เช้าต่อมาที่อากาศปลอดโปร่ง แดดอ่อนๆจากดวงอาทิตย์กำลังทอแสงมายังห้องพักห้องหนึ่งในรีสอร์ท ที่ตอนนี้กำลังปั่นป่วนจากการหายตัวไปอย่างลึกลับของดาราสาว มุนแชวอน
“กรี๊ดดดดดดดดดดด นี่มันเกิดอะไรขึ้น เพื่อนฉันอยู่ไหน เสื้อผ้า กระเป๋า สัมภาระต่างๆก็หายไปหมด!” ฮโยจูตะโกนโวยวายเสียงแปดหลอดลั่นรีสอร์ท สร้างความแตกตื่นให้กับแขกที่มาพักห้องอื่นๆ และเพียงไม่นานคนจากเรือนใหญ่ก็รีบตามมาสมทบยังที่เกิดเหตุ
“เกิดอะไรขึ้นหรอค่ะ?!” อัญชันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาถาม
“แชวอน แชวอน.....หายตัวไป!” ร่างโปร่งบอกตะกุกตะกักด้วยพยายามควบคุมสติ ร่างเล็กที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าเสีย
“เธอไม่ได้หายไปไหน แค่กลับบ้านเท่านั้นละ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปทางเขา เป็นเอื้อเฟื้อนั่นเองที่เดินมาพร้อมภรรยาและลูก
“แก.....แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ร่างเล็กถามด้วยความแปลกใจ
“ฉันกลับมาเมื่อคืน....พอดีกับตอนที่คุณแชวอนกำลังจะออกจากรีสอร์ท ฉันก็เลยให้รถแท็กซี่ที่ฉันนั่งมา ไปส่งเธอที่สนามบิน” เอื้อเฟื้อตอบด้วยภาษาเกาหลีเพื่อให้ฮโยจูและจินโฮเข้าใจทั่วกันด้วยอาการไม่ยี่หระ
“นี่นายเป็นใครกันเนี่ย นายทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า ยัยเตี้ยหมอนี่มันใครกัน?” ร่างโปร่งถึงกับเดือดดานกับคำตอบและท่าทางที่ได้รับจากชายแปลกหน้า อัญชันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“เพื่อนของฉันเองค่ะ เขาเป็น....สามีของยองชิ” ร่างเล็กตอบ ร่างโปร่งถึงกับอ้าปากค้างที่ได้รู้ว่าศัตรูหัวใจของเพื่อนสาวนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว จึงรีบหันไปเหวี่ยงใส่ลีฮอนคยองทันที
“นี่หล่อน มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วมาทำเป็นหมาหวงก้างยัยเตี้ยอยู่ทำไมย่ะ ดูซิเนี่ยเพื่อนฉันเข้าใจผิดหนีตะเลิดไปแล้ว!” ร่างโปร่งระเบิดอารมณ์ใส่ลีฮอนคยองอย่างไม่ยั้ง
“ถ้าห่วงเพื่อนมากขนาดนั้น ทำไมไม่นอนเฝ้าไว้ละ ปล่อยให้หนีกลับไปตอนกลางดึกได้ยังไง” หญิงสาวโต้กลับอย่างไม่น้อยหน้า เล่นเอาร่างโปร่งพูดไม่ออกและลามไปถึงจินโฮซึ่งคอยห้ามทัพอยู่ข้างๆได้หนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน
“นั่นสิค่ะ....คุณไม่ทราบหรือค่ะว่าคุณแชวอนออกไปตอนไหน?” ร่างเล็กถามอย่างฉงนด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมฮโยจูซึ่งนอนร่วมห้องกับแชวอนจึงไม่ทราบว่าเพื่อนของตนหายตัวไปทั้งคืน
“เอ่อ.....ฉัน....ฉันออกไปเดินเล่น” ร่างโปร่งตอบอย่างมีพิรุธที่สุด
“ทั้งคืนเลยหรอค่ะ?” ร่างเล็กซัก
“นี่หล่อนจะถามอะไรนักหนา ...เอาเป็นว่าเมื่อคืนฉันไม่ได้นอนห้องนี้ เลยไม่รู้ว่าแชวอนออกไปตอนไหน...เข้าใจ๋?” ร่างโปร่งตอบเหวี่ยงๆและหลบตาด้วยความเขินอาย ไม่ต่างกับจินโฮที่ยืนเกาศรีษะหัวเราะแฮะๆอยู่ข้างๆ จึงทำให้ทุกคนถึงบางอ้อว่าพวกเขาพากันไปเดินเล่นที่ไหนมาทั้งคืน หลังจากความจริงกระจ่างและความเขินอายเริ่มจางไป ฮโยจูจึงพาทุกคนกลับเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้ง
“แล้วแบบนี้เธอจะทำยังไง นี่เธอจะโกรธอะไรกันนักกันหนา ดูซิเพื่อนฉันหนีตะเลิดไปแล้วเนี่ย” ร่างโปร่งโวยใส่ร่างเล็ก อัญชันจึงนิ่งเงียบอย่างครุ่นคิด
“ก็ไม่ยังไงนี่ค่ะ เธอคงหมดธุระกับที่นี่แล้ว ถึงได้จากไป ก็เท่านั้น” ร่างเล็กตอบน้ำเสียงเรียบ หากแต่สร้างความขุ่นใจให้คนฟังอย่าง ฮันโฮยจู ถึงกับเข้าไปกระชากคอเสื้อคนพูด
“นี่เธอพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง! เธอรู้ไหมว่าเพื่อนฉันรักเธอมากแค่ไหน ยัยนั่นร้องไห้และทุกข์ใจเพราะเธอมาตั้งเท่าไหร่แล้ว!” ร่างโปร่งตะคอกใส่หน้าคนใจดำที่ไม่ใยดีเพื่อนสาวของเธอ จินโฮจึงต้องรีบเข้าไปดึงฮโยจูเอาไว้ และให้เอื้อเฟื้อกับลีฮอนคยองพาตัวอัญชันไปให้พ้นๆ
หลังหลบพายุอารมณ์ของฮันฮโยจูขึ้นมาบนเรือนใหญ่ อัญชันก็เอาแต่นั่งหน้าเครียด โดยมีสายตาของเอื้อเฟื้อสังเกตการณ์เพื่อนสาวของเขาอยู่ไม่ไกล
“ไอ้ชันเอ้ย” เขารำพึงกับตนเอง
“เราควรจะทำยังไงกันดีละค่ะพี่ ฉันไม่อยากเห็นพี่ชันเป็นแบบนี้อีกต่อไปแล้ว” ลีฮอนคยองเอ่ยถามสามีอย่างจนปัญญา
“แล้วยองชิคิดว่ายังไงล่ะ?” เอื้อเฟื้อหันกลับไปถามผู้เป็นภรรยาอย่างเอ็นดู
“ฉัน.....ฉันก็ไม่ได้ชอบอะไรคุณแชวอนเขานักหรอกนะค่ะ ยิ่งรู้ว่าเคยทำให้พี่ชันเจ็บแบบนั้นมาแล้ว ฉันบอกตามตรงว่าไม่อยากให้พี่ชันกลับไปหาเขาเลย แต่......ฉันก็คิดว่า มันคงจะดีกว่าที่พี่ชันต้องเป็นแบบนี้ การต้องแยกจากคนที่เรารักมันทรมานมากนะค่ะ” หญิงสาวตอบน้ำตาคลอ ทำให้ผู้เป็นสามีต้องเข้าไปปลอบประโลมเธอไว้เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน ก่อนจะกอดเธออย่างแนบแน่นยิ่งขึ้น ในขณะที่สวมกอดภรรยาเขาก็ตัดสินใจบางอย่างซึ่งจะยุติเรื่องทั้งหมดนี้
“ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันจะไปฆ่ามัน มันทำกับเพื่อนฉันแบบนี้ได้ยังไง!” ฮันฮโยจูยังคงไม่เลิกอาละวาด
“ใจเย็นๆ ฮโยจู มันเป็นการตัดสินใจของพวกเขา ถ้าผลมันจะออกมาแบบนี้ เราก็ต้องยอมรับมัน” จินโฮพูดเตือนสติ
“ฉันไม่ยอม ฉันจะเอาเรื่องยัยเตี้ยนั่นให้ถึงที่สุด!” ร่างโปร่งยังคงฟาดงวงฟาดงา
“ฮโยจู!” จินโฮเหลืออดจึงตะหวาดเข้าให้ ทำให้ร่างโปร่งได้สติและสังเกตเห็นร่างสูงย่นหน้าผากด้วยความไม่ชอบใจต่อท่าทีดื้อรั้นนั้น เธอจึงรีบสำรวมท่าทีทันทีด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาหมดรักเธอ
“ก็ฉัน...ฉันไม่อยากให้มันจบแบบนี้นี่....พี่ไม่เห็นตอนที่แชวอนร้องไห้หรอ ยัยนั่นนะเอาแต่ร้องๆๆๆ ฉันที่เป็นเพื่อนกลับช่วยอะไรไม่ได้ มันน่าเจ็บใจมากรู้ไหม ฮื่อๆๆๆ” ร่างโปร่งพูดเสียงอ่อนก่อนจะสะอื้นไห้ด้วยความสงสารเพื่อนจับใจ ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปกอดปลอบแฟนสาวจอมโวยวายผู้แสนดีของเขาไว้อย่างเอ็นดู เพราะเธอเป็นคนแบบนี้นะซิเขาจึงทำเฉยต่อเธอไม่ได้เสียที แม้จะแสดงอาการก้าวร้าวแต่ภายในใจกลับใสสะอาดเสียกว่าคนที่แสดงท่าทีสุภาพเสียอีก
ตกเย็นหลังจากติดต่อกับดาราสาว มุนแชวอนได้ จินโฮและฮโยจูจึงตัดสินใจเดินทางกลับเกาหลีทันที หากแต่ก่อนที่พวกเขาจะกลับ ร่างโปร่งก็ได้ทิ้งคำพูดไว้ให้อัญชันขบคิด
“แม้เธอจะไม่เหลือความรู้สึกใดๆต่อเพื่อนฉันอีกแล้ว แต่ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่า “ความสุขอย่างที่สุด” (Happiness) ของแชวอนนั้น ไม่มีใครอีกแล้วที่จะให้แชวอนได้ นอกจากเธอ”
คำพูดของร่างโปร่งยังคงดังก้องอยู่ในหัวของอัญชัน แม้ในขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารค่ำกันอยู่ ร่างเล็กได้แต่เขี่ยข้าวในจานของตนไปมา โดยมีสายตาของทุกคนจ้องมอง
“เอาล่ะ ดูเหมือนทุกคนน่าจะอิ่มกินแล้วนะ” วันเพ็ญเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนทานอาหารกันมาได้พักใหญ่แล้ว
“ชัน...ชันเอ้ยชัน” เธอตะโกนเรียกลูกสาวที่ยังคงนั่งเหม่อลอยด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ร่างเล็กหลุดจากภวังค์
“ใจลอยไปไหนล่ะเรา?” ลุงพวงซึ่งถือโอกาสมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย เพื่อเป็นการต้อนรับลูกชายของตนกลับมา พูดเหย้าขึ้นให้ร่างเล็กยิ้มหน้าเจื่อน
“มีอะไรหรือแม่?” ร่างเล็กถาม
“แม่น่ะไม่มี แต่แกซิ มีอะไรรึเปล่า?” วันเพ็ญถามกลับ ร่างเล็กได้แต่ทำหน้าฉงนด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่แม่ของตนสื่อ
“ชัน...แกเคยบอกแม่ใช่ไหม ว่าอยากเป็นเหมือนพ่อ เป็นคนเด็ดเดี่ยวจริงจัง?” วันเพ็ญถามต่อ
“จ๊ะ...?” อัญชันตอบอย่างงงๆ
“แล้วทำไมแกผิดคำพูด?” วันเพ็ญกล่าวเสียงเข้มพร้อมจ้องมองไปยังใบหน้าฉงนนั้น มาถึงจุดนี้ร่างเล็กยิ่งเดาไม่ออกว่าแม่ของตนพูดถึงอะไร หากแต่ดูเหมือนว่าคนทั้งโต๊ะจะเข้าใจเป็นอย่างดี
“พ่อแกน่ะ...เขาไม่มีวันปล่อยคนที่เขารักไปแบบนี้หรอกนะ” วันเพ็ญพูดพร้อมจ้องเขม็งไปยังดวงตากลมใสที่บัดนี้เบิกกว้างเมื่อเข้าใจในความหมายที่แม่ของตนสื่อ
“แม่....แม่รู้ได้ยังไง?” ร่างเล็กถามเสียงพร่า เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าความรู้สึกที่ปกปิดผู้เป็นแม่มาตลอดจะถูกจับได้
“เพราะแม่ฉลาดไง” วันเพ็ญยังคงติดตลกให้บรรยากาศบนโต๊ะผ่อนคลายก่อนจะเฉลย
“ทุกคนบอกแม่หมดแล้ว แต่จริงๆก็เป็นเพราะความฉลาดของแม่ด้วยละนะ....แม่น่ะดูออกตั้งแต่ครั้งแรกที่แกพาหนูจันทร์เขามาที่นี่แล้ว แม่รู้ว่าเธอต้องเป็นคนพิเศษแน่ๆ แต่ก็...เกินคาดไปหน่อยที่พิเศษถึงขนาดนี้” วันเพ็ญอธิบายเรื่องโดยไม่ทิ้งอารมณ์ขันให้ทั้งโต๊ะได้หัวเราะกับมุกเล็กๆที่เธอปล่อย หากแต่มีเพียงอัญชันที่ยังยิ้มหน้าเจื่อนนั่งร้อนๆหนาวๆ ด้วยกลัวว่าจะถูกผู้เป็นแม่ตำหนิที่ตนมีความรู้สึกรักใคร่ในเพศเดียวกัน
“แล้ว...แม่ไม่ว่าอะไรฉันหรอ ที่ฉัน....” ร่างเล็กถามเสียงอ่อนพลางก้มหน้างุด
“ว่าซิว่ะ...แกทำแบบนี้ได้ยังไง ทำไมแกถึงเป็นคนแบบนื้ แม่ไม่เคยเลี้ยงให้แกเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้เลยนะ!” วันเพ็ญเอ็ดขึ้นเสียงแข็ง ก่อนจะลงท้ายให้คนฟังมองกลับตาแป๋วด้วยไม่เชื่อหูตัวเอง
“รักเขาใช่ไหม? แล้วทำไมปล่อยเขาไป?” วันเพ็ญถามจริงจัง อัญชันได้แต่ถอนหายใจและยิ้มอย่างขมขื่น
“ก็ความรักมันไม่ใช่ทุกสิ่งนี่แม่” ร่างเล็กตอบอย่างถอดใจ
“แต่มันก็เป็นทุกอย่าง เพราะเมื่อไม่มีความรัก เราก็จะไม่มีอะไรเลย....นี่เป็นคำพูดของพ่อแก คนโง่ที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอยู่กับแม่ คนที่แกอยากเป็นอย่างเขาไงล่ะ” วันเพ็ญกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พลางมองลูกสาวด้วยความเอ็นดูและลูบศีรษะน้อยๆนั้น ร่างเล็กมองดูผู้เป็นมารดาอย่างเหลือเชื่อ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้เป็นแม่จะมารับรู้เรื่องรักๆใคร่ๆของเธอ และไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะได้รับความเห็นชอบ
“แต่ว่า...ฉันรับปากพ่อไว้แล้วว่าฉันจะดูแลแม่” อัญชันพูดด้วยท่าทีเป็นกังวล
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ คราวนี้น่ะ ถึงตาฉันแล้ว แกไม่ต้องห่วงหรอก เพราะเขาก็เป็นครอบครัวของฉันเหมือนกัน” เอื้อเฟื้อกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมตบเบาๆไปที่ไหล่ของเพื่อนสาวเป็นการให้สัญญา
“ลุงก็จะช่วยอีกแรง” ลุงพวงกล่าวสมทบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ฉันด้วยจ๊ะ” ลีฮอนคยองกล่าวเสียงแหลมขึ้นด้วยกลัวน้อยหน้า ร่างเล็กยิ้มรับความปรารถนาดีและความรักที่ทุกคนมอบให้อย่างเต็มหัวใจพร้อมหยดน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง
“อะไรกัน อะไรกัน นี่เห็นฉันเป็นคนแก่ ที่ต้องให้คนมากมายขนาดนี้มาดูแลเลยหรอห่ะ ฉันน่ะยังสาวอยู่นะเว้ย!” วันเพ็ญโพล่งขึ้นให้ทั้งโต๊ะหัวเราะงอหายและต่างสบตากันเป็นการให้คำมั่นสัญญา บรรยากาศยามค่ำที่ลมพัดมาอ่อนๆริมระเบียงบนเรือนใหญ่ ช่างเป็นคืนที่สุดวิเศษเมื่อความรักของทุกคนถูกเฉลยให้ผู้ถูกรักซึมซาบมันจนชุ่มช่ำหัวใจ ไม่มีสิ่งใดที่เราจะทำให้แก่ผู้เป็นที่รักไม่ได้ และไม่ว่าความรักจะเป็นแบบไหน มันก็ยังจะเป็นความรักอยู่วันยันค่ำ เพราะความรักคือความปรารถนา คือความรู้สึก คือการกระทำ เพื่อให้ผู้เป็นที่รักมีแต่ความสุข
ภายหลังจากที่ดาราสาว มุนแชวอน กลับมาได้สองอาทิตย์ งานแฟนมีทติ้งครั้งที่ 3 ก็ได้ถูกจัดขึ้นตามกำหนด แฟนคลับแต่ละคนต่างตั้งตารอวันนี้มาแรมเดือน
“คุณแชวอนค่ะ อีกห้านาทีงานจะเริ่มแล้วนะค่ะ” ทีมงานคนหนึ่งเดินมาบอกกับร่างบางในห้องแต่งตัวเพื่อให้เธอเตรียมพร้อม ก่อนที่เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือของเธอจะดังขึ้น
“วอนอา ไฟติ้ง ไฟติ้ง ^^” เพื่อนสาวร่างโปร่งของเธอนั่นเองที่ส่งข้อความมาให้กำลังใจ หลังจากเหตุการณ์ใจสลายที่เธอได้พบ ก็มีเพียงฮันฮโยจูและบรรดาแฟนคลับเท่านั้น ที่จะทำให้หัวใจอันชอกช้ำของเธอมีแรงสูบฉีดเลือดให้ร่างกายยังคงขยับต่อไป หากไม่มีพวกเขาเหล่านี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะเอากำลังใจจากไหนมาฝ่าฟันมรสุมหัวใจครั้งนี้ไปได้ ไม่นานนักดาราสาวก็มาปรากฎตัวต่อหน้าแฟนคลับของเธอ เธอพยายามที่จะทำตัวให้ดูสดใสและมอบรอยยิ้มนางฟ้าที่บรรดาแฟนคลับคลั่งไคล้ เป็นการตอบแทนความรักของพวกเขาที่มีให้กับเธอเสมอมา เธอให้ความบันเทิงและเป็นกันเองกับแฟนๆจนจบงาน เมื่อถึงช่วงเวลาที่แฟนๆต้องต่อแถวเพื่อมอบของขวัญและพูดคุยกับดาราสาวตัวต่อตัว เธอก็ยังคงมอบรอยยิ้มละไมให้กับพวกเขาทั้งที่ตนเองก็เหนื่อยมากแล้ว และในที่สุดก็ถึงคนสุดท้าย เป็นหญิงสาวร่างเล็กที่ใส่โค้ทมีฮู้ดปิดคลุมจนมองไม่เห็นใบหน้า
“ฉันมีสองอย่างจะบอกกับคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว
“อะไรหรือค่ะ?” ดาราสาวถามอย่างกระตือรือร้น ทันใดร่างเล็กก็โค้งศรีษะลง ร่างบางเห็นดังนั้นก็ถึงกับผงะ
“ฉันขอโทษค่ะ ยกโทษให้ฉันด้วย” เธอกล่าว ดาราสาวรู้สึกงงกับท่าทีของแฟนคลับลึกลับคนนี้เหลือเกิน เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นฮู้ดที่ซ่อนใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดาราสาวแสนรักก็เผยออก พร้อมกับเท็ดดี้แบล์ทั้งสองในชุดรูปหัวใจครึ่งดวงที่เมื่อนำมาประกบกันจึงจะเต็มดวง ดาราสาวแทบไม่เชื่อสายตาตนเองที่ร่างของคนที่เธอมอบความรักให้จนหมดใจ และเป็นคนที่ทำร้ายมันลงอย่างไม่มีชิ้นดี บัดนี้มายืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับตุ๊กตาแทนใจและร้องขอการให้อภัย
“ฉันรักคุณค่ะ ได้โปรดรับความรักของฉันไว้ด้วย” ร่างเล็กบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ร่างบางได้แต่ยืนตกตะลึงเมื่อสิ่งที่ไม่คาดฝันปรากฏต่อหน้าเช่นนี้ คำพูดที่เธอรอคอยมาตลอด ถึงขนาดเคยร้องขอมันจากคนตรงหน้ามาก่อน และถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย บัดนี้เขาได้มายืนอยู่ตรงหน้าและเป็นฝ่ายร้องขอความรักจากเธอเสียเอง เธอควรจะทำเช่นไร รับมันไว้โดยไม่สนใจสิ่งที่ผ่านมา หรือเอาคืนคนใจร้ายที่เคยย่ำยีหัวใจของเธอให้สาสม ในขณะที่เธอยังลังเลใจสายตาเว้าวอนของคนตัวเล็กก็ถูกส่งมาให้ดาราสาวหวั่นไหว ก่อนที่เสียงกรี๊ดกร๊าดจากบรรดาแฟนคลับในห้องประชุมจะทำให้เธอหลุดจากภวังค์ ดาราสาวตัดสินใจรับตุ๊กตาทั้งสองไว้ก่อน เมื่อเห็นดังนั้นอัญชันก็ฉีกยิ้มด้วยความดีใจ เล่นเอาดาราสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำก่อนจะหลบสายตาอย่างเอียงอาย ทันใดเหล่าแฟนคลับก็ส่งเสียงขึ้น
“กอดเลยๆๆๆๆๆ!” บรรดาแฟนคลับต่างโฮ่ร้องอย่างคึกคัก โดยไม่ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งสอง เพียงแต่รู้สึกถึงบรรยากาศที่เป็นใจจึงโฮ่ร้องขึ้นอย่างคึกคะนองเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกร้องดังกล่าว ดาราสาว มุนแชวอน ผู้รักแฟนคลับของตนยิ่งกว่าสิ่งใด จึงไม่สามารถขัดใจแฟนๆได้ ร่างบางค่อยๆเดินเข้าใกล้ร่างเล็กอย่างเขินอาย ก่อนจะสวมกอดอย่างสุดรักด้วยรอยยิ้มแห่ง “ความสุขอย่างที่สุด” ในนาทีที่ทั้งสองได้สัมผัสกันและกัน ทั้งคู่ก็ไร้ข้อกังขาและสิ่งติดค้างใดๆ เพราะต่างก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ถ่ายทอดโดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้นต่อกันอีกต่อไป
“ฉันก็รักคุณค่ะ” ร่างบางกระซิบบอกด้วยเสียงอันแผ่วเบาข้างใบหูของร่างเล็ก ทำให้อัญชันโอบกระชับอ้อมกอดนี้ให้แน่นหนายิ่งขึ้น โดยมีแสงแฟลชจากกล้องของบรรดาแฟนคลับกระพริบอยู่รายล้อม
“ลุ้นซะเกือบตาย สุดท้ายก็แฮ๊ปปี้เอนดิ้งกันได้สักที เฮ้อ...เล่นเอาฉันเหนื่อยเลย” ฮันฮโยจูรำพึงอย่างโล่งอก เธอแอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่หลังเวทีด้วยใจระทึก หลังจากที่เธอเดินทางกลับมาจากเมืองไทยไม่นาน ก็ได้รับการติดต่อจากอัญชันเพื่อร่วมกันวางแผนการในครั้งนี้ นี่คงเป็นการร่วมมือกันระหว่างอัญชันและฮันฮโยจูเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเป็นแน่ เพราะถึงยังไงในใจของร่างโปร่งก็ไม่สามารถญาติดีกับร่างเล็กได้สนิทใจ เหมือนดั่งแมวที่วิ่งไล่จับหนูคงทำใจให้วิ่งเล่นด้วยกันยาก แต่ครั้งนี้แมวสาวของเรายอมอ่อนข้อให้เจ้าหนูตัวเล็กสักพักก่อนก็แล้วกัน
“อย่าได้ปากโป้งเชียวล่ะ” เธอหันกลับไปพูดกับชายคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมทำท่าปาดคอขู่ เขาคือทีมงานที่เธอใช้กำลังบีบบังคับให้เขายัดอัญชันเข้างานมาให้ได้ เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบพยักหน้ารับทราบทันที ก่อนที่เธอจะส่งยิ้มละไมให้เป็นรางวัล
“อย่าได้ปากโป้งเชียวล่ะ” เธอหันกลับไปพูดกับชายคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมทำท่าปาดคอขู่ เขาคือทีมงานที่เธอใช้กำลังบีบบังคับให้เขายัดอัญชันเข้างานมาให้ได้ เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบพยักหน้ารับทราบทันที ก่อนที่เธอจะส่งยิ้มละไมให้เป็นรางวัล