถูกกล่าวถึงทำหน้างง

“บุรุษ ทั่วมาโปต่างเล่าขาน หากผู้ใดได้หลับนอนข้ามคืนกับคยองเฮแล้วละก็ ชายผู้นั้นย่อมเป็นชายเหนือชาย” ฟ้าคำรามกล่าวพลางยกจอกขึ้นประกอบท่าทาง นางโลมทั้งหลายต่างหัวเราะคิกคัก

“แหม แต่จะให้นายน้อยอ่อนหัดผู้นี้พบกับคยองเฮเลยหรือค่ะ เขาจะไหวหรอ” นางโลมคนสนิทฟ้าคำรามถาม

“ก็ เพราะอย่างนี้ไง เพราะเจ้านี่มันอ่อนหัด ต้องให้ถึงมือคยองเฮจัดการ” ฟ้าคำรามตอบ นางโลมทั้งสามก็หัวเราะชอบใจ คยองเฮที่กล่าวถึงคือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งบุปผาสวรรค์ ไม่เพียงแค่มีใบหน้าที่งดงามหากแต่นางยังเป็นเลิศในการปรนเปรอบุรุษจนเป็น ที่เลื่องลือ ทันใดประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดออก หญิงสาวรูปงามผู้หนึ่งย่างกายเข้ามาช้าๆ ก่อนจะส่งสายตาไปยังยุนบก


“นี่ ยุนบกหายไปไหนน่ะ ทำไมไม่มาสอนพวกเด็กๆล่ะ” จานถามจองฮยางขึ้นเมื่อมองไปยังศาลาเขียนภาพแล้วพบว่าเด็กๆนั้นเอาแต่วิ่ง เล่นกัน นางจึงเดินไปยังศาลาเขียนภาพพร้อมกับจองฮยาง

“ยุนบกล่ะชิล เขาไปไหนรึ?....แล้วนี่สามีตัวดีของข้าหายหัวไปไหนด้วยล่ะเนี่ย?” จานถามพลางมองไปรอบๆบริเวณ หากแต่ชิลไม่กล้าตอบจึงได้แต่ทำหน้าแหย

“ท่าน แม่ ท่านพ่อกับอาจารย์ไม่อยู่หรอกครับ ลุงชิลบอกว่าพวกเขาไปทำภารกิจของลูกผู้ชายกัน” ฟ้าลั่นลูกชายหัวแก้ววิ่งเข้ามากอดผู้เป็นแม่และรายงาน

“ห่ะ? ภารกิจลูกผู้ชายรึ?!” จานถึงกับลมออกหูเมื่อได้ยิน นางรู้ได้ทันทีว่าสามีตัวร้ายไปทำอะไร ที่ไหน และอย่างไร ชิลที่ไม่สามารถห้ามฟ้าลั่นไว้ได้ทันก็ถึงกับหน้าซีด

“ตัวใครตัวมันนะพี่ฟ้าคำราม” เขาพึมพำกับตัวเอง


ภายในห้องอันมืดสลัวสองร่างกำลังแนบชิดกัน ร่างหนึ่งถึงกับอ่อนเพลียส่วนอีกร่างยังคงพุ่งพล่านไปด้วยความต้องการ

“ข้าบอกว่าไม่เอาไงแม่นาง ท่านไม่ต้องทำอย่างที่พี่ฟ้าคำรามบอกก็ได้” ยุนบกพยายามผลักไส้ร่างของหญิงสาวที่รุกเร้าเข้ามาหาเขา

“แหม นายน้อย ข้ารับเงินมาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดสิเจ้าค่ะ มาม่ะ อย่ากลัวๆ” คยองเฮไม่ลดละความพยายามในการปลุกปล้ำหนุ่มรูปงาม นางผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่บุรุษคนใดต้องพิชิตเขาผู้ถูกตาต้องใจตั้งแต่แรก เห็นให้ได้ ยุนบกรวบรวมแรงผลักนางออกไปสุดกำลังก่อนจะคลานหนี หากแต่นางกลับมาตั้งตัวได้ไวอย่างเหลือเชื่อ จึงตะคลุบเขาได้ทัน นางดึงทึ้งเสื้อผ้าของเขาออกทันที

“ม่ายยยยยยยยย!” เสียงร้องของยุนบกดังไปไกลถึงห้องรับรองที่ฟ้าคำรามยังคงดื่มเหล้าเคล้านารีอย่างสบายอารมณ์

“ฮ่าๆๆๆ เสียงดีจริงๆ สงสัยคยองเฮจัดหนักแน่ๆ” ฟ้าคำรามกล่าวพลางหัวเราะชอบใจโดยไม่ล่วงรู้ชะตากรรม

“ว่าแต่เมียพี่ไม่ว่ารึค่ะ ไม่รีบกลับเดี๋ยวนางก็มาฆ่าพี่หรอก” นางโลมคนสนิทกล่าว

“ฆ่า อะไรกัน เจ้าไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร ข้าพี่ฟ้าคำราม ลูกพี่ใหญ่แห่งมาโป ใครจะมากล้าหือ ฮ่าๆๆๆ” เขาหัวเราะอย่างไม่เกรงกลัวความตายที่กำลังยืนอยู่หน้าประตู

“ข้านี่ไง!” จานเปิดประตูพรวดเข้ามาทันที ฟ้าคำรามถึงกับสำลักเหล้าที่กระดกลงคอ

“มะ..มะ... เมียจ้า ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษข้ามันเลวที่มาที่นี่” ฟ้าคำรามไม่รอช้ารีบเข้าไปกอดขาจานร่ำไห้อย่างกลัวตาย นางมองเขาพร้อมแสยะยิ้มอย่างเลือดเย็น

“ใจเย็นๆท่านพี่ ข้ายังไม่ฆ่าท่านตอนนี้หรอก.......บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ายุนบกอยู่ไหน!” นางกล่าวเสียงหวาน ก่อนจะกระชากผมผู้เป็นสามีถาม ฟ้าคำรามจึงรีบชี้ไปยังทางที่ห้องของยุนบกอยู่ จานจึงมองหน้าจองฮยางอย่างหนักใจ


“ปล่อยข้า! ปล่อย.....” ยุนบกยังคงดิ้นรนอยู่ใต้ร่างของคยองเฮ นางไม่รอช้าจูบซ้ายจูบขวาที่แก้มของเขาทันที รอยปากของนางจึงติดเต็มแก้มเขา ยุนบกเห็นท่าจะแย่จึงพยายามรวบรวมสติ เขาหวนคิดถึงเผด็จศึกสามขั้นที่ฟ้าคำรามบอก ทันใดก็จับคยองเฮไว้ให้มั่น แล้วส่งสายตาหวานให้นางแทบละลาย ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู

“ปล่อยข้าไป เถอะนะ” เขากล่าวก่อนจะพลิกตัวเป็นผู้คร่อมนางเสียเอง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลุกหนี ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นภาพยุนบกที่เหลือเพียงชุดขาวบางกำลังค่อมร่างหญิงสาวที่เสื้อผ้า หลุดลุ่ย จองฮยางแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา ยุนบกเองก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่แข็งทื่ออยู่ในท่าคร่อมคยองเฮอยู่อย่างนั้น ก่อนที่คยองเฮจะรวบศีรษะเขาลงมาและกอดจูบอย่างไม่อายสายตาผู้มาเยือน

“อย่า แม่นาง! ข้าบอกว่าอย่าไง!” ยุนบกบอกกับนางหากแต่นางไม่ฟัง ยังคงพรมจูบไปทั่วใบหน้าเขา จองฮยางทนเห็นภาพบาดตาไม่ไหวจึงเดินจากไปอย่างโกรธเคือง

“อ่ะ! จองฮยาง! โอ้ย ปล่อยข้าสักทีเถอะ!” ยุนบกจะตามร่างบางออกไปหากแต่คยองเฮก็เกาะเขาไม่ปล่อย จานมองยุนบกด้วยสายตาผิดหวังแล้วจึงดึงหูสามีให้เดินตามตนกลับบ้าน


เมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้านจองฮยางก็ไม่พูดไม่จาตรงเข้าห้องของตนทันที ยุนบกจึงเดินตามมา

“จอง ฮยาง....ฟังข้าก่อน มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็นนะ คือว่า ข้าน่ะ......” ยุนบกพยายามอธิบายอยู่นอกห้อง หากแต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขาจึงถอดใจเพราะอย่างไรนางก็คงไม่ฟังยิ่งจะพาลเกลียดเขาเข้าไปใหญ่ เขาเลยหันหลังกลับเดินคอตก

“ท่านคิดจะกลับไปอย่างนี้หรือค่ะช่าง เขียน?” จองฮยางเปิดประตูออกมาและพูดกับเขา ยุนบกหันมาอย่างแปลกใจที่นางยอมออกมา ก่อนจะโดนจองฮยางลากเข้าไปในห้องและจับเขากดลงไปกับพื้น นางคร่อมร่างของเขาและมองเขาด้วยสายตามุ่งมั่น






วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Thunder and the wind: The After war 9


ตอนที่ 9 ถอยทัพ


เช้าอันสดใสที่ดวงอาทิตย์ฉายแสงอย่างแข็งขัน “โครม!” เสียงดังโครมครามดังมาจากในครัว ทำให้ยุนบกสะดุ้งตื่น

“เอ่อ.... ขอโทษค่ะ” เสียงใสตะโกนออกมาจากครัว ก่อนที่คนขี้เซาจะตั้งสติได้และนั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ราวกับคนความจำเสื่อมที่ต้องนั่งระลึกความทรงจำ แล้วก็ต้องหน้าแดงแป๊ดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ยุนบกลูบไปที่ริมฝีปากตนเพื่อระลึกถึงสัมผัสนุ่มแล้วจึงยิ้มอย่างพอใจ ทันใดร่างบางที่กำลังทำอาหารอยู่ก็เดินอกมาจากครัวเพื่อมาเตรียมจัดโต๊ะ อาหาร ทั้งสองสบตากันอย่างไม่ทันตั้งตัว ต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างเอียงอาย

“โอ้! เจ้า ตื่น แล้ว หรือ? อะ รุณ สะ หวัด” ยุนบกกล่าวทักทายเหมือนดั่งสะกดคำ จองฮยางหลบหน้าหนีเอียงอายและพยักหน้าตอบเล็กน้อย

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ช่างเขียน” นางตอบเสียงหวาน มันหวานเสียจนคนฟังซาบซ่านไปทั้งหัวใจ

“ท่านจะทานอาหารเลยไหมค่ะ?” นางถามและยังคงความหวานของน้ำเสียงไว้ อีกทั้งยังส่งสายตาพิฆาตดวงใจให้ยุนบกแทบอ่อนยวบ

“เอ่อ.... คือ.....ข้า.......ข้าขอตัวไปโดดน้ำ เอ้ย! ล้างหน้าน่ะ ข้าขอตัวไปล้างหน้าที่น้ำตกก่อนนะ” ยุนบกรีบตัดทบและเร่งฝีเท้าไปยังน้ำตก เมื่อมาถึงเขาจึงวางมือไปที่หน้าอกของตัวเอง

“เฮ้อ นึกว่าหัวใจมันจะกระดอนออกจากอกเสียแล้ว เต้นเบาๆหน่อยซิใจเอ้ย” เขากล่าวพลางลูบไปที่หน้าอกตนเอง ก่อนจะกวักน้ำขึ้นมาสาดใส่หน้าเป็นการเรียกสติ หากแต่ดูจะไม่เป็นผล เขาจึงมุดศีรษะลงไปในน้ำแทน


เมื่อยุนบกกลับมายังกระท่อม อาหารเช้าก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมกับจองฮยางที่นั่งรอเขาด้วยใบ หน้าเปื้อนยิ้ม ยุนบกค่อยๆก้าวเข้าไปทีละก้าว ก่อนจะนั่งแมะลงห่างเป็นวาจากโต๊ะสำรับ อีกทั้งยังนั่งเอียงข้างเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับนาง จองฮยางมองเขาด้วยความสงสัยหากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด ยุนบกเอื้อมมือไปสุดแขนเพื่อหยิบชามข้าวของตน เขาพยายามที่จะไม่สบตานาง ก้มหน้าก้มตากินแต่ข้าวเปล่าในชามตน จองฮยางได้แต่มองเขาด้วยความฉงน

“ท่าน ไม่ทานกับหรือคะ?” นางถามพร้อมหยิบอาหารให้เขา หากแต่ยุนบกกลับหยิบอาหารจากอีกจานขึ้นมาใส่ชามของตนและทานต่อโดยไม่เหลียว มองนาง จองฮยางจึงต้องทานอาหารในมือเสียเอง

หลังทานอาหารเสร็จยุนบ กก็หาเรื่องออกจากกระท่อม ด้วยไม่อยากอยู่กับจองฮยางสองต่อสอง เขาอ้างว่าจะออกไปเขียนภาพที่น้ำตก หากแต่พอมาถึงเขากลับไม่มีกระจิตกระใจแม้แต่จะหยิบพู่กัน ยุนบกได้แต่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางลูบริมฝีปากตนเอง เขาจินตนาการว่าหากเขาได้จุมพิตนางอีก เขาจะทำโน่น ทำนี่ ทำนั่น (เซ็นเซอร์)

“ช่างเขียนค่ะ!” เสียงใสตะโกนมาแต่ไกล ยุนบกที่กำลังคิดพิเลนอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

“ข้าเอาชาและอาหารกลางวันมาให้ค่ะ” จองฮยางบอกพร้อมนั่งลงไปข้างๆยุนบก หากแต่เขาเขยิบหนี

“อ้า...ขอบ ใจนะ” ยุนบกตอบ แต่ไม่สบตาคนฟัง นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกอยากเอาชนะ นางรินชาใส่ถ้วยน้ำชาและส่งให้เขาพร้อมสายตาหวานเยิ้ม ยุนบกเผลอไปสบตานางเข้า เขาแทบจะหัวใจวายเพราะหัวใจที่เต้นรัวผิดปกติจึงต้องรีบหลบตา เขารับถ้วยชามาโดยไม่ได้มองจึงทำให้มันหกใส่ตัวเอง

“ตายจริง หกใส่ท่านหมดเลย” จองฮยางจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนซับไปตามรอยน้ำชาบนตัวเขา ยุนบกถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อถูกนางสัมผัส

“ม่ะ...ม่ะ...ไม่ ไม่เป็นไร ข่ะ...ข้าทำเองได้” เขาพูดติดอ่างและรีบเขยิบหนีนาง จองฮยางได้แต่อมยิ้มกับปฏิกิริยาของเขา

“ท่านเขียนภาพอะไรอยู่หรือค่ะ?” นางเปิดหัวข้อสนทนา นั่นช่วยเรียกความสนใจจากคนที่พยายามหลบหน้านางได้

“เอ่อ......ก็....ข้ายังคิดไม่ออกน่ะ” เขาตอบหลังจากซับน้ำชาที่หกใส่ตนเสร็จ

“เช่นนั้น เขียนภาพให้ข้าได้ไหมค่ะ?” จองฮยางถาม ยุนบกได้ยินก็ถึงกับอึ้ง

“เอ่อข้า......” เขาพยายามจะหาเหตุผลปฏิเสธหากแต่โดนนางสวนขึ้นก่อน

“นาน แล้วนะค่ะ ที่ท่านไม่ได้เขียนภาพโดยมีข้าเป็นแบบ นะค่ะ? ช่างเขียน” นางอ้อนเสียงหวาน คนฟังแทบจะละลายไปต่อหน้าต่อตา ยุนบกจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำใจ

“งั้นเจ้าไปนั่งตรงโน้นนะ” ยุนบกชี้ไปยังจุดที่จะให้นางนั่ง ซึ่งอยู่ไกลจากเขาหลายสิบเมตร ด้วยไม่อยากสบตากับนางในระยะใกล้ แม้จองฮยางจะไม่อยากแต่ก็ต้องทำตามที่เขาบอก นางเดินไปอย่างว่าง่าย ก่อนจะสะดุดล่องหินล้มลง

“ว้าย!” จองฮยางร้องเสียงหลง ยุนบกเห็นดังนั้นก็รับวิ่งเข้าไปดูนางทันที

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากไหม?” เขาถามด้วยความเป็นห่วงและก้มมองข้อเท้าของนาง จองฮยางมองเขาด้วยความซาบซึ้ง

“ข้า ไม่เป็นอะไรค่ะช่างเขียน” นางกระซิบไปที่ข้างหูยุนบก เขาจึงรีบผละตัวออกทันทีและจับไปที่ใบหูของตน ตอนนี้มันแดงแจ้ไปทั้งสองข้างรวมถึงใบหน้าของเขาด้วย

“อะแฮ่ม!.... อืม ข้าว่า เอาไว้เราค่อยเขียนภาพกันวันอื่นเถอะ.......ข้า...ข้าหิวแล้วล่ะ” ยุนบกรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีและหาข้ออ้างที่จะไม่เขียนภาพให้นางจนได้ จองฮยางจึงต้องคล้อยตามอย่างจำยอม ทั้งสองเลยทานอาหารกันริมธารน้ำ ยุนบกยังคงคอยหลบเลี่ยงสายตาจองฮยางอยู่ตลอดเวลา


ณ เสน่ห์จันทรา หลังจากเก็บร้านเรียบร้อย ทุกคนก็มานั่งทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า รวมถึงพระเจ้าจองโจผู้ปรีชาที่วางแผนให้ยุนบกและจองฮยางได้อยู่ด้วยกัน

“พวกนั้นไม่ระแคะระคายแผนการของเราเลยนะ ดีจริงๆ ท่านว่าป่านนี้สองคนนั่นจะเป็นยังไงมั่ง?” ชิลเอ่ยขึ้น

“แน่ นอน! น้องรักของข้าไม่ทำให้ผิดหวัง มันต้องจัดการนางแล้วแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ” ฟ้าคำรามกล่าวเสียงดังและหัวเราะด้วยความพอใจ ก่อนจะถูกฝ่ามือพิฆาตของจานฟาดไปกลางศีรษะ

“ลูกนั่งอยู่ด้วยนะค่ะ ท่านพี่นี่พูดอะไรก็ไม่รู้” นางกล่าวด้วยวาจาสุภาพผิดกับน้ำเสียงที่ดุดัน

“จ๊ะ ภรรเมีย” ฟ้าคำรามก้มขอโทษขอโพย

“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น” พระเจ้าจองโจตรัสขึ้น ทุกคนต่างหันไปมอง

“บางทีน้องรักของเจ้า อาจจะทำไม่ได้ ก็เป็นได้นะ” พระองค์ตรัสคลุมเครือ

“ท่าน ตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร น้องของข้า ข้าสอนมันมากับมือ ไม่ว่าจะเรื่องต่อสู้หรือเรื่องสตรี มันย่อมไม่ต่างจากข้าแน่นอน” ฟ้าคำรามแย้ง

“ไม่ต่างจากเจ้ารึ? ฮึๆๆ เรื่องนี้ข้าสงสัยอยู่ ว่าเขาจะเหมือนกับเจ้าทุกอย่างไหม?” พระองค์ตรัสเป็นนัย จานได้ยินก็รู้สึกสงสัยยิ่งนัก “หรือว่าฝ่าบาทจะทรงทราบ?!” นางคิด


“ช่างเขียนค่ะ อาหารเสร็จแล้วค่ะ” จองฮยางเรียก

“เจ้ากินก่อนเถอะ ข้าจะไปอาบน้ำ” ยุนบกตอบ

“ช่างเขียนค่ะ ท่านจะไปไหนหรือค่ะ?” จองฮยางถาม

“ข้าจะออกไปตกปลา” ยุนบกตอบ

“ช่างเขียนค่ะ ข้างนอกมันหนาว เข้ามานอนในกระท่อมไหมค่ะ?” จองฮยางถาม

“โอ้ ไม่เป็นไร ข้าชอบอากาศหนาว” ยุนบกตอบ

แม้ จะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตามที่ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในป่าลึก หากแต่ยุนบกก็ยังรู้สึกไม่ชินกับการที่จะอยู่กับนางเพียงสองต่อสอง เขามักจะหาข้ออ้างออกไปโน่นมานี่อยู่ตลอดเวลา เพราะเพียงแค่เขามองนางใจเขาก็เต้นรัวเสียจนหูอื้อตาลาย ยิ่งนางเข้ามาใกล้ๆเขาก็พาลจะมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก และหากไปสัมผัสนางโดยบังเอิญเข้าตัวเขาก็เหมือนถูกสาบให้แข็งทื่อเป็นท่อน ไม้ เช่นนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงไม่พัฒนาไปไหน กลับถ้อยหลังกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ด้วยตอนนี้ยุนบกไม่กล้าที่จะมองหน้านางตรงๆด้วยซ้ำ ผิดจากแต่ก่อนที่เขามักจะวิ่งเข้าหานางเสมอ

“นั่นท่านจะออกไปไหนอีกละค่ะ?” จองฮยางถามเมื่อเห็นยุนบกเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

“อ้อ ข้าว่าจะออกไปตกปลาน่ะ” เขาตอบ

“ตก ปลาหรือค่ะ ไม่เห็นท่านได้ปลากลับมาเลย หากท่านอึดอัดใจที่จะอยู่กับข้า ก็บอกข้ามาตามตรง เช่นนั้นข้าจะได้ไปเอง” จองฮยางกล่าวอย่างน้อยใจ

“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น” ยุนบกรีบปฏิเสธ

“ว่า ไง คู่รักข้าวใหม่ปลามัน ยะฮู้ รักกันหวานชื่นเลยซินะ” ฟ้าคำรามส่งเสียงทักมาแต่ไกล หากแต่พอมาถึงกระท่อมกลับเจอกับบรรยากาศตึงเครียด จองฮยางจึงรีบเดินหนีเข้าไปในกระท่อม นั่นทำให้ฟ้าคำรามหน้าเอ๋อไปเลย

“พวกเจ้าทะเลาะกันหรือ?” ชิลถาม

“ก็....ไม่เชิงครับ” ยุนบกตอบเสียงอ่อน จากนั้นจึงพาฟ้าคำรามและชิลมาที่น้ำตกและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

“โธ่ เว้ย! ไอ้เราก็นึกว่าเรียบร้อยโรงเรียนฟ้าคำรามไปแล้ว เจ้านี่มัน! จริงๆเล้ย” ฟ้าคำรามกล่าวอย่างอารมณ์เสียหลังฟังเรื่องราวจากยุนบก

“เอาน่าๆ อย่างน้อย พวกเจ้าก็กลับมาดีกันอีกครั้ง” ชิลปลอบ

“ดีบ้าดีบออะไรล่ะ เจ้าไม่เห็นหรอ นางโกรธเขาอีกแล้วน่ะ เจ้านี่มัน ไก่อ่อนจริงๆ!” ฟ้าคำรามพูดแดกดัน ยุนบกได้แต่นั่งคอตก

“เอา น่า ข้าว่าปัญหานี้ไม่น่าจะแก้ยากนะ โดยเฉพาะคนอย่างท่านนะ พี่ฟ้าคำราม” ชิลพูดเป็นนัย นั่นทำให้ฟ้าคำรามคิดอะไรบางอย่างได้ จึงยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์

“เข้าใจละ ก่อนอื่นคงต้องพาพวกเจ้าออกจากป่าเสียก่อน” ฟ้าคำรามกล่าว

“แล้วพวกมือสังหารละครับ?” ยุนบกถามอย่างวิตก

“มือ สังหารอะไรเล่ามันมีซะที่......อ้อ เรื่องมือสังหาร พวกข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไล่เตะตูดมันกลับฮันยางไปแล้วล่ะ” ฟ้าคำรามเกือบเผลอบอกความจริงออกไป ยุนบกจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ในขณะที่ชิลมองฟ้าคำรามอย่างตำหนิ


จากนั้นยุนบกและจองฮยางก็กลับ มาที่เสน่ห์จันทรา หากแต่บรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งสองก็ยังไม่คลี่คลลาย นางรีบตรงไปยังห้องของตนเมื่อมาถึง ยุนบกได้แต่มองตามอย่างอ่อนใจ

“ไม่ต้องห่วงไอ้น้องชาย ข้า พี่ฟ้าคำรามยอดนักรักอยู่ตรงนี้แล้ว ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง” ฟ้าคำรามกอดคอน้องรักและกล่าวอย่างภาคภูมิ

“สอน? อะไรหรือครับ?” ยุนบกถามอย่างฉงน ฟ้าคำรามสแหยะยิ้มเจ้าเล่ห์

“ลีลารัก!” ฟ้าคำรามเฉลย ยุนบกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกอดอกตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น







Thunder and the wind: The After war 8




ตอนที่ 8 แผนลวง

ในเช้าที่สงบสุขขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารอยู่นั้นพระเจ้าจองโจตรัสขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“หน่วย องครักษ์รายงานมาว่า พระอัยยิกาได้ส่งมือสังหารเข้ามาที่ยางโจเมื่อสองวันก่อน” พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทำให้ทุกคนในวงอาหารหยุดชะงัก

“มือสังหารหรือพะยะค่ะ? แล้วพวกมันมาทำไมหรือพะยะค่ะ?” ยุนบกถามอย่างร้อนใจ

“ดู เหมือนนางจะไม่ยอมรามือง่ายๆ คราวนี้คงจะเอาเจ้ากลับฮันยางให้ได้ เพราะเจ้าเป็นเพียงจุดอ่อนเดียวของข้า” พระองค์ตอบ ทำให้ยุนบกถึงกับเครียด

“เช่นนั้นหม่อนฉันจะไปจากยางโจพะยะค่ะ” เขากล่าวก่อนจะลุกขึ้น

“เช่น นั้นเจ้าจะทำอย่างไรกับนาง?” พระเจ้าจองโจตรัสถามขณะที่ยุนบกจะเดินออกจากห้อง เขาจึงหยุดและหันกลับไปมองยัง “นาง” ซึ่งพระองค์ตรัสถึง

“นางเองก็ เป็นจุดอ่อนของเจ้าไม่ใช่หรือ หากจับนางได้ก็เหมือนกับจับเจ้าได้เช่นกัน หรือเจ้าทนได้ที่จะเห็นนางมีอันตราย” พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ยุนบกถึงกับหน้าถอดสีเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับจองฮยาง ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนที่ฟ้าคำรามจะกล่าวขึ้น

“มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด หากข้ายังอยู่” เขากล่าวอย่างมาดมั่น

“ใช่จ๊ะน้องยุนบก แม่นางจองฮยาง ข้าและสามีจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเจ้าพบจุดจบแบบนั้น” จานสมทบสามี

“งั้นเราต้องเอาตัวพวกเขาไปซ่อนก่อนเพื่อไม่ให้พวกนั้นหาเจอ จากนั้นเราค่อยจัดการพวกมัน” ชิลเสนอ

“ซ่อนตัวหรือครับ?” ยุนบกเอ่ยอย่างฉงน

“ใช่ จ๊ะ ในป่าแทบตะวันตกของยางโจมีกระท่อมที่เราใช้พักเวลาล่าสัตว์อยู่ เหมาะเป็นที่ที่พวกเจ้าจะซ่อนตัว รีบไปเก็บสัมภาระของพวกเจ้ากันเถอะ” จานเฉลยพร้อมลากทั้งสองออกจากห้องทานอาหาร เหลือเพียงพระเจ้าจองโจ ใต้เท้าฮง ฟ้าคำรามและชิลที่ต่างมองหน้ากันอย่างพอใจเมื่อแผนลุล่วงไปได้ด้วยดี
หลัง ทั้งสองเก็บสัมภาระของตนเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังป่าแทบตะวันตกตามการนำทางของ ฟ้าคำรามและชิล ลึกเขาไปในป่าขณะที่ทั้งสีกำลังเดินทางอยู่นั้น ยุนบกสังเกตได้ว่าจองฮยางมีใบหน้าที่เหนื่อยล้ามากจึงถามขึ้นด้วยความเป็น ห่วง

“จองฮยางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เราพักกันก่อนไหม?” ยุนบกถามอย่างห่วงใย

“ข้าไม่เป็นไร เรารีบเดินเถอะ” นางพยายามตอบเสียงเรียบ

“เช่นนั้นให้ข้าช่วยถือของเถอะนะ” ยุนบกเสนอตัว

“ไม่ เป็นไรค่ะ ข้าถือเองได้” นางตอบก่อนจะเดินนำยุนบกไป เขาได้แต่เดินตามนางและคอยมองด้วยความเป็นห่วง จนเมื่อถึงทั้งสองก็นั่งลงอย่างหมดแรงที่เก้าอี้หน้ากระท่อม

“เอ้าๆ อย่ามัวแต่นั่งอืดอาดอยู่ซิ เข้ามาดูข้างในก่อน” ฟ้าคำรามกล่าวก่อนจะลากยุนบกเข้ากระท่อม

“นี่ เจ้าเห็นไหมที่นอนเนื้อนุ่มอย่างดี พร้อมกับผ้าห่มผิวละเอียด เจ้าจับดูซิ แล้วนี่หมอน มาข้าจะปูให้พวกเจ้านะ” ฟ้าคำรามกล่าวอย่างตื่นเต้นก่อนจะปูที่นอนดังที่ว่า

“เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้ครับ ว่าแต่มีที่นอนแค่ผืนเดียวหรือครับ?” ยุนบกถามขึ้น

“อ้า...ก็นี่มันในป่า ไม่ค่อยมีคนเข้ามาหรอก มีแค่ผืนเดียวก็ดีแล้ว” ฟ้าคำรามรีบหาข้ออ้าง

“หาก ไม่มีคนเข้ามาจริง เหตุใดที่นอนผืนนั้นจึงใหม่ยิ่งนัก ราวกับเพิ่งถูกซื้อมาเมื่อไม่นาน แถมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็เหมือนไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน กระท่อมนี้เองก็ดูจะสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้” จองฮยางรัวถามเป็นชุดจนฟ้าคำรามถึงกับหน้าเจื่อน ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร เพราะความจริงกระท่อมหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อวาน รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ก็เพิ่งถูกซื้อมาวันนี้นี่เอง แล้วยังเรื่องมือสังหารที่พระเจ้าจองโจตรัสถึงก็ไม่มีจริง เห็นทีแผนการครั้งนี้คงจะแตกเสียแล้ว

“นั่นเพราะมันเพิ่งถูกสร้าง ขึ้นมา พระเจ้าจองโจทรงตระหนักถึงเรื่องที่จะเกิดในไม่ช้า จึงมีรับสั่งให้พวกข้าสร้างที่นี่ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ที่ไม่บอกพวกเจ้าเพราะไม่อยากให้เข้าใจผิด เจ้าคงไม่คิดว่าฝ่าบาททำแผนหลอกลวงพวกเจ้าเพียงเพื่อให้พวกเจ้าคืนดีกันหรอก นะ” ชิลกล่าวหยั่งเชิง

“เช่นนั้นหรือค่ะ หากเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ข้าก็ต้องขอโทษด้วยที่ระแวงพวกท่านและก็ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างสูง” จองฮยางกล่าวอย่างรู้สึกผิด

“ไว้ข้าจะไปทูลพระองค์ให้ละกัน เอาล่ะพวกเจ้าพักผ่อนเถอะ หากเรื่องคลี่คลายแล้วข้าจะมารับพวกเจ้าเอง” ชิลกล่าวก่อนจะจากไปพร้อมฟ้าคำราม

“ข้านึกว่าแผนจะแตกแล้วเสียอีก เจ้านี่เก่งจริงๆชิล” ฟ้าคำรามเอ่ยชมขณะเดินทางกลับ

“เพราะข้ารู้จักคิดก่อนพูดนะซิ” ชิลกล่าว ทำให้ฟ้าคำรามมีน้ำโหขึ้นทันที

“เฮ้ย เจ้านี่! เจ้าว่าข้าพูดไม่คิดหรอ ข้าเป็นลูกพี่ของเจ้านะ นี่....เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า อย่าเดินหนีข้าสิ...นี่ชิล!” ฟ้าคำรามได้แต่โวยวายตามหลังชิล หากแต่เขาไม่สนใจฟัง ขณะเดียวกันที่กระท่อมหลังจากชิลและฟ้าคำรามจากไป ยุนบกและจองฮยางต่างก็นั่งเงียบอยู่คนละฝั่งของกระท่อม

“เอ่อ...ข้าจะออกไปสำรวจรอบๆนี้หน่อยนะ จะได้รู้ทางหนีทีไล่” เขากล่าวก่อนจะออกไป ยุนบกเดินสำรวจไปรอบๆบริเวณ จนไปเจอน้ำตกเข้า

“โอ้! มีน้ำตกด้วยหรือนี่ ยอดเลยไม่ไกลจากกระท่อมด้วย แบบนี้คงหาน้ำได้ไม่ยาก อ้าแต่ข้าเหนียวตัวจังเลยแฮะ” ว่าแล้วยุนบกก็มองซ้ายแลขวา

“ฮึๆๆ แถวนี้ไม่มีคนอย่างแน่นอน เอาล่ะขออาบน้ำให้ชื่นใจหน่อยเถอะ” ยุนบกถอดเสื้อผ้าของตนออก ก่อนจะลงไปแช่ในน้ำ

“ดี นะเนี่ยที่น้ำไม่ค่อยลึก ฮ่ะๆๆ น้ำเย็นดีจัง” ยุนบกเอนกายพิงโขดหินใหญ่และผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ขณะเดียวกันจองฮยางที่เพิ่งเตรียมอาหารเสร็จก็รู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำให้ สดชื่น และนึกได้ว่าชิลนั้นบอกว่ามีน้ำตกอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมนัก นางจึงตรงไปยังน้ำตกทันที เมื่อมาถึงนางกวาดสายตามองไปรอบบริเวณก็ไม่พบใคร นางจึงวางใจเปลื้องผ้าตนเองลงอาบน้ำ นางซ่อนกายหลบอยู่ข้างโขดหินใหญ่ จองฮยางนั่งพิงโขดหินนั้นอย่างสบายอารมณ์ นางกวักน้ำเย็นชื่นใจขึ้นมาล้างใบหน้าและไหล่

“อ้า! สดชื่นจริงๆ” นางกล่าว เสียงของนางเป็นเหตุให้ร่างที่นินทราอยู่อีกฝั่งของโขดหินตื่นขึ้น เขาแว่วเสียงกวักน้ำเล่นของใครบางคนอีกฝั่งของโขดหิน จึงค่อยๆเดินตามเสียงนั้นไปยังอีกฝาก ภาพร่างบางกำลังลูบไล้เนื้อตัวขาวละเอียดทำให้เขาถึงกับลืมหายใจ ยุนบกก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวจึงลื่นตกขอบโขดหินลงไปยังน้ำลึก

“อ้า ก!” เสียงยุนบกอุทาน จองฮยางเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น เมื่อร่างของยุนบกกำลังจมหายไป นางจึงรีบดำลงไปคว้าตัวเขาไว้ จากนั้นนางจึงลากร่างของเขาขึ้นมายังฝั่ง

“ช่างเขียนท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” นางถามด้วยความเป็นห่วง หากแต่อีกคนนิ่งมองนางตาค้าง นางจึงมองตามสายตาเขามาจบที่อกอิ่มของตน

“ว้าย!” จองฮยางรีบโอบร่างปิดอกของตนไว้และหันหนีสายตาแสนซนของคนทะลึ่ง

“อ้า! ข้า!....เอ้ย!” ยุนบกกำลังจะอธิบายหากแต่เมื่อเขาลุกขึ้นนั่งก็พบว่าตนเองก็ล่อนจ้อนเช่นกัน เขาจึงรีบวิ่งไปยังโขดหินฝั่งของตนและใส่เสื้อผ้าทันที

“เอ่อ คือเจ้าเสร็จหรือยัง ข้าจะออกไปแล้วนะ” ยุนบกโยนหินถามทางก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูก็พบว่าจองฮยางแต่งกายเรียบร้อยออก มายืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

“เอ่อคือข้า...” ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร นางก็สะบัดหน้าเดินหนีเขาทันที ยุนบกได้แต่มองตามอย่างอ่อนใจ นี่นางคงเกลียดเขามากกว่าเดิมเสียอีก

เมื่อกลับมาถึงกระท่อมทั้งสอง ก็ทานอาหารกันด้วยความเงียบงัน ยุนบกเหลือบมองใบหน้าไร้อารมณ์ของนางเป็นพักๆ ในขณะที่นางไม่แม้แต่จะชายตามองเขา หลังทานอาหารเสร็จจองฮยางก็เตรียมจัดที่หลับที่นอน

“เจ้านอนเถอะนะ ข้าจะเฝ้าข้างนอกให้เอง” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากกระท่อม ยุนบกทรุดตัวลงนั่งข้างๆประตู เวลาผ่านไปโดยไร้ซุ่มเสียง จนเขาแน่ใจว่านางหลับแล้ว

“เจ้าหลับหรือยังจองฮยาง?” ยุนบกเอ่ยถาม หากแต่ไม่มีเสียงตอบจากคนในกระท่อม

“คง หลับแล้วซินะ........ข้ามันน่ารังเกียจ ข้ารู้ดี ถึงข้าอยากจะอธิบาย แต่มันก็เป็นได้แค่คำแก้ตัวเท่านั้น แม้จะบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ข้าก็เห็นมันอยู่ดี.........ทั้งที่เจ้ายังโกรธข้าอยู่แท้ๆ แต่ข้าก็คอยแต่สร้างเรื่องให้เจ้าโกรธและเกลียดข้ามากขึ้นไปอีก ข้านี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ข้าขอโทษนะจองฮยาง ข้าขอโทษในทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจ ข้าขอโทษ...ขอโทษที่เป็นคนไม่ได้เรื่องแบบนี้ นอกจากรักเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรดีๆให้เจ้าได้เลย ข้าได้แต่รักเจ้า รักเจ้าอย่างคนบ้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ยุนบกระบายความในใจก่อนจะผล็อยหลับไป โดยไม่รู้เลยว่าดวงตาคู่งามยังคงเบิกกว้างอยู่ในกระท่อม โดยมีหยดน้ำตาแห่งความซาบซึ้งรินไหลอยู่ สักพักร่างบางก็เปิดประตูออกมา นางทรุดลงนั่งข้างเขาก่อนจะห่มผ้าที่นำออกมาด้วยให้แก่เขา

“ใช่ข้า โกรธท่านมาก แต่คนที่ข้าโกรธที่สุดก็คือตัวข้าเองที่ไม่สามารถเกลียดท่านได้ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรหัวใจของข้าก็พร้อมจะให้อภัยและรักท่านอยู่เสมอเหมือน ดั่งทาสผู้ซื่อสัตย์ หากแต่ข้าไม่อยากถูกมองเป็นของตายที่ไม่ว่าท่านจะทำเช่นไรก็ได้ ข้าจึงต้องแสร้งทำเป็นโกรธเคืองท่าน ข้าเองก็เป็นคนไม่ได้เรื่องเช่นกัน ข้าเองก็ได้แต่รักท่านอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน” นางกล่าวทั้งน้ำตา ทันใดมือของยุนบกก็เอื้อมไปสัมผัสใบหน้านาง จองฮยางถึงกับสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเขาจะตื่น ทั้งสองต่างสบตากันอยู่เนิ่นนาน

“ข้าขอโทษ ที่รักเพียงเจ้า” เสียงหัวใจของยุนบก

“ข้าเองก็ไม่สามารถรักใครได้ นอกจากท่าน” เสียงหัวใจของจองฮยาง
ร่าง ทั้งสองค่อยๆเลื่อนเข้าหากัน จองฮยางหลับตาพริ้มริม ฝีปากบางสั่นเล็กน้อยเมื่อถูกริมฝีปากของยุนบกสัมผัส จุมพิตแผ่วเบาท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนนี้จะตราตรึงใจทั้งสองไปตลอดกาล



วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

The Fan Club ตอนที่ 15






ตอนที่ 15 โรครัก (Love Sick)

“ตอน นี้พระองค์จะทรงเป็นกษัตริย์หรือสุภาพบุรุษละเพค่ะ?” หญิงสาวร่างโปร่งในชุดฮัมบกกล่าวกับคนรัก จากนั้นเขาจึงยอมยอบร่างให้เธอเหยียบปีนข้ามกำแพง



“โอะ! ทำไมตัวเจ้าหนักกว่าเมื่อก่อนเสียอีก” เขาโอดครวญเมื่อหญิงสาวขึ้นเหยียบ



“ฝ่า บาทสูงขึ้นอีกนิดเพค่ะ ทำไมพระองค์ยังทรงอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนเลยละเพค่ะ “เธอกล่าวก่อนที่คนรักของเธอจะพยายามดันร่างให้สูงขึ้นตามคำของหญิงสาว



“คัท!” เสียงผู้กำกับสั่งคัทดังขึ้นก่อนที่เสียงโห่ร้องดีใจของคนทั้งกองถ่ายละคร พรีเรียตสุดฮิตจะตามมา หลังจากตรากตรำถ่ายทำกันมาอย่างยาวนานในที่สุดฉากสุดถ่ายของการถ่ายทำก็ สำเร็จลุล่วง



“เอ้ารีบๆ เก็บของ แล้วไปกินเลี้ยงปิดกล้องกัน ร้านอาหารจองไว้เรียบร้อยแล้ว” เสียงหญิงร่างท้วมผู้จัดการกองถ่ายดังบอกทีมงาน



“วันนี้ ฉันมีธุระสำคัญต้องไปทำ เอาไว้กินพรุ่งนี้ก็แล้วกัน พวกคุณคงไม่คิดจะกินเลี้ยงปิดกล้องโดยขาดนางเอกของเรื่องหรอกนะ แต่ถึงจะไปก็คงไม่มีที่ให้กินหรอก เพราะฉันโทรไปยกเลิกกับร้านเขาแล้วละ” ดาราสาวฮันฮโยจูนางเอกของเรื่องกล่าวก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ ผ้าในเต็นท์นักแสดง ทำให้ทีมงานต่างพากันอ้าปากค้าง ผู้จัดการกองถ่ายจึงรีบโทรไปตรวจสอบกับร้านอาหารที่จองไว้ทันที ปรากฏว่าห้องที่จองไว้โดนยกเลิกและมีคนใหม่จองไปแล้ว และการจะหาร้านอาหารที่รองรับคนได้เกือบร้อยชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายหากไม่มี การจองล่วงหน้า วันนี้ทุกคนจึงต้องอดฉลองปิดกล้องตามความต้องการของฮันฮโยจู



“อ้ากกกกกกกก ฉันจะบ้าตาย แผลงฤทธิ์จนถึงนาทีสุดท้าย ยัยปีศาจฮันฮโยจู!” ผู้กำกับถึงกับสติหลุดแหกปากอาละวาดยกใหญ่





ติ๊งต่อ ง ๆๆๆๆๆๆๆ เสียงออดประตูหน้าบ้านดังถี่ยิบอย่างไม่เกรงใจชาวบ้าน ชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องรับแขกได้ยินดังนั้นก็ รวบหนังสือพิมพ์ฟาดลงโต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นไปดูว่าคนไร้มารยาทที่ไหนมากดออด ชายหนุ่มมองจอมอนิเตอร์เห็นผู้มาเยือนก็ถึงกับแปลกใจ ไม่นานเขาก็เดินออกมายังหน้าบ้านและเปิดประตูออกไปหาแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หญิงสาวร่างโปร่งในชุดมินิเดรสเหลื่อมสีเงินระยิบระยับยืนจังก้าอยู่หน้า บ้าน



“ทำไมเธอไม่ขับรถเข้าไปในบ้านล่ะ เธอมีรีโมทประตูอยู่แล้วนี่” ชายหนุ่มถามด้วยความฉงน



“เพราะว่าฉันไม่อยากเข้าไป ฉันมีเรื่องจะพูดกับพี่แค่เรื่องเดียวแล้วฉันก็จะกลับ” ดาราสาวฮันฮโยจูกล่าว



“งั้นก็ว่ามาซิ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ



“ที่ ผ่านมาฉันคิดเสมอว่าพี่คือคนที่เพอเฟ็ค ฉันจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะได้ครอบครองความเพอเฟ็คนี้ ถึงแม้มันจะไม่มีหวังเลยก็ตาม แต่ฉันก็คิดว่าสักวันฉันต้องทำได้ แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมามันก็ทำให้ฉันคิดได้ว่า ที่ฉันคิดนั้นมันผิดมาตลอด เหตุผลที่พี่ไม่ยอมรับฉันไม่ใช่เพราะว่าฉันนั้นด้อยกว่า แต่เพราะพี่ต่างหาก พี่ต่างหากแต่ด้อยกว่าฉัน คนที่เพอเฟ็คที่สุดคือฉัน และเพื่อความเพอเฟ็คนี้ ฉันต้องตัดพี่ออกไป ฉันจะเป็นฮันฮโยจู ผู้หญิงที่เพอเฟ็คด้วยตัวของเธอเอง” เธอสาธยายด้วยน้ำเสียงหยิ่งยะโส เมื่อกล่าวจบเธอก็หยิบแว่นดำขึ้นมาใส่เชิดหน้าตามสไตล์ของเธอ ก่อนจะเดินหันหลังให้เขาและตรงขึ้นรถของตัวเองขับออกไปทันที จินโฮได้แต่ยืนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า ร่างโปร่งที่เดินหันหลังให้เขาสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวดที่ต้องตัดใจจาก คนที่เธอรักมาทั้งชีวิต แว่นตาที่เธอใส่ในเวลากลางคืนเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อความโก้หรู แต่เพื่อปกปิดหยาดน้ำตาที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ ร่างโปร่งแหกปากร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางขับรถ เธอถอดแว่นดำออกและปาดหยดน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาดั่งสายน้ำ เมื่อถึงแยกไฟแดงร่างโปร่งจอดรถรอสัญญาณไฟและสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด เธอฟุบลงกับพวงมาลัยอย่างหมดแรง และแม้จะไฟเขียวแล้วแต่เธอก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้





“คุณแชวอน เตรียมตัวถ่ายฉากคาราโอเกะด้วยนะค่ะ” ทีมงานสาวในกองถ่ายละครครอบครัวเถิดทูนผู้เป็นพ่อบอกกับดาราสาวนางเอกป้าย แดงหมาดๆ หลังจากเหตุการณ์ภาพฉาวสงบลงไม่นานเธอก็ได้เซ็นสัญญากับสังกัดใหม่ ซึ่งมีผู้บริหารใหญ่เป็นผู้หญิง จึงทำให้ดาราสาวมั่นใจว่าเธอจะเข้าใจหัวอกนักแสดงหญิงอย่างตน และไม่นานหลังจากเซ็นสัญญางานต่างๆก็ตามมามากมาย ล่าสุดดาราสาวได้รับบทนางเอกอีกครั้งหลังจากที่เคยเล่นไว้ในละครเรื่องแรก หากแต่ไม่เป็นที่รู้จัก ละครเรื่องนี้จึงถือเป็นการเปิดตัวเธอในฐานะนางเอกหน้าใหม่เต็มตัว ฉากต่อไปที่เธอจะถ่ายเป็นฉากที่ทุกคนในครอบครัวมาร้องคาราโอเกะร่วมกันโดย ผู้เป็นพ่อจะร้องเพลงโปรดของเขาซึ่งใช้ร้องเป็นประจำทุกครั้งที่เข้าคาราโอ เกะ “If you love me” เพียงแค่เห็นชื่อเพลงน้ำตาก็เธอก็หยดลงใส่สคลิป ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ไปแดกูก็ผุดขึ้นให้เจ้าของความทรงจำชอกช้ำใจ ในฉากนี้เธอต้องแสดงเป็นน้องสาวคนเล็กของบ้านผู้สดใสและร่าเริง ซึ่งตรงกันข้ามกับสภาพจิตใจของเธอลิบลับ แต่ด้วยสปิริตนักแสดงเธอก็สามารถถ่ายทำลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อหมดคิวแสดงของตนเธอก็เก็บสัมภาระเตรียมกลับบ้าน



“คุณแชวอน เพลงประกอบละครพาสสองออกแล้วนะค่ะ นี่ค่ะเอาไปฟังดูสิ” ทีมงานสาวคนเดิมนำซีดีเพลงประกอบละครมาให้เธอ เธอจึงรับไว้และตรงไปขึ้นรถของตน เมื่อกลับมายังคอนโดเธอจึงเปิดซีดีแผ่นนั้นฟัง เพียงแค่อินโทลขึ้นเธอถึงกับหยุดชะงักและพลิกดูรายชื่อเพลงด้านหลัง “If you love me” ดั่งสวรรค์กลั่นแกล้ง ไม่ใช่แค่ใช้ในฉากนั้นฉากเดียว หากแต่มันคือเพลงประกอบละครของเรื่องนี้ นี่เธอต้องทนฟังเพลงนี้ตลอดการถ่ายทำเลยหรือ ร่างบางทรุดลงข้างๆเครื่องเสียงอย่างหมดแรง หยดน้ำตาของเธอรินไหลจากดวงตาที่เหนื่อยล้า เพราะหากไม่ได้เข้าฉากเธอก็จะแอบไปร้องไห้คนเดียวอยู่เสมอ นี่คงเป็นหนึ่งสาเหตุว่าทำไมใบหน้าของเธอจึงเหมือนคนป่วยทั้งที่บทที่ได้ นั้นสดใสร่าเริง





ร่างเล็กเหม่อมองทิวทัศน์ยามราตรีผ่านระเบียง บ้านมุมโปรดอย่างเงียบเหงา ภาพความทรงจำเก่าๆยังคงฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มุมนี้ที่เธอคนนั้นชอบ มุมนั้นที่เธอคนนั้นผ่าน ที่ที่ทั้งสองสนุกสนานกัน ยังคงซ้ำเติมรอยแผลในใจให้มันไม่มีวันหาย



“พี่ชันค่ะ มาอยู่นี่เอง” เสียงหวานของหญิงสาวในชุดคลุมท้องดังขึ้น



“อ้าวยองชิ ยังไม่นอนอีกหรอเรา” ร่างเล็กหันไปตามเสียงทัก



“นอนไม่หลับเลยละค่ะ มันหนัก ยังกะโดนยักษ์ทับแน่ะ” หญิงสาวกล่าวพลางจับไปที่ท้องโย้ๆของตัวเอง



“ฮ่าๆๆ ยักษ์ที่ว่าน่ะ มันลูกชายพี่นะ” อัญชันกล่าวพลางหัวเราะ



“อะไรกันล่ะ ใช่ลูกพี่ที่ไหนลูกของฉันกับพี่แทยังต่างหาก” ลีฮอนคยองแย้ง



“ก็ เจ้านั่นมันฝากให้พี่ทำหน้าที่แทนมันนี่ เพราะงั้นพี่ก็เหมือนพ่อของเจ้าตัวเล็กนี่ เอ๊ะหรืออยากให้พี่ทำหน้าที่สามีด้วยล่ะ แต่แบบนั้นเห็นทีพี่คงทำไม่ได้หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ” อัญชันเหย้าให้หญิงสาวเขินอาย เธอจึงตีร่างเล็กไปหนึ่งที



“เดี๋ยวเถอะ จะฟ้องพี่แทยัง…..โอ๊ะ!” หญิงสาวค้อนก่อนจะอุทานออกมาเมื่อถูกลูกในท้องเตะ อัญชันจึงก้มลงไปแนบหูกับท้องของเธอ



“แทยอง รีบๆออกมาเล่นกับอาเร็วๆนะ อาเหงามากๆเลย” อัญชันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้า





ณ ร้านอาหารเนื้อย่างแห่งหนึ่ง เหล่าทีมงานละครพรีเรียตสุดฮิตกำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนานหลังจากตรากตรำ ทำงานกันมาแรมปี ทีมนักแสดงนำร่วมกันเป่าเค้กฉลองพร้อมช่วยกันตัดแบ่งให้กับทีมงาน จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันอย่างออกรส ต่างพูดถึงช่วงเวลาถ่ายทำที่ยากลำบากทั้งสภาพอากาศ คิวแสดงที่แน่นเอียดและฤทธิ์เดชของใครบางคน



“ในที่สุดพวกเราก็พ้น ทุกข์กันสักที ฉันละเข็ดแล้ว ดูสิเนี่ยขนาดงานปิดกล้อง ชียังบังคับคนทั้งกองมาตามเวลาที่ชีกำหนด ดีนะนี่แค่ปาร์ตี้ภายใน ยังมีงานปิดกล้องอย่างเป็นทางการที่ต้องเชิญสื่อมวลชนมาร่วมด้วยในสัปดาห์ หน้านี้อีก ฉันละหวั่นใจจริงๆว่าชีจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก” หญิงร่างท้วมผู้จัดการกองถ่ายกล่าวพร้อมกระดกโซจูกับลูกทีม



“คงไม่ มั้งค่ะผู้จัดการ ถ้าเป็นต่อหน้าสื่อชีแอ๊บได้เนียนตลอดละค่ะ เฮ้อ...แต่ใครจะรู้บ้างหน้อ ว่าเบื้องหลังอย่างเราๆต้องเจออะไรมั่ง” ผู้ช่วยคนสนิทกล่าว



“แล้วเจออะไรบ้างล่ะ?” เสียงฮันฮโยจูถามขึ้นด้านหลังของผู้ช่วย เธอถึงกลับหน้าซีดรีบหันกลับไปมองเจ้าของเสียง



“ฉัน มาชนแก้วฉลองค่ะ คุณผู้จัดการ” ร่างโปร่งกล่าวพร้อมยื่นแก้วไปหาผู้จัดการร่างท้วม หญิงร่างท้วมจึงชนแก้วกับเธออย่างเสียไม่ได้ด้วยใบหน้าขาดเลือด



“เอา ล่ะ ฉันขอตัวกลับก่อน สนุกกันให้เต็มที่นะค่ะทุกคน ในเมื่อฉันเป็นคนเลื่อนงานให้มาจัดวันนี้ เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายวันนี้ฉันจะเป็นคนออกเองทั้งหมด บายค่ะ” ร่างโปร่งกล่าวกลางห้องพร้อมเดินฝ่าทีมงานออกไป สร้างความแปลกใจให้ทุกคนไม่น้อยที่คนอย่างฮันฮโยจูจะมีสปิริตกับเขาด้วย ร่างโปร่งเดินออกมายังหน้าร้านพร้อมกดมือถือโทรไปยังคนที่เธอบอกให้มารับ หากแต่พบเข้ากับร่างสูงเสียก่อน



“เลิกแล้วหรอ?” จินโฮถาม เขาเดินเข้ามาหาเธอพร้อมลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ ดอกไม้ที่เธอชอบ เขายื่นมันให้เธอ ทันใดนั้นรถสปอร์ตสีดำคันงามก็มาจอดหน้าร้าน ชายหนุ่มหน้าสวยก้าวลงจากรถอย่างสง่างามพร้อมกุหลาบแดงช่อโตและริบบิ้นสะดุด ตา



“ยินดีด้วยนะฮโยจู ในที่สุดก็ถ่ายเสร็จ” เขากล่าวพร้อมยื่นช่อดอกกุหลาบให้เธอ เธอยิ้มรับหน้าบานตัดหน้าจินโฮอย่างจงใจ



“ขอบคุณค่ะ พี่แจจุง” เธอพูดเสียงหวาน



“เรา จะไปกันหรือยังจ๊ะ พี่จองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว” ไอด้อลชื่อดังคิมแจจุงผู้เคยแสดงร่วมกับเธอในภาพยนตร์รักโรแมนติกที่โด่งดัง ไปทั่วเอเชียกล่าวพร้อมยื่นแขนให้เธอควง ร่างโปร่งคล้องแขนชายหนุ่มหน้าสวยอย่างยินดีและเดินขึ้นรถไปพร้อมเขา เหลือเพียงร่างสูงที่ยืนมองทั้งสองจากไปด้วยอาการช็อคและสับสน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะปฏิเสธเขา ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังไปกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้ แม้จะบอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกผิดหวังแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอก ไม่ถูก ร่างสูงนึกถึงคำพูดของฮโยจูที่พูดกับเขาเมื่อวาน



“ฉันต้องตัดพี่ออกไป ฉันจะเป็นฮันฮโยจู ผู้หญิงที่เพอเฟ็คด้วยตัวของเธอเอง”



“นี่ เธอ....เอาจริงหรือเนี่ย?” จินโฮพึมพำกับตัวเองพร้อมมองตามรถของแจจุงด้วยสายตาเศร้าสร้อย เขาคงเสียเพชรในมือที่เขาไม่เคยเห็นคุณค่าไปเสียแล้ว ร่างสูงหวนคำนึงถึงอดีตตั้งแต่ที่เขาพบฮันฮโยจูครั้งแรกในโรงเรียนมัธยม เธอนั้นงดงามและสดใส เธอเดินเข้ามาหาเขาและบอกให้เขาคบกับเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน หากแต่ตอนนั้นเขายังไม่สนใจในความรักเขาจึงปฏิเสธเธออย่างไม่ใยดี แต่เธอก็ไม่เคยละความพยายาม เธอหาโอกาสหรือแม้กระทั้งสร้างโอกาสเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเขาเสมอและมา คอยกวนอารมณ์ของเขาตลอดเวลา จากที่ไม่คิดจะสนใจเขาก็เริ่มเอ็นดูเธอในฐานะน้องสาวจอมเอาแต่ใจ จนเวลาผ่านไปตอนนี้เขารู้แล้วว่าเธอสำคัญต่อเขาเพียงไร



“ฮโยจู ใส่แว่นทำไมน่ะ? นี่มันในรถนะแล้วก็มืดมากแล้วด้วย” แจจุงถามขึ้นเมื่อเห็นร่างโปร่งสวมแว่นตาดำ



“....ขับ รถไปเถอะค่ะ” เธอตอบเสียงเข้มทำให้เขาไม่กล้าถามต่อ ร่างโปร่งปกปิดหยดน้ำตาของเธอด้วยแว่นดำอีกครั้ง ทั้งที่เธอพยายามจะไม่ร้องไห้แต่น้ำตามันก็ไม่ยอมฟัง ร่างโปร่งจึงทำอะไรไม่ได้ได้แต่ปล่อยให้มันรินไหลอยู่อย่างนั้น ก่อนจะบอกให้สารถีผู้เกรงกลัวเธอขับไปส่งที่คอนโดแทนร้านอาหารที่เคยตกลงกัน ไว้





แม้เวลาจะผ่านไปร่างที่ไร้หัวใจของทั้งสี่ก็ยังคงทำงานไป อย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อไม่ให้สมองมีเวลาว่างคิดถึงใครคนนั้นที่ตัวเองไม่เคยลืมเลือนได้ เลยแม้เสี่ยววินาที พวกเขาพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ หากแต่ยิ่งพยายามมันก็ยิ่งเจ็บปวด



จินโฮโหมงานเปิดตัวดาราหน้าใหม่ ของบริษัทอย่างหนักรวมถึงเดินทางไปดูงานต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักทำให้เขาไม่เผลอคิดถึงเสียงแว๊ดๆของน้องสาวตัวป่วนที่ตั้งแต่ นั้นก็ไม่โผล่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย ชีวิตที่ดำเนินไปโดยไร้เงาของหญิงสาวร่างโปร่งที่เคยเดินตามต้อยๆ ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตขาดหายอะไรไป



“คุณปาร์คค่ะ เอกสารให้เซ็นค่ะ” เลขาของจินโฮเดินเข้ามาพร้อมเอกสาร เขาหยิบมาเปิดอ่านรายละเอียด ทำให้หวนคิดถึงอดีตอีกครั้ง



“นี่เอกสารสัญญา 1 ปี ได้ 50 ล้านวอนเป็นค่ากินเปล่า เธอคงจะพอใจนะ” จินโฮยื่นเอกสารให้ดาราสาวฮันฮโยจู



“เงิน กินเปล่านะ ฉันไม่ต้องการหรอก พี่ก็แค่เป็นแฟนกับฉัน ฉันก็จะเซ็นสัญญากับบริษัทของพี่ตลอดชีวิตเลย” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเลห์




“คุณปาร์คค่ะ?” เลขาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายของเธอมองเอกสารอย่างเหม่อลอย จินโฮจึงรู้สึกตัว



“เอาไว้เดี๋ยวบ่ายๆผมจะเข้ามาเซ็น” ร่างสูงลุกออกจากห้องทำงานไปอย่างหัวเสีย





“เอา ล่ะค่ะ วันนี้ถ่ายพอแล้ว คุณฮโยจูไปพักผ่อนได้แล้วค่ะ” ทีมงานกองถ่ายภาพยนตร์โฆษณาการท่องเที่ยวของประเทศแทบตะวันตกประเทศหนึ่งบอก กับดาราสาว เธอจึงตรงเข้าโรงแรมที่พักของตนทันทีหลังจากต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มหน้ากล้อง มาทั้งวัน



“อ้าว! คุณฮโยจูไม่ล้างเครื่องสำอางก่อนหรือค่ะ” ทีมงานคนหนึ่งร้องเรียกหากแต่ร่างโปร่งก็เดินลิ่วๆไปเสียแล้ว หลังจากเข้ามาในห้องร่างโปร่งนั่งลงอย่างหมดแรงที่โซฟา ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างเครื่องสำอางออก เธอมองใบหน้าของตัวเองในกระจก ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลลงอาบแก้มเพราะภาพในอดีตย้อนมาให้เจ็บช้ำ



“จะแต่งหน้าเข้มๆไปทำไม” ร่างสูงถามขึ้นหลังนั่งรอดาราสาวฮันฮโยจูแต่งหน้ามานาน



“นี่ มันงานประกาศรางวัลนะ กล้องนับพันจับมาที่ฉัน ฉันก็ต้องแต่งซิ เกิดถ่ายออกมาหน้าซีดเป็นศพจะทำยังไง ภาพวันนี้จะถูกโพสลงในเวบเป็นล้านๆเวบ แล้วมันก็จะอยู่บนอินเตอร์ประจานฉันไปจนชั่วนิรันดร์” ร่างโปร่งอธิบาย ทำให้ชายหนุ่มอดขำไม่ได้ถึงความวิตกจริตของเธอ เขาจึงเดินเข้าไปหาเธอและโน้มร่างไปจ้องใบหน้าของเธอใกล้ๆ



“พี่ก็ไม่ เห็นว่า ตรงไหนบนหน้าเธอมันจะไม่สวยเลย เครื่องสำอางพวกนี้มีแต่จะบดบังความงามของเธอ” เขากล่าวเสียงนุ่ม ร่างโปร่งถึงกับใจสั่น



“เร็วๆเข้าล่ะ ไม่งั้นพี่ไม่รอแล้วนะ” ร่างสูงกล่าวก่อนจะมองนาฬิกาอย่างร้อนรน




ร่าง โปร่งนึกถึงความทรงจำเก่าๆที่มีกับจินโฮ ผู้ชายที่เธอรักมาทั้งชีวิต หยดน้ำตาทำให้มาสคาร่าไหลเปื้อนแก้มขาว ก่อนที่เธอจะฟูมฟายออกมาและทรุดลงสะอึกสะอื้นข้างๆอ่างล้างหน้า





หลัง จากถ่ายทำละครครอบครัวเสร็จสิ้น ดาราสาวมุนแชวอนก็มีงานภาพยนตร์เข้ามา โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่เธอได้แสดงบนจอเงิน แต่บทที่ได้นั้นโดดเด่นกว่าภาพยนตร์เรื่องแรกมากนัก แถมยังเป็นภาพยนตร์พรีเรียต แอ็คชั่นท้าทายความสามารถของเธอที่ยังไม่เคยแสดงฉากแอ็คชั่นมาก่อน ดาราสาวจึงทุ่มเททำงานเต็มกำลัง จากนั้นไม่นานก็ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของเครื่องดื่มเกลือแร่ยี่ห้อหนึ่ง และตามมาด้วยละครพรีเรียตสุดคลาสสิคที่กล่าวขานกันว่าเป็นโรมิโอกับจูเรียต แห่งโชซอน เธอโหมงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อลบเลือนเรื่องราวของคนร่างเล็ก แต่ไม่ว่าเธอจะไปที่ใดหรือทำอะไร ก็ไม่สามารถลบเลือนเงาของร่างเล็กที่ปกคลุมหัวใจของเธอได้ ยังคงมีเงาของคนคนนั้นวิ่งวนอยู่รอบๆตัวเธอเหมือนเมื่อก่อน



“คุณแชวอนน้ำค่ะ...........ร้อนไหมค่ะเดี๋ยวฉันพัดให้........แสดงได้ดีมากเลยค่ะ........หิวไหมค่ะ..........สู้ๆนะค่ะ!” คำพูดเหล่านี้ และท่าทางกระตือรือร้นของอัญชันที่เคยอยู่ข้างๆคอยดูแลเอาใจใส่เสมอยังคงติดตรึงอยู่ในใจของร่างบาง



“แช วอน....แชวอน!” รยูซึงรยอง ดารามากฝีมือผู้เคยแสดงร่วมกับเธอในละครเรื่องยอดหญิงตำนานศิลป์ ซินยุนบกมาก่อน ร้องทักขึ้น ร่างบางจึงหลุดจากภวังค์



“คิดอะไรอยู่รึ เรา?....ว่าแต่เบอร์มือถืออะไรหรือ เดี๋ยวผมมีอะไรจะได้ติดต่อสะดวก” เขาถามพร้อมหยิบมือถือออกมาบันทึกตามคำบอกของร่างบาง



“เอ๊ะ? นี่เบอร์เก่านี่ ไม่ได้เปลี่ยนใหม่หรอกรึ? ตั้งนานแล้วนะ” เขาถามอย่างแปลกใจที่เธอยังใช้เบอร์เดิมเมื่อครั้งยังถ่ายละครเรื่องที่แล้ว ด้วยกัน



“........ฉัน....ไม่กล้าเปลี่ยนเบอร์หรอกค่ะ” เธอตอบเสียงเศร้า ยิ่งทำให้คนฟังแปลกใจเข้าไปใหญ่



“ฉัน หมายถึง ฉันไม่อยากเปลี่ยนเบอร์ใหม่นะค่ะ มันยุ่งยาก” ร่างบางตอบไม่ให้คนฟังสงสัยหากแต่ความจริงนั้นเป็นเพราะเธอกลัวว่าอัญชันจะ ไม่สามารถติดต่อกลับมาหาเธอได้หากเธอเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เธอยังหวังเสมอว่าสักวันอัญชันจะโทรกลับมาหาเธอ แต่ทุกครั้งที่มองมือถือซึ่งนอนแน่นิ่งไม่มีการตอบสนองต่อสายเรียกเข้ามันทำ ให้หัวใจเธอยิ่งเจ็บปวด เป็นเหตุให้เธอร่ำไห้อย่างปวดร้าวทุกครั้งที่มองหน้าจอว่างเปล่าบนมือถือของ ตัวเอง





“พี่ชันค่ะ พี่ชัน!” ลีฮอนคยองร้องเรียกร่างเล็กพลางเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในไซด์ก่อสร้าง ซึ่งกำลังดำเนินงานก่อสร้างรีสอรทโฮมสเตย์ในบริเวณบ้านสวนอยู่



“ยอง ชิ! เข้ามาทำไมในนี้ มันอันตราย ใกล้จะคลอดอีกไม่กี่วันนี้แล้ว” อัญชันเห็นหญิงสาวท้องแก่เดินเข้ามาก็ตกใจรีบลากเธออกมาจากบริเวณก่อสร้าง ทันที



“ฉันเอาข้าวกลางวันมาให้ค่ะพี่” เธอกล่าวเสียงอ่อนพร้อมยื่นกล่องข้าวให้ร่างเล็ก ร่างเล็กยิ้มรับหน้าระอาก่อนที่จะพากันมานั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ลีฮอนคยองเปิดกล่องข้าวที่ตนทำมาเองออก ซึ่งมีทั้งกิมจิ คิมบับ มันดู (เกี้ยวห่อ) และขนมซองเพียร อัญชันเห็นดังนั้นก็ถึงกับทำหน้าเครียดจนลีฮอนคยองแปลกใจ



“พี่ชันค่ะ? เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?” หญิงสาวถาม



“พี่ยังทำงานไม่เสร็จน่ะ ยองชิทานไปก่อนเถอะนะ” ร่างเล็กบอกก่อนจะลุกหนีไป



“อ้าว!.... แต่ฉันทำมาให้พี่นะ...” ลีฮอนคยองพูดไล่หลังแต่ไม่ทันคนตัวเล็กที่เดินจ้ำอ้าวเข้าไซด์ก่อสร้าง อัญชันคิดถึงความหลังตอนที่ทานคิมบับกับร่างบางในกองถ่ายและขนมซองเพียรที่ แดกู



“คุณอัญชันไม่ไปทานข้าวหรือครับ?” หัวหน้าคนงานที่กำลังจะเดินออกจากไซด์ไปพักทานอาหารถามขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กเดินเข้ามาในไซด์



“ฉัน..... เรียบร้อยแล้วละค่ะ พวกคุณไปทานกันเถอะ” อัญชันตอบก่อนจะเดินเข้าไปหลบมุมร้องไห้ที่ด้านหลังบ้านพักซึ่งกำลังก่อ สร้างอยู่ แม้ว่าจะพยายามทำงานหนักในการสร้างรีสอร์ทและเตรียมเปิดให้บริการ แต่ก็ยังไม่วายคิดถึงคนที่เธอจากมา



“คุณแชวอนจะเป็นยังไงบ้างนะ เธอสบายดีรึเปล่า ได้พักผ่อนบ้างไหม จะมีคนดูแลเธอไหม?” คำ ถามพวกนี้คอยวิ่งวนอยู่ในสมองร่างเล็กตลอดเวลา อยากจะโทรไปหาใจจะขาดแต่เพราะตัวเองได้ตัดสินใจจากมาแล้วจึงต้องหักห้ามใจ และอยู่อย่างฝืนทนต่อความทรงจำที่คอยกัดกินหัวใจและความคิดถึงที่ทำให้แทบลง แดงตาย เฝ้ารออย่างสิ้นหวังว่าเมื่อไหร่ความทุกข์นี้จะจางหายไป หากแต่เมื่อคิดว่าต้องลืมเธอผู้เป็นยอดดวงใจหัวใจก็ไม่ยอมปล่อยความทรงจำที่ แสนเจ็บปวดนี้ให้จางหายไป แม้ต้องเจ็บปวดเพียงใดก็จะกอดรัดความทรงจำเหล่านี้ไว้ เหมือนดั่งคนโง่ที่ไม่ยอมปล่อยมือจากดอกกุหลาบซึ่งมีหนามแหลมคมทิมตำมือของ ตนให้เจ็บสาหัส เพียงเพราะต้องการเชยชมดอกอันงดงามของมันต่อไป





หลัง จากถ่ายละครพรีเรียตเรื่องล่าสุดจบไปดาราสาวมุนแชวอนจึงขอทางต้นสังกัดพัก เธอมองหาโรงแรมและรีสอร์ทในต่างประเทศที่จะสามารถให้ดาราอย่างเธอพักผ่อนได้ สบายๆโดยไม่ต้องคำนึงถึงปาปารัซซี่ เธอค้นหาที่พักผ่านกูเกิ้ล จึงมาเจอเว็ปไซท์หนึ่งซึ่งเป็นเว็ปของรีสอร์ทโฮมสเตย์บรรยากาศบ้านสวนใน จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย ซึ่งมีผู้ดูแลเป็นคนเกาหลี และได้รับคำวิจารณ์ดีๆจากนักท่องเที่ยวที่เคยไปพัก ร่างบางมองภาพบรรยากาศของรีสอร์ทช่างคล้ายคลึงกับบ้านสวนที่เธอเคยไป หากแต่ที่นั่นไม่ได้เป็นรีสอร์ทเพียงแต่เป็นที่พักของครอบครัวเล็กๆที่เธอตก หลุมรัก เธอไม่รู้ว่าบ้านสวนนั้นอยู่ที่ไหนเพราะอัญชันเป็นคนพาเธอไป หากรู้เธอคงจะไปหาและพาคนตัวเล็กกลับมาอยู่เคียงข้างเธอดังเดิม คิดได้ดังนั้นเธอก็ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าอีกครั้ง ก่อนจะทำการจองที่พักผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยชื่อของผู้จัดการคนใหม่ของเธอ หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์เธอก็เดินทางมาที่ประเทศไทยเพียงลำพัง



“เอ๊ะแทยองไปไหนเนี่ย?” วันเพ็ญเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาหาหลานชายแต่ไม่พบ



“อ่าว? เมื่อกี้หนูวางไว้ในเปลนะค่ะ หายไปไหนเนี่ย?” ลีฮอนคยองที่กำลังแต่งตัวอยู่เดินออกมาจากห้องเมื่อได้ยินเสียงวันเพ็ญ เธอเรียนรู้ภาษาได้ไวตอนนี้จึงสามารถพูดภาษาไทยได้แล้ว



“ตายแล้ว! หลานฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!” วันเพ็ญแตกตื่นยกใหญ่ ก่อนที่ร่างเล็กจะอุ้มหลานชายคนโปรดขึ้นเรือนมา



“อยู่นี่ๆ โวยวายไปได้ แทยองยังเดินไม่ได้ จะหายไปไหนได้ละ” อัญชันบอก



“โธ่ใจหายหมดเลยค่ะ พี่ชัน เอ๊ะนี่พี่จะไปกับฉันด้วยรึค่ะ?” ลีฮอนคยองถามเมื่อสังเกตเห็นร่างเล็กแต่งกายพร้อมออกไปข้างนอก



“ก็ใช่นะซิ คิดว่าพี่จะปล่อยให้เอาลูกพี่ไปตรวจคนเดียวหรอ” ร่างเล็กตอบหน้าเป็น



“ฉันไปไม่นานหรอกค่ะ แค่ตรวจพัฒนาการตามหมอนัดเท่านั้นเอง” ลีฮอนคยองแย้ง



“ถ้าไม่นานก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เดี๋ยวรีบไปรีบกลับกันก็ได้” อัญชันยังดื้อไม่ฟังคำแย้ง



“แต่ วันนี้ลูกค้าที่จองไว้จะมาเช็คอินท์นะค่ะ เป็นคนเกาหลีด้วย ถ้าฉันกับพี่ไม่อยู่พร้อมกันแบบนี้ก็แย่ซิค่ะ” ลีฮอนคยองยังไม่ลดความพยายาม



“ไม่ต้องห่วงหรอก แม่เค้าก็พูดได้แล้ว ไหนพูดซิแม่!” อัญชันส่งต่อมุกทันที



“อา รัด ซอ (เข้าใจแล้ว)” วันเพ็ญรีบรับมุกทันที แต่ความจริงนั้นตัวเองพูดเป็นแค่ไม่กี่คำแถมยังฟังไม่เข้าใจเลยสักคำ ในรีสอร์ทนี้คนที่พูดเกาหลีได้รู้เรื่องมีลีฮอนคยองและอัญชันซึ่งเรียนภาษา เกาหลีกับเธอจนพูดได้เพียงสองคนเท่านั้น เมื่อเห็นแม่ลูกรับส่งมุกกันเป็นปีเป็นขลุ่ยลีฮอนคยองจึงหมดแรงที่จะทัดทาน จึงต้องยอมให้กับคนตัวเล็ก



“เถิดเดี๋ยวเอารถตู้ไปรับลูกค้าที่สนาม บินนะ ทำเหมือนที่ไปกับฉันนั่นละ ชูป้ายชื่อให้สูงๆเข้าใจไหม เดี๋ยวลูกค้าไม่เห็น ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอด ฝากด้วยนะ” อัญชันฝากฝังกับคนงานก่อนจะขับรถพาลีฮอนคยองและลูกไปหาหมอ



ไม่นานรถ ตู้สีขาวที่ออกไปรับลูกค้ายังสนามบินสุวรรณภูมิก็แล่นเข้ามาในบ้านสวน ทิวทัศน์ที่คุ้นตาทำให้ร่างบางรู้สึกสงสัย เธอจึงพยายามมองผ่านกระจกรถไปตลอดทางเข้าจนรถมาจอดยังหน้ารีสอร์ท ร่างบางก้าวลงมาด้วยความแปลกใจ แม้จะมีสิ่งปลูกสร้างแปลกตาแต่ทิวทัศน์ของที่นี่ยังเหมือนเดิม ที่นี่คือบ้านสวนของอัญชันไม่ผิดแน่



“อ้าวเถิดลูกค้ามาแล้วหรอ เวลคัม เวลคัม!” วันเพ็ญรีบออกมาต้อนรับลูกค้าทันที แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบเข้ากับร่างบาง



“อ้าว! หนูจันทร์เป็นไงมาไงละเนี่ย โอ้ยไม่ได้เจอกันนานเลย!” วันเพ็ญรีบเข้าไปลูบหน้าลูบหลังร่างบางทันที เธอจึงยกมือไหว้ตามแบบไทย



“ขึ้น บ้านก่อนๆ” วันเพ็ญชักชวนให้ร่างบางขึ้นเรือนด้วยท่าทาง เธอจึงเดินตามอย่างว่าง่าย ทั้งสองนั่งคุยกันคนละภาษาอยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงรถของอัญชันขับเข้ามาจอด ร่างบางจึงลงจากเรือนมาด้วยหัวใจพองโตที่จะได้พบคนที่เฝ้าคิดถึง หากแต่ภาพที่เห็นกลับเป็นภาพที่คนตัวเล็กเดินประคบประหงมหญิงสาวกับเด็ก ทารกอยู่



“ความจริงพี่ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้นะค่ะเนี่ย” ลีฮอนคยองกล่าว



“ได้ ไงล่ะ พี่เป็นพ่อก็ต้องดูแลลูกและแม่ของลูกพี่สิ” อัญชันตอบทะเล้นให้ลีฮอนคยองเขินจนต้องทุบคนตัวเล็กไปหนึ่งที ก่อนจะสังเกตเห็นร่างบางของมุนแชวอน



“เอ๊ะใครกันค่ะนั่น?” ลีฮอนคยองถามขึ้น อัญชันจึงหันไปมอง ร่างเล็กถึงกับตกตะลึงตาค้างยืนตัวแข็งทื่อ



“คุญแชวอน...?” อัญชันทักอย่างแปลกใจ



“เจอ กันแล้วใช่ไหม นี่หนูจันทร์เพื่อนของชันมัน ลูกค้าที่จองวันนี้นะเป็นหนูจันทร์เอง....อุ้ยตายหลานย่ามาแล้ว” วันเพ็ญเดินลงจากเรือนพร้อมแนะนำร่างบาง ก่อนจะเดินเข้าไปอุ้มหลานชายสุดที่รักขึ้นเรือนไป ลีฮอนคยองมองท่าทางของอัญชันและแชวอนที่ต่างก็ทำหน้าไม่ถูก จึงพอจะเข้าใจว่าผู้มาเยือนคนนี้เป็นใครและมีความสัมพันธ์ยังไงกับอัญชัน



“โลก กลมจริงๆเลย ที่แท้คุณก็เป็นเพื่อนกับพี่ชัน เอ๊ะยังงี้ จะให้คุณ.....ชื่ออะไรนะค่ะ?” ลีฮอนคยองเปิดบทสนทนาขึ้น ก่อนจะฉีกหน้าด้วยการจำชื่อของร่างบางไม่ได้



“.....ฉันมุนแชวอนค่ะ” ร่างบางตอบอย่างเสียไม่ได้



“ยังงี้จะให้คุณมุนแชวอน พักกับเราบนเรือนดีไหมค่ะพี่ชัน?” ลีฮอนคยองถาม



“อย่า เลย....เดี๋ยวคุณแชวอนจะอึดอัด ให้เขาพักที่รีสอร์ทนั่นแหละ พี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะ” อัญชันตอบก่อนจะปลีกตัวไป ร่างบางได้แต่มองตามอย่างอาวรณ์



“เชิญทางนี้ค่ะ คุณมุนแชวอน” ลีฮอนคยองเรียกร่างบางด้วยใบหน้าแสร้งยิ้ม จากนั้นจึงเดินนำเธอไปยังรีสอร์ทที่ได้จองไว้