วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Thunder and the wind: The After war 11


ตอนที่ 11 หักหลัง!


ยุนบกตกตะลึงพรึงเพริดด้วยไม่คาดคิดว่าหญิงสาวเรียบร้อยและทระนงตนอย่างจองฮยางจะทำเช่นนี้ ด้วยความลืมตัวเขาจึงผลักนางออกทำให้ร่างบางถึงกับหงายหลังผึ่ง ก่อนที่ยุนบกจะเข้าไปประคองนางด้วยความเป็นห่วง


“อ่ะ! ข้าขอโทษ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามอย่างร้อนใจพลางช่วยพยุงนางขึ้น หากแต่โดนร่างบางผลักเข้าเต็มแรง นางจ้องเขาด้วยความเจ็บปวดพร้อมน้ำตาคลอเบ้า 


“อย่ามาแตะต้องข้า หากท่านรังเกียจข้าถึงเพียงนี้ !” นางตะหวาดใส่เขาก่อนจะลุกออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว


“จองฮยาง!” เขาได้แต่ตะโกนไล่หลังแต่ไม่กล้าจะวิ่งตามนางไป


“ยุนบก เจ้าคนน่าทุเรศ!” เขาสบถกับตนเอง


จองฮยางวิ่งอย่างสะเปะสะปะออกมาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ด้วยน้ำตาที่ไหลรินทำให้นางมองไม่เห็นทางนัก ยิ่งในเวลาพลบค่ำเช่นนี้แล้ว นางจึงวิ่งไปชนเข้ากับร่างแข็งแกร่งของบุรุษผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง


“โอ้!เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง คนงาม” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางจึงเงยหน้ามองบุรุษผู้นั้น และพบว่าเขาคือพระเจ้าจองโจนั่นเอง


“อาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันขอประทานอภัยเพค่ะ” นางทรุดตัวลงคุกเข่าและกล่าวเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงรินไหลไม่ขาดสาย เมื่อทอดพระเนตรดังนั้นจึงเข้าไปประคองร่างบางที่กำลังสั่นเทาให้ลุกขึ้นอย่างเบามือ


“เจ้าลุกขึ้นเถอะ และก็หยุดร้องไห้ด้วย หากใครมาเห็นเข้าคงได้คิดว่าข้ากำลังรังแกสาวงามอยู่เป็นแน่” พระองค์ตรัสพลางซับหยดน้ำตาของนาง จองฮยางรู้สึกแปลกใจในความอ่อนโยนที่ได้รับจากผู้เป็นพระราชาอยู่ในที หากแต่ ณ เวลานี้ ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องการมากไปกว่าการปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนเช่นนี้อีกแล้ว นางจึงมิได้ขัดขืนแต่อย่างใด


“ไหนเล่าให้ข้าฟังซิ ผู้ใดกันช่างบังอาจมาทำให้เจ้าต้องหลั่งน้ำตาเช่นนี้” พระองค์ตรัสถามพลางจ้องมองดวงหน้างดงาม


“ให้ตายเถอะ ข้าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!” ยุนบกกล่าวขึ้นหลังจากนั่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะบอกกับจองฮยางถึงความในใจทุกสิ่งอย่างที่เขาแอบซ่อนไว้ เพียงเพราะความขี้ขลาดของเขาตัวเดียวที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ หากเขาบอกกับนางไปตรงๆ มีหรือคนอย่างจองฮยางจะไม่เข้าใจเขา ในเมื่อนางเองก็เป็นสตรีเพศเช่นเดียวกับเขา ย่อมมีความรู้สึกเขินอายต่อการแสดงออกถึงอารมณ์รักใคร่ เช่นนี้แล้วใยเขาตองเก็บมันไว้ในใจให้เป็นปัญหาต่อความสัมพันธ์นี้ต่อไปอีกเหล่า เมื่อตัดสินใจได้เขาก็รีบวิ่งออกจากห้องทันที และวิ่งหานางไปทั่วบริเวณบ้าน จนต้องมาหยุดชะงักกับภาพที่เห็นพระเจ้าจองโจตระกองกอดนางผู้เป็นที่รักของเขาไว้ในอ้อมแขน เขาได้แต่ยืนแข็งทื่อตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ก่อนที่พระเจ้าจองโจจะรู้สึกพระองค์ว่ามีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนั้นด้วย 


“โอ้..เป็นเจ้านั่นเองยุนบก ข้ากำลังจะพาจองฮยางคนงามไปส่งที่ห้องอยู่พอดี นางรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เจ้าช่วยไปตามท่านราชเลขามาหาข้าหน่อยได้ไหม” พระองค์ตรัสกับยุนบกพลางคลายอ้อมแขนออกจากร่างบาง หากแต่ยังทรงประคองนางอยู่ไม่ห่าง


“พะ...พะย่ะคะ” เขาตอบรับอย่างจำยอม ก่อนที่พระเจ้าจองโจจะค่อยๆพานางเดินไปส่งยังห้องนอน โดยมียุนบกมองตามตาปริบๆ โดยที่นางไม่แม้แต่จะหันมามองเขาหรือรู้สึกรู้สาอะไร ทำดั่งเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ เบื้องหลังของคนทั้งคู่ที่เดินจากไป ทำให้ยุนบกรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง มันเป็นลางสังหรณ์แห่งการพลัดพราดจากของรัก


รุ่งเช้าต่อมาก็เป็นดั่งเช่นที่ยุนบกสังหรณ์ใจไว้ พระเจ้าจองโจประกาศแก่ทุกคนในบ้านว่าจะเสด็จกลับในเร็ววันพร้อมกับจองฮยาง ในฐานะพระสนมองค์ใหม่ และในระหว่างที่รอขบวนนำเสด็จจากเมืองหลวงนั้น ให้ทุกคนปฏิบัติต่อนางเยี่ยงพระสนมแม้จะยังไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตาม


“บ้า! บ้าที่สุด! ข้าไม่ยอมเด็ดขาด” ฟ้าคำรามอาละวาดขึ้นและตรงรี่ไปยังพระเจ้าจองโจ ทันใดเหล่าองครักษ์ก็ปรากฏกายล้อมฟ้าคำรามไว้ทันที


“อาจจะเป็นเพราะความสนิมสนมหรือสันดารเถื่อนของเจ้าเองข้าก็จนปัญญารู้ได้ มันคงทำให้เจ้าลืมไปแล้วกระมังว่าข้าเป็นพระราชาแห่งแผ่นดินนี้ ไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดที่จะทัดทานข้าได้” พระองค์ตรัสอย่างเยือกเย็น ฟ้าคำรามได้แต่กัดฟันกรอดๆอย่างเครียดแค้น ในขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะยุนบก ไม่เพียงแค่นั้นหากแต่เขากลับแค้นใจอย่างเจ็บแสบต่อนางผู้เป็นที่รัก ทั้งที่คืนก่อนนางยังตัดพ้อที่เขาไม่แสดงความรักต่อนาง แต่มาเวลานี้นางกลับโผเข้าหาอ้อมกอดของชายอื่นอย่างทันทีทันควัน ใจคนเรามันเปลี่ยนได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ยุนบกกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น ส่วนจองฮยางนั้นเพียงแต่นั่งอย่างเงียบงันเคียงข้างพระราชาแห่งโชซอน


“ข้าไม่ยอม ไม่มีวันยอม!” ฟ้าคำรามคำรามขึ้นกลางวงเหล้าที่พากันออกมากินในตลาด


“แล้วท่านจะทำอย่างไรพี่ฟ้าคำราม นั่นนะ....พระราชานะ” ชิลถามแย้งขึ้นก่อนจะแผ่วเสียงลงในศัพนามที่กล่าวถึงบุรุษที่ 3 ฟ้าคำรามถึงกับมองเขาตาขวางว่าเป็นคนขี้ขลาด ชิลจึงต้องรีบหาพวกสมทบ


“ยุนบกเจ้าช่วยพูดเตือนสติพี่ชายเจ้าหน่อยซิ ก่อนที่พวกเราจะโดนตัดหัว 7 ชั่วโคตร” ชิวกล่าวพร้อมเขย่าแขนยุนบกที่นั่งนิ่งมานาน ก่อนที่เขาจะรินเหล้าจนเต็มจอกและกระดกมันลงคอในอึกเดียว


“ข้าก็ไม่ยอม ข้าจะไปพูดกับนางเดี๋ยวนี้ละ” ว่าแล้วเขาก็ลุกพรวดขึ้นทันทีและตรงกลับไปยังเสน่ห์จันทรา


“เฮ้ย!!” ชิลและฟ้าคำรามได้แต่อุทานตามหลัง ก่อนจะรีบวิ่งตามเขาไป


“เฮ้ยๆ ยุนบกเจ้าใจเย็นๆก่อนนะ ที่ข้าหมายถึงไม่ยอมนะ มันหมายถึงเราจะต้องตอบโต้อย่างมีชันเชิง หรือวางแผนกันมาอย่างดี เจ้าเข้าใจไหม?” ฟ้าคำรามท้วงติงน้องรัก หากแต่เขาไม่สนใจฟังยังคงเดินจ้ำๆไปยังเสน่ห์จันทรา เขาเดินไปยังสวนบริเวณด้านหลังของเรือนก็พบจองฮยางและพระเจ้าจองโจนั้นกำลังพูดคุยหยอกเย้ากันอย่างเริงร่า เขาหยุดดูภาพทั้งสองที่อยู่ท่ามกลางหมู่ภมรซึ่งบินวนห้อมล้อมร่างบาง ก่อนที่ผีเสื้อตัวหนึ่งจะบินมาเกาะยังแก้มนวลราวกับจะจับจอง เมื่อทอดพระเนตรดังนั้นพระเจ้าจองโจจึงใช้พระดัชนีเขี่ยเจ้าผีเสื้อน้อยนั้นออกจากแก้มงามอย่างง่ายดาย นางยิ้มรับอย่างพริ้มเพราก่อนจะเอียงอายเมื่อถูกพระองค์ลูบไล้พวงแก้มระเรื่ออย่างเบามือ ยุนบกกำมือแน่นจนมันแดงก่ำและมุ่งตรงไปยังทั้งสอง โดยที่ฟ้าคำรามและชิลรั้งเขาไว้ไม่ทัน แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ทั้งสองให้ระคายเคืองได้ ด้วยเหล่าองครักษ์ต่างพากันมายืนขวางเป็นกำแพงมนุษย์กั้นทางของเขาไว้ ยุนบกจ้องเขม็งไปยังเหล่าองครักษ์อย่างเอาเรื่อง แต่ก่อนที่เขาจะได้ระเบิดอารมณ์ก็ถูกชิลและฟ้าคำรามลากออกมาสงบสติได้ทัน


“เจ้าจะบ้าหรอ เจ้าคนเดียวจะแลกกับพวกมันเป็นสิบยังงั้นหรือ?” ฟ้าคำรามกล่าวขึ้น


“ใช่ๆ ยุนบกข้าว่าเจ้าใจเย็นๆดีกว่านะ ค่อยๆคิด ค่อยๆแก้ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ” ชิลพูดเตือนสติ แหกแต่เวลานี้ยุนบกนั้นหูดับด้วยเพลิงโทสะที่สุมทรวง ใบหน้าระรื่นเปื้อนยิ้ม กิริยาเอียงอายของนางที่ไม่เคยมีให้ชายใดนอกจากเขา แต่นางกลับแสดงต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชาที่เขาเทิดทูน มันทำให้เขาอยากจะอาละวาดให้บ้านแตก หากแต่ก็ทำได้แต่เพียงกำหมัดต่อยไปเต็มแรงยังต้นไม้โชคร้ายที่อยู่ใกล้ๆ 


“ทำไม?! ทำไม?!” เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดดัวยความคับแค้นใจต่อบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองที่หักหลังเขาได้อย่างเลือดเย็น หนึ่งคือจ้าวชีวิตอีกหนึ่งคือจ้าวหัวใจ ทั้งสองทำกับเขาแบบนี้ได้อย่างไร


ค่ำวันนั้นยุนบกไม่สามารถข่มตาหลับได้ ไม่ซิเขาไม่สามารถจะกินหรือทำอะไรได้เลยต่างหาก เขาได้แต่นั่งครุ่นคิดถึงเหตุผลที่จองฮยางเปลี่ยนใจจากเขา เป็นเพราะเขาเป็นหญิงอย่างนั้นหรือ หรือเพราะเขาไม่สามารถแสดงบทรักต่อนางได้ หรือเป็นเพราะเขาไม่มีสิ่งใดทัดเทียมกับพระราชาแห่งโชซอนได้เลยกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้หัวของเขาเหมือนจะระเบิดออกมา เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใจก่อนจะออกไปเดินรับลมข้างนอกเผื่อหัวของเขาจะเย็นลงบ้าง เขาเดินตรงไปยังศาลาเขียนรูปหวังจะไปนอนเล่นให้เย็นใจ พลางสายตาก็จับจ้องไปยังดวงจันทร์ขาวนวลบนท้องฟ้า คืนนี้คงเป็นข้างขึ้นจันทร์ถึงได้สุกนัก ก่อนที่สายตาของเขาจะไปหยุดที่ร่างบางซึ่งนั่งริมศาลาอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าทำให้นางรู้ว่ามีผู้มาเยือนจึงหันไปทางต้นเสียงก็พบเข้ากับยุนบก


“เหตุใดพระราชาจึงปล่อยให้พระสนมหมาดๆ ออกมานั่งอ้างว้างอยู่นี่เพียงลำพังได้เหล่า?” เขาถามประชดประชัน


“ข้าเพียงขออนุญาตพระองค์ออกมาสูดอากาศข้างนอกเพียงครู่ และนี่ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปหาพระองค์แล้ว” นางตอบก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและรีบสาวเท้าจากไป หากแต่โดนยุนบกรั้งไว้ด้วยอ้อมกอดที่สวมกอดนางจากทางด้านหลังอย่างดึงดัน หัวใจหญิงสาวเต้นแรงระรัวขึ้นทันทีที่กายสาวถูกล่วงล้ำ 


“ปะ...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่?” นางท้วงขึ้นเสียงสั่นด้วยความหวั่นไหวจากอ้อมกอดดึงดันที่ไม่เคยสัมผัสจากเขามาก่อน


“ข้ารู้สิ รู้ดีเชียวละ แต่ข้า...ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปหรอก ไม่อีกแล้ว ได้โปรดเถอะจองฮยาง” เขากระซิบแผ่วเบาอย่างเว้าวอนอยู่ข้างใบหูของนาง ไอร้อนผะผ่าวที่ออกมาจากปากเขาทำให้นางสั่นระริกด้วยความวาบหวาม ร่างบางสูดหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อสะกันกั้นอารมณ์และเรียกสติของตน ก่อนที่มือสั่นๆของนางจะค่อยๆคลายอ้อมแขนของเขาออก 


“เรื่องของข้ากับท่าน มันจบแล้ว” นางหันมาพูดกับเขาก่อนจะเชิดหน้าเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย


วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

The Fan Club ตอนที่ 18 ตอนจบ


เช้าต่อมาที่อากาศปลอดโปร่ง แดดอ่อนๆจากดวงอาทิตย์กำลังทอแสงมายังห้องพักห้องหนึ่งในรีสอร์ท ที่ตอนนี้กำลังปั่นป่วนจากการหายตัวไปอย่างลึกลับของดาราสาว มุนแชวอน




“กรี๊ดดดดดดดดดดด นี่มันเกิดอะไรขึ้น เพื่อนฉันอยู่ไหน เสื้อผ้า กระเป๋า สัมภาระต่างๆก็หายไปหมด!” ฮโยจูตะโกนโวยวายเสียงแปดหลอดลั่นรีสอร์ท สร้างความแตกตื่นให้กับแขกที่มาพักห้องอื่นๆ และเพียงไม่นานคนจากเรือนใหญ่ก็รีบตามมาสมทบยังที่เกิดเหตุ



“เกิดอะไรขึ้นหรอค่ะ?!” อัญชันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาถาม



“แชวอน แชวอน.....หายตัวไป!” ร่างโปร่งบอกตะกุกตะกักด้วยพยายามควบคุมสติ ร่างเล็กที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าเสีย



“เธอไม่ได้หายไปไหน แค่กลับบ้านเท่านั้นละ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปทางเขา เป็นเอื้อเฟื้อนั่นเองที่เดินมาพร้อมภรรยาและลูก



“แก.....แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ร่างเล็กถามด้วยความแปลกใจ



“ฉันกลับมาเมื่อคืน....พอดีกับตอนที่คุณแชวอนกำลังจะออกจากรีสอร์ท ฉันก็เลยให้รถแท็กซี่ที่ฉันนั่งมา ไปส่งเธอที่สนามบิน” เอื้อเฟื้อตอบด้วยภาษาเกาหลีเพื่อให้ฮโยจูและจินโฮเข้าใจทั่วกันด้วยอาการไม่ยี่หระ



“นี่นายเป็นใครกันเนี่ย นายทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า ยัยเตี้ยหมอนี่มันใครกัน?” ร่างโปร่งถึงกับเดือดดานกับคำตอบและท่าทางที่ได้รับจากชายแปลกหน้า อัญชันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ



“เพื่อนของฉันเองค่ะ เขาเป็น....สามีของยองชิ” ร่างเล็กตอบ ร่างโปร่งถึงกับอ้าปากค้างที่ได้รู้ว่าศัตรูหัวใจของเพื่อนสาวนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว จึงรีบหันไปเหวี่ยงใส่ลีฮอนคยองทันที



“นี่หล่อน มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วมาทำเป็นหมาหวงก้างยัยเตี้ยอยู่ทำไมย่ะ ดูซิเนี่ยเพื่อนฉันเข้าใจผิดหนีตะเลิดไปแล้ว!” ร่างโปร่งระเบิดอารมณ์ใส่ลีฮอนคยองอย่างไม่ยั้ง



“ถ้าห่วงเพื่อนมากขนาดนั้น ทำไมไม่นอนเฝ้าไว้ละ ปล่อยให้หนีกลับไปตอนกลางดึกได้ยังไง” หญิงสาวโต้กลับอย่างไม่น้อยหน้า เล่นเอาร่างโปร่งพูดไม่ออกและลามไปถึงจินโฮซึ่งคอยห้ามทัพอยู่ข้างๆได้หนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน



“นั่นสิค่ะ....คุณไม่ทราบหรือค่ะว่าคุณแชวอนออกไปตอนไหน?” ร่างเล็กถามอย่างฉงนด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมฮโยจูซึ่งนอนร่วมห้องกับแชวอนจึงไม่ทราบว่าเพื่อนของตนหายตัวไปทั้งคืน



“เอ่อ.....ฉัน....ฉันออกไปเดินเล่น” ร่างโปร่งตอบอย่างมีพิรุธที่สุด



“ทั้งคืนเลยหรอค่ะ?” ร่างเล็กซัก



“นี่หล่อนจะถามอะไรนักหนา ...เอาเป็นว่าเมื่อคืนฉันไม่ได้นอนห้องนี้ เลยไม่รู้ว่าแชวอนออกไปตอนไหน...เข้าใจ๋?” ร่างโปร่งตอบเหวี่ยงๆและหลบตาด้วยความเขินอาย ไม่ต่างกับจินโฮที่ยืนเกาศรีษะหัวเราะแฮะๆอยู่ข้างๆ จึงทำให้ทุกคนถึงบางอ้อว่าพวกเขาพากันไปเดินเล่นที่ไหนมาทั้งคืน หลังจากความจริงกระจ่างและความเขินอายเริ่มจางไป ฮโยจูจึงพาทุกคนกลับเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้ง



“แล้วแบบนี้เธอจะทำยังไง นี่เธอจะโกรธอะไรกันนักกันหนา ดูซิเพื่อนฉันหนีตะเลิดไปแล้วเนี่ย” ร่างโปร่งโวยใส่ร่างเล็ก อัญชันจึงนิ่งเงียบอย่างครุ่นคิด



“ก็ไม่ยังไงนี่ค่ะ เธอคงหมดธุระกับที่นี่แล้ว ถึงได้จากไป ก็เท่านั้น” ร่างเล็กตอบน้ำเสียงเรียบ หากแต่สร้างความขุ่นใจให้คนฟังอย่าง ฮันโฮยจู ถึงกับเข้าไปกระชากคอเสื้อคนพูด



“นี่เธอพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง! เธอรู้ไหมว่าเพื่อนฉันรักเธอมากแค่ไหน ยัยนั่นร้องไห้และทุกข์ใจเพราะเธอมาตั้งเท่าไหร่แล้ว!” ร่างโปร่งตะคอกใส่หน้าคนใจดำที่ไม่ใยดีเพื่อนสาวของเธอ จินโฮจึงต้องรีบเข้าไปดึงฮโยจูเอาไว้ และให้เอื้อเฟื้อกับลีฮอนคยองพาตัวอัญชันไปให้พ้นๆ



หลังหลบพายุอารมณ์ของฮันฮโยจูขึ้นมาบนเรือนใหญ่ อัญชันก็เอาแต่นั่งหน้าเครียด โดยมีสายตาของเอื้อเฟื้อสังเกตการณ์เพื่อนสาวของเขาอยู่ไม่ไกล



“ไอ้ชันเอ้ย” เขารำพึงกับตนเอง



“เราควรจะทำยังไงกันดีละค่ะพี่ ฉันไม่อยากเห็นพี่ชันเป็นแบบนี้อีกต่อไปแล้ว” ลีฮอนคยองเอ่ยถามสามีอย่างจนปัญญา



“แล้วยองชิคิดว่ายังไงล่ะ?” เอื้อเฟื้อหันกลับไปถามผู้เป็นภรรยาอย่างเอ็นดู



“ฉัน.....ฉันก็ไม่ได้ชอบอะไรคุณแชวอนเขานักหรอกนะค่ะ ยิ่งรู้ว่าเคยทำให้พี่ชันเจ็บแบบนั้นมาแล้ว ฉันบอกตามตรงว่าไม่อยากให้พี่ชันกลับไปหาเขาเลย แต่......ฉันก็คิดว่า มันคงจะดีกว่าที่พี่ชันต้องเป็นแบบนี้ การต้องแยกจากคนที่เรารักมันทรมานมากนะค่ะ” หญิงสาวตอบน้ำตาคลอ ทำให้ผู้เป็นสามีต้องเข้าไปปลอบประโลมเธอไว้เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต้องแยกจากกัน ก่อนจะกอดเธออย่างแนบแน่นยิ่งขึ้น ในขณะที่สวมกอดภรรยาเขาก็ตัดสินใจบางอย่างซึ่งจะยุติเรื่องทั้งหมดนี้



“ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันจะไปฆ่ามัน มันทำกับเพื่อนฉันแบบนี้ได้ยังไง!” ฮันฮโยจูยังคงไม่เลิกอาละวาด



“ใจเย็นๆ ฮโยจู มันเป็นการตัดสินใจของพวกเขา ถ้าผลมันจะออกมาแบบนี้ เราก็ต้องยอมรับมัน” จินโฮพูดเตือนสติ



“ฉันไม่ยอม ฉันจะเอาเรื่องยัยเตี้ยนั่นให้ถึงที่สุด!” ร่างโปร่งยังคงฟาดงวงฟาดงา



“ฮโยจู!” จินโฮเหลืออดจึงตะหวาดเข้าให้ ทำให้ร่างโปร่งได้สติและสังเกตเห็นร่างสูงย่นหน้าผากด้วยความไม่ชอบใจต่อท่าทีดื้อรั้นนั้น เธอจึงรีบสำรวมท่าทีทันทีด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาหมดรักเธอ



“ก็ฉัน...ฉันไม่อยากให้มันจบแบบนี้นี่....พี่ไม่เห็นตอนที่แชวอนร้องไห้หรอ ยัยนั่นนะเอาแต่ร้องๆๆๆ ฉันที่เป็นเพื่อนกลับช่วยอะไรไม่ได้ มันน่าเจ็บใจมากรู้ไหม ฮื่อๆๆๆ” ร่างโปร่งพูดเสียงอ่อนก่อนจะสะอื้นไห้ด้วยความสงสารเพื่อนจับใจ ร่างสูงเห็นดังนั้นจึงเข้าไปกอดปลอบแฟนสาวจอมโวยวายผู้แสนดีของเขาไว้อย่างเอ็นดู เพราะเธอเป็นคนแบบนี้นะซิเขาจึงทำเฉยต่อเธอไม่ได้เสียที แม้จะแสดงอาการก้าวร้าวแต่ภายในใจกลับใสสะอาดเสียกว่าคนที่แสดงท่าทีสุภาพเสียอีก



ตกเย็นหลังจากติดต่อกับดาราสาว มุนแชวอนได้ จินโฮและฮโยจูจึงตัดสินใจเดินทางกลับเกาหลีทันที หากแต่ก่อนที่พวกเขาจะกลับ ร่างโปร่งก็ได้ทิ้งคำพูดไว้ให้อัญชันขบคิด



“แม้เธอจะไม่เหลือความรู้สึกใดๆต่อเพื่อนฉันอีกแล้ว แต่ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่า “ความสุขอย่างที่สุด” (Happiness) ของแชวอนนั้น ไม่มีใครอีกแล้วที่จะให้แชวอนได้ นอกจากเธอ”



คำพูดของร่างโปร่งยังคงดังก้องอยู่ในหัวของอัญชัน แม้ในขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารค่ำกันอยู่ ร่างเล็กได้แต่เขี่ยข้าวในจานของตนไปมา โดยมีสายตาของทุกคนจ้องมอง



“เอาล่ะ ดูเหมือนทุกคนน่าจะอิ่มกินแล้วนะ” วันเพ็ญเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนทานอาหารกันมาได้พักใหญ่แล้ว



“ชัน...ชันเอ้ยชัน” เธอตะโกนเรียกลูกสาวที่ยังคงนั่งเหม่อลอยด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ร่างเล็กหลุดจากภวังค์



“ใจลอยไปไหนล่ะเรา?” ลุงพวงซึ่งถือโอกาสมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย เพื่อเป็นการต้อนรับลูกชายของตนกลับมา พูดเหย้าขึ้นให้ร่างเล็กยิ้มหน้าเจื่อน



“มีอะไรหรือแม่?” ร่างเล็กถาม



“แม่น่ะไม่มี แต่แกซิ มีอะไรรึเปล่า?” วันเพ็ญถามกลับ ร่างเล็กได้แต่ทำหน้าฉงนด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่แม่ของตนสื่อ



“ชัน...แกเคยบอกแม่ใช่ไหม ว่าอยากเป็นเหมือนพ่อ เป็นคนเด็ดเดี่ยวจริงจัง?” วันเพ็ญถามต่อ



“จ๊ะ...?” อัญชันตอบอย่างงงๆ



“แล้วทำไมแกผิดคำพูด?” วันเพ็ญกล่าวเสียงเข้มพร้อมจ้องมองไปยังใบหน้าฉงนนั้น มาถึงจุดนี้ร่างเล็กยิ่งเดาไม่ออกว่าแม่ของตนพูดถึงอะไร หากแต่ดูเหมือนว่าคนทั้งโต๊ะจะเข้าใจเป็นอย่างดี



“พ่อแกน่ะ...เขาไม่มีวันปล่อยคนที่เขารักไปแบบนี้หรอกนะ” วันเพ็ญพูดพร้อมจ้องเขม็งไปยังดวงตากลมใสที่บัดนี้เบิกกว้างเมื่อเข้าใจในความหมายที่แม่ของตนสื่อ



“แม่....แม่รู้ได้ยังไง?” ร่างเล็กถามเสียงพร่า เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าความรู้สึกที่ปกปิดผู้เป็นแม่มาตลอดจะถูกจับได้



“เพราะแม่ฉลาดไง” วันเพ็ญยังคงติดตลกให้บรรยากาศบนโต๊ะผ่อนคลายก่อนจะเฉลย



“ทุกคนบอกแม่หมดแล้ว แต่จริงๆก็เป็นเพราะความฉลาดของแม่ด้วยละนะ....แม่น่ะดูออกตั้งแต่ครั้งแรกที่แกพาหนูจันทร์เขามาที่นี่แล้ว แม่รู้ว่าเธอต้องเป็นคนพิเศษแน่ๆ แต่ก็...เกินคาดไปหน่อยที่พิเศษถึงขนาดนี้” วันเพ็ญอธิบายเรื่องโดยไม่ทิ้งอารมณ์ขันให้ทั้งโต๊ะได้หัวเราะกับมุกเล็กๆที่เธอปล่อย หากแต่มีเพียงอัญชันที่ยังยิ้มหน้าเจื่อนนั่งร้อนๆหนาวๆ ด้วยกลัวว่าจะถูกผู้เป็นแม่ตำหนิที่ตนมีความรู้สึกรักใคร่ในเพศเดียวกัน



“แล้ว...แม่ไม่ว่าอะไรฉันหรอ ที่ฉัน....” ร่างเล็กถามเสียงอ่อนพลางก้มหน้างุด



“ว่าซิว่ะ...แกทำแบบนี้ได้ยังไง ทำไมแกถึงเป็นคนแบบนื้ แม่ไม่เคยเลี้ยงให้แกเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้เลยนะ!” วันเพ็ญเอ็ดขึ้นเสียงแข็ง ก่อนจะลงท้ายให้คนฟังมองกลับตาแป๋วด้วยไม่เชื่อหูตัวเอง



“รักเขาใช่ไหม? แล้วทำไมปล่อยเขาไป?” วันเพ็ญถามจริงจัง อัญชันได้แต่ถอนหายใจและยิ้มอย่างขมขื่น



“ก็ความรักมันไม่ใช่ทุกสิ่งนี่แม่” ร่างเล็กตอบอย่างถอดใจ



“แต่มันก็เป็นทุกอย่าง เพราะเมื่อไม่มีความรัก เราก็จะไม่มีอะไรเลย....นี่เป็นคำพูดของพ่อแก คนโง่ที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอยู่กับแม่ คนที่แกอยากเป็นอย่างเขาไงล่ะ” วันเพ็ญกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พลางมองลูกสาวด้วยความเอ็นดูและลูบศีรษะน้อยๆนั้น ร่างเล็กมองดูผู้เป็นมารดาอย่างเหลือเชื่อ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้เป็นแม่จะมารับรู้เรื่องรักๆใคร่ๆของเธอ และไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะได้รับความเห็นชอบ



“แต่ว่า...ฉันรับปากพ่อไว้แล้วว่าฉันจะดูแลแม่” อัญชันพูดด้วยท่าทีเป็นกังวล



“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ คราวนี้น่ะ ถึงตาฉันแล้ว แกไม่ต้องห่วงหรอก เพราะเขาก็เป็นครอบครัวของฉันเหมือนกัน” เอื้อเฟื้อกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมตบเบาๆไปที่ไหล่ของเพื่อนสาวเป็นการให้สัญญา



“ลุงก็จะช่วยอีกแรง” ลุงพวงกล่าวสมทบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น



“ฉันด้วยจ๊ะ” ลีฮอนคยองกล่าวเสียงแหลมขึ้นด้วยกลัวน้อยหน้า ร่างเล็กยิ้มรับความปรารถนาดีและความรักที่ทุกคนมอบให้อย่างเต็มหัวใจพร้อมหยดน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง



“อะไรกัน อะไรกัน นี่เห็นฉันเป็นคนแก่ ที่ต้องให้คนมากมายขนาดนี้มาดูแลเลยหรอห่ะ ฉันน่ะยังสาวอยู่นะเว้ย!” วันเพ็ญโพล่งขึ้นให้ทั้งโต๊ะหัวเราะงอหายและต่างสบตากันเป็นการให้คำมั่นสัญญา บรรยากาศยามค่ำที่ลมพัดมาอ่อนๆริมระเบียงบนเรือนใหญ่ ช่างเป็นคืนที่สุดวิเศษเมื่อความรักของทุกคนถูกเฉลยให้ผู้ถูกรักซึมซาบมันจนชุ่มช่ำหัวใจ ไม่มีสิ่งใดที่เราจะทำให้แก่ผู้เป็นที่รักไม่ได้ และไม่ว่าความรักจะเป็นแบบไหน มันก็ยังจะเป็นความรักอยู่วันยันค่ำ เพราะความรักคือความปรารถนา คือความรู้สึก คือการกระทำ เพื่อให้ผู้เป็นที่รักมีแต่ความสุข



ภายหลังจากที่ดาราสาว มุนแชวอน กลับมาได้สองอาทิตย์ งานแฟนมีทติ้งครั้งที่ 3 ก็ได้ถูกจัดขึ้นตามกำหนด แฟนคลับแต่ละคนต่างตั้งตารอวันนี้มาแรมเดือน



“คุณแชวอนค่ะ อีกห้านาทีงานจะเริ่มแล้วนะค่ะ” ทีมงานคนหนึ่งเดินมาบอกกับร่างบางในห้องแต่งตัวเพื่อให้เธอเตรียมพร้อม ก่อนที่เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือของเธอจะดังขึ้น



“วอนอา ไฟติ้ง ไฟติ้ง ^^” เพื่อนสาวร่างโปร่งของเธอนั่นเองที่ส่งข้อความมาให้กำลังใจ หลังจากเหตุการณ์ใจสลายที่เธอได้พบ ก็มีเพียงฮันฮโยจูและบรรดาแฟนคลับเท่านั้น ที่จะทำให้หัวใจอันชอกช้ำของเธอมีแรงสูบฉีดเลือดให้ร่างกายยังคงขยับต่อไป หากไม่มีพวกเขาเหล่านี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะเอากำลังใจจากไหนมาฝ่าฟันมรสุมหัวใจครั้งนี้ไปได้ ไม่นานนักดาราสาวก็มาปรากฎตัวต่อหน้าแฟนคลับของเธอ เธอพยายามที่จะทำตัวให้ดูสดใสและมอบรอยยิ้มนางฟ้าที่บรรดาแฟนคลับคลั่งไคล้ เป็นการตอบแทนความรักของพวกเขาที่มีให้กับเธอเสมอมา เธอให้ความบันเทิงและเป็นกันเองกับแฟนๆจนจบงาน เมื่อถึงช่วงเวลาที่แฟนๆต้องต่อแถวเพื่อมอบของขวัญและพูดคุยกับดาราสาวตัวต่อตัว เธอก็ยังคงมอบรอยยิ้มละไมให้กับพวกเขาทั้งที่ตนเองก็เหนื่อยมากแล้ว และในที่สุดก็ถึงคนสุดท้าย เป็นหญิงสาวร่างเล็กที่ใส่โค้ทมีฮู้ดปิดคลุมจนมองไม่เห็นใบหน้า



“ฉันมีสองอย่างจะบอกกับคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว



“อะไรหรือค่ะ?” ดาราสาวถามอย่างกระตือรือร้น ทันใดร่างเล็กก็โค้งศรีษะลง ร่างบางเห็นดังนั้นก็ถึงกับผงะ



“ฉันขอโทษค่ะ ยกโทษให้ฉันด้วย” เธอกล่าว ดาราสาวรู้สึกงงกับท่าทีของแฟนคลับลึกลับคนนี้เหลือเกิน เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นฮู้ดที่ซ่อนใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดาราสาวแสนรักก็เผยออก พร้อมกับเท็ดดี้แบล์ทั้งสองในชุดรูปหัวใจครึ่งดวงที่เมื่อนำมาประกบกันจึงจะเต็มดวง ดาราสาวแทบไม่เชื่อสายตาตนเองที่ร่างของคนที่เธอมอบความรักให้จนหมดใจ และเป็นคนที่ทำร้ายมันลงอย่างไม่มีชิ้นดี บัดนี้มายืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับตุ๊กตาแทนใจและร้องขอการให้อภัย



“ฉันรักคุณค่ะ ได้โปรดรับความรักของฉันไว้ด้วย” ร่างเล็กบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ร่างบางได้แต่ยืนตกตะลึงเมื่อสิ่งที่ไม่คาดฝันปรากฏต่อหน้าเช่นนี้ คำพูดที่เธอรอคอยมาตลอด ถึงขนาดเคยร้องขอมันจากคนตรงหน้ามาก่อน และถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย บัดนี้เขาได้มายืนอยู่ตรงหน้าและเป็นฝ่ายร้องขอความรักจากเธอเสียเอง เธอควรจะทำเช่นไร รับมันไว้โดยไม่สนใจสิ่งที่ผ่านมา หรือเอาคืนคนใจร้ายที่เคยย่ำยีหัวใจของเธอให้สาสม ในขณะที่เธอยังลังเลใจสายตาเว้าวอนของคนตัวเล็กก็ถูกส่งมาให้ดาราสาวหวั่นไหว ก่อนที่เสียงกรี๊ดกร๊าดจากบรรดาแฟนคลับในห้องประชุมจะทำให้เธอหลุดจากภวังค์ ดาราสาวตัดสินใจรับตุ๊กตาทั้งสองไว้ก่อน เมื่อเห็นดังนั้นอัญชันก็ฉีกยิ้มด้วยความดีใจ เล่นเอาดาราสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำก่อนจะหลบสายตาอย่างเอียงอาย ทันใดเหล่าแฟนคลับก็ส่งเสียงขึ้น



“กอดเลยๆๆๆๆๆ!” บรรดาแฟนคลับต่างโฮ่ร้องอย่างคึกคัก โดยไม่ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งสอง เพียงแต่รู้สึกถึงบรรยากาศที่เป็นใจจึงโฮ่ร้องขึ้นอย่างคึกคะนองเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกร้องดังกล่าว ดาราสาว มุนแชวอน ผู้รักแฟนคลับของตนยิ่งกว่าสิ่งใด จึงไม่สามารถขัดใจแฟนๆได้ ร่างบางค่อยๆเดินเข้าใกล้ร่างเล็กอย่างเขินอาย ก่อนจะสวมกอดอย่างสุดรักด้วยรอยยิ้มแห่ง “ความสุขอย่างที่สุด” ในนาทีที่ทั้งสองได้สัมผัสกันและกัน ทั้งคู่ก็ไร้ข้อกังขาและสิ่งติดค้างใดๆ เพราะต่างก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ถ่ายทอดโดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้นต่อกันอีกต่อไป



“ฉันก็รักคุณค่ะ” ร่างบางกระซิบบอกด้วยเสียงอันแผ่วเบาข้างใบหูของร่างเล็ก ทำให้อัญชันโอบกระชับอ้อมกอดนี้ให้แน่นหนายิ่งขึ้น โดยมีแสงแฟลชจากกล้องของบรรดาแฟนคลับกระพริบอยู่รายล้อม





“ลุ้นซะเกือบตาย สุดท้ายก็แฮ๊ปปี้เอนดิ้งกันได้สักที เฮ้อ...เล่นเอาฉันเหนื่อยเลย” ฮันฮโยจูรำพึงอย่างโล่งอก เธอแอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่หลังเวทีด้วยใจระทึก หลังจากที่เธอเดินทางกลับมาจากเมืองไทยไม่นาน ก็ได้รับการติดต่อจากอัญชันเพื่อร่วมกันวางแผนการในครั้งนี้ นี่คงเป็นการร่วมมือกันระหว่างอัญชันและฮันฮโยจูเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเป็นแน่ เพราะถึงยังไงในใจของร่างโปร่งก็ไม่สามารถญาติดีกับร่างเล็กได้สนิทใจ เหมือนดั่งแมวที่วิ่งไล่จับหนูคงทำใจให้วิ่งเล่นด้วยกันยาก แต่ครั้งนี้แมวสาวของเรายอมอ่อนข้อให้เจ้าหนูตัวเล็กสักพักก่อนก็แล้วกัน



“อย่าได้ปากโป้งเชียวล่ะ” เธอหันกลับไปพูดกับชายคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมทำท่าปาดคอขู่ เขาคือทีมงานที่เธอใช้กำลังบีบบังคับให้เขายัดอัญชันเข้างานมาให้ได้ เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบพยักหน้ารับทราบทันที ก่อนที่เธอจะส่งยิ้มละไมให้เป็นรางวัล

















วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

The Fan Club ตอนที่ 17



“ฉันพยายามที่สุดแล้วนะค่ะพี่แทยัง แต่พี่ชันเขาไม่ให้ความร่วมมือเลย อย่างนี้มีหวังคงกลับไปอีหรอบเดิมอีกแน่ๆ...เดี๋ยวก็โดนเขาหักอกกลับมาอีกตามเคย” ลีฮอนคยองรายงานเสียงใสผ่านสายโทรศัพท์ข้ามประเทศไปยังชายผู้เป็นสามีของเธอ เอื้อเฟื้อที่ได้รู้ว่าดาราสาวผู้เคยทำร้ายหัวใจของเพื่อนสาว บัดนี้กลับมาปรากฎตัวต่อหน้าเพื่อนเขาอีกครั้งและพยายามจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ เห็นทีเขาคงจะอยู่เฉยอีกไม่ได้แล้ว



“คงถึงเวลาที่พี่ควรจะกลับบ้านได้แล้วล่ะมั้ง” เขาตอบ ลีฮอนคยองได้ยินดังนั้นจึงรีบท้วงขึ้น



“แล้วเรื่องเรียนละค่ะ?” เธอถามอย่างเป็นห่วง



“พี่ใกล้จะส่งวิทยานิพนธ์ไปแล้ว คิดว่าคงไม่มีปัญหา ยังเหลือแค่ทำเรื่องจบ แต่เดี๋ยวค่อยกลับมาทำก็ได้ ตอนนี้....ครอบครัวสำคัญกว่า” เขากล่าวเสียงเครียด




ภายในห้องนอนร่างบางที่นิทราด้วยพิษไข้มายาวนานค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ความปวดเมื่อยยังคงมีอยู่ทั่วร่าง เธอมองไปรอบๆก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่ร่างเล็กซึ่งนอนฟุบอยู่ข้างเตียง ร่างบางจ้องมองด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและเปี่ยมรัก เธอไม่คิดเลยว่าคนตัวเล็กที่ทิ้งเธอไปจะกลับมาหาอีกครั้ง แม้จะอยู่ในสภาพไร้สติตอนที่ถูกประคองออกจากกระท่อมแต่ก็รับรู้ได้ว่าใครเป็นผู้ช่วยเธอออกมา รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนในหน้าขาวซีดที่เพิ่งฟื้นไข้ มือบางเอื้อมไปไล้ไรผมนุ่มของคนขี้เซาอย่างเอ็นดู ทันใดนั้นดวงตากลมใสของคนตัวเล็กที่เคยปิดสนิทกลับลืมขึ้นอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย ร่างบางจึงรีบชักมือของตนกลับและแกล้งทำเป็นหลับ หากแต่ไม่พ้นสายตาของร่างเล็กไปได้



“คุณฟื้นแล้วหรอ?” อัญชันถามน้ำเสียงเรียบ ร่างบางจึงค่อยๆหลี่ตาขึ้นมอง



“ค่ะ...ขอบคุณนะค่ะที่.....” แชวอนตอบด้วยความเขินอายที่ถูกจับได้ พร้อมกล่าวขอบคุณหากแต่โดนร่างเล็กพูดสวนขึ้นเสียก่อน



“คงหายดีแล้วซินะ ถ้ายังงั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องคุณเถอะค่ะ” อัญชันกล่าวตัดรอนด้วยน้ำเสียงเรียบก่อนจะเดินออกจากห้อง ทิ้งให้ร่างบางนั่งน้ำตาซึมกับคำพูดเย็นชา นี่เธอแค่ฝันไปรึนี่ เพ้อฝันไปเองว่าอัญชันยอมยกโทษให้เธอและกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถ้ารู้แบบนี้เธอไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ดี ร่างบางร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียงนอนก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นตุ๊กตาหมีน้อยข้างเตียง เธอแทบไม่อยากเชื่อสายตา ตุ๊กตาหมีที่เหมือนกันกับของเธอหากแต่มีสีขนที่เข้มและอักษรบนเสื้อตัวจิ๋วที่ตุ๊กตาสวมใส่ต่างกัน บนเสื้อตัวจิ๋วนั้นเขียนว่า “เท็ดดีบอย”



“เมื่อคุณเห็นมัน คุณจะได้รู้ว่ามีฉันอยู่ใกล้ๆ” ร่างบ่างนึกถึงคำพูดผ่านตัวอักษรในการ์ดที่เธอเคยได้รับพร้อมตุ๊กตาหมีจากเท็ดดี้แบร์แฟนคลับคนพิเศษ แชวอนเอื้อมไปหยิบเจ้าเท็ดดี้บอยมากอดไว้อย่างสุดรัก



“ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดีล่ะ เท็ดดี้บอย? ฉันรักเขาเหลือเกิน” ร่างบางสะอื้นไห้กับตุ๊กตาหมีโดยที่ไม่รู้เลยว่าร่างเล็กยืนแอบฟังอยู่หน้าห้องด้วยหัวใจร้าวรานไม่แพ้กัน



“พี่ชัน!...มาอยู่นี่เอง อาหารเสร็จแล้วนะค่ะ ไปทาน....” ลีฮอนคยองที่เดินมาตามอัญชันไปทานอาหารร้องทักขึ้น จึงทำให้ร่างเล็กรีบเช็ดน้ำตาของตนและเดินหนีไปอย่างรีบร้อน ทิ้งให้หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความงุนงง ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูภายในห้องนอนจึงเห็นแชวอนกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ เมื่อเห็นสภาพของทั้งสองเธอก็รู้สึกเศร้าใจและสงสาร ทั้งที่เริ่มแรกเธออยากจะกำจัดแชวอนให้ออกไปจากชีวิตของอัญชัน แต่เมี่อมาเห็นว่าแชวอนนั้นเจ็บปวดมากแค่ไหนและอัญชันเองก็ร้าวรานมากเพียงใด กลับทำให้เธอเปลี่ยนใจอยากให้ทั้งสองเข้าใจกันเสียที เพราะเธอเข้าใจดีถึงความรู้สึกที่ต้องพรัดพรากจากคนที่รักสุดหัวใจนั้นเป็นอย่างไร



หลังจากกลับมาที่ห้องพักแชวอนก็เอาแต่นอน เธอไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดๆ แม้กระทั่งเสียงโวยวายและแรงเขย่าจากเพื่อนสาวบ้าพลังของเธอ



“นี่ๆๆๆๆ แม่คุณ จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไหร่ย่ะ ป่านนี้ยัยเตี๋ยโดนนังนั่นคาบไปกินแล้วมั้งเนี่ย ลุกๆๆขึ้นมาเดี๋ยวนี้” ฮโยจูพยายามดึงรั้งร่างบางให้ลุกขึ้นนั่ง หากแต่พอปล่อยมือร่างบางก็ล้มตัวลงนอนตามเดิมอยู่หลายรอบจนร่างโปร่งจนปัญญา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆร่างบางอย่างหมดแรง



“นี่เธอยอมแพ้แล้วหรอ? เธอไม่ต้องการยัยเตี๋ยอีกแล้วใช่ไหม?” ร่างโปร่งถามจี้ใจ ร่างบางส่ายหน้าตอบพร้อมน้ำตาที่ร่วงพราวบนหมอนและสะอื้นไห้หนักขึ้นจนร่างโปร่งต้องกอดปลอบ



“โธ่ยัยบ้า ถ้ารักเขามากถึงขนาดนี้ทำไมยอมแพ้ง่ายๆล่ะ ทำตัวให้มันสมกับเป็นเพื่อนฉันหน่อยซิ” ร่างโปร่งพูดปลอบ



“ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไงแล้ว ฉันเหนื่อยเหลือเกิน มันเหมือนเอื้อมมือไปคว้าดาว ต่อให้เอื้อมเท่าไหร่ ก็ไปไม่ถึงดาวเสียที” ร่างบางตอบพร้อมสะอึกสะอื้น ก่อนที่ฮโยจูจะเขกมะกอกไปที่ศรีษะเพื่อนสาวเบาๆ



“โธ่ยัยโง่ ทำไมจะเอื้อมไม่ถึงล่ะ อย่าลืมซิว่าเธอนะเป็นดวงจันทร์ แค่ดาวดวงเล็กๆ ดวงจันทร์แบบเธอนะคว้ามาได้สบายอยู่แล้ว” ร่างโปร่งพูดติดตลกสร้างรอยยิ้มให้กับเพื่อนสาวก่อนที่ทั้งสองจะกอดกันกลม ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เปิดประตูเข้ามา



“โอ้! มาขัดจังหวะหรือเปล่าเอ่ย เดี๋ยวพี่เข้ามาใหม่ก็ได้นะ” จินโฮที่เข้ามาเห็นช็อตเด็ดดาราสาวชื่อดังกอดกันกลมบนเตียงถามติดตลกให้ร่างโปร่งค้อนใส่เขายกใหญ่ หากแต่ทำให้แชวอนหัวเราะจนท้องแข็ง



“วันนี้โชคดีจังที่ได้เห็นคุณหัวเราะ รู้ไหมเวลาที่คุณหัวเราะดูดีกว่าร้องไห้เป็นล้านเท่าเลยล่ะ” จินโฮกล่าว ร่างบางจึงยิ้มรับหน้าเจื่อน



“นี่ๆ คู่หมั้นยืนสวยอยู่ตรงนี้ยังไปปากหวานกับผู้หญิงอื่นต่อหน้าต่อได้อีกหรอ” ฮโยจูกล่าวแทรกบรรยากาศขึ้นให้ทั้งสองหัวเราะงอหายกันอีกรอบ



“เดี๋ยวๆ คู่หมั้นอะไร หมั้นกับใคร ยังไง เมื่อไหร่ ทำไมพี่ไม่รู้เลย ฮโยจูหมั้นกับใครมาหรอ?” จินโฮถามหน้าเป็น



“ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยพี่แน่คราวนี้ อย่าหวังว่าชีวิตนี้พี่จะหนีฉันพ้นเลย คนที่จะได้เป็นภรรยาของพี่มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น เข้าใจไหม” ฮโยจูตะโกนกรอกหูเขาจนเกือบดับ



“จ้าๆ รู้แล้วจ้า.....ว่าแต่แชวอนจะไปเกาะเกร็ดกับพวกเราไหม เห็นคุณอึนชันว่าที่นั่นสวยมากเลย” จินโฮตอบรับอย่างจำยอมก่อนจะหันไปชวนร่างบาง เมื่อได้ยินคำว่า “เกาะเกร็ด” เธอก็ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าทันที



“ขอบคุณนะค่ะ คุณไปกับฮโยจูสองคนเถอะ ฉันยังรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขอนอนพักอีกหน่อยดีกว่า” ร่างบางปฏิเสธเสียงแผ่ว



“อะไรกัน เธอนอนมาหลายวันแล้วนะ ยังไม่หายอีกหรอ ไม่รู้ล่ะ เธอต้องไปกับพวกฉัน นี่เป็นคำสั่ง” ฮโยจูผู้ไม่ฟังเสียงใครฉุดร่างบางขึ้นจากเตียงและลากออกจากห้องอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ร่างเล็กจะปรากฎตัวขึ้น



“พร้อมกันหรือยังค่ะ?” อัญชันถามพร้อมมองหน้าทุกคน เมื่อสายตามาหยุดที่แชวอนร่างเล็กก็ไม่หลบสายตาเหมือนอย่างเคย แต่กลับมองด้วยความเย็นชาจนร่างบางต้องเป็นคนหลบสายตานั้นเสียเอง เพราะเธอทนไม่ได้ที่ดวงตาคู่นั้นซึ่งเคยมองเธอด้วยความอ่อนโยนและเปี่ยมรัก ตอนนี้กลับไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆแม้แต่ความโกรธแค้นหรือเกลียดชัง



ทั้งสี่มุ่งหน้าไปยังเกาะเกร็ดด้วย “เจ้าปลาทอง” สปอร์ตโบ้ทคู่ใจของอัญชัน บรรยากาศบนเรือเหมือนแบ่งเป็นสองโลก ฮโยจูและจินโฮนั้นหวานแหววชู้ชื่นกันอยู่สองคนด้านหลัง ในขณะที่อัญชันและแชวอนต่างนั่งกันอย่างเงียบงัน เมื่อขับมาจอดยังท่าเรือบ้านป้าของอัญชันทั้งสี่ก็ขึ้นไปยังท่า โดยมีหลานสาวตัวน้อยวิ่งออกมาต้อนรับเหมือนเคย



“พี่ชันมาจ๊ะยาย!........ของฝากหนูล่ะ” ข้าวสวยญาติตัวน้อยตะโกนบอกผู้เป็นยายและแบมือขอของฝากทันที อัญชันจึงขยี้ผมหนูน้อยด้วยความหมันเขี้ยวก่อนจะหยิบตุ๊กตาบาร์บี้ที่เตรียมมาส่งให้



“เอ้า เอาไป ทวงจริงเชียว” ร่างเล็กกล่าวพลางบีบจมูกน้อยๆของข้าวสวย เมื่อได้ค่าผ่านประตูนายทวารตัวน้อยจึงรีบวิ่งหายไปทันที



“ไอ้เด็กคนนี้ ผู้ใหญ่มาไม่ยกมือไหว้ทวงของลูกเดียว แถมให้ของก็ไม่ขอบคุณวิ่งหายไปเฉยเลย ให้ตายเถอะ ลูกเต้าหลานใครกันเนี่ย” วันแรมเดินลงเรือนมาต้อนรับหลานรักพลางบ่นเอ็ดหลานสาวตัวดีของตน ก่อนที่ทั้งสี่จะยกมือไหว้ตามธรรมเนียมของไทยเมื่อเห็นวันแรมเดินมาที่ท่า



“เป็นยังไงล่ะชัน หายหน้าไปนานเลย คงยุ่งทำไอ้รีใส่นั่นซินะ” วันแรมเอ่ยทักหลานรักพร้อมใช้ความสามารถพิเศษในการมั่วคำที่ฝั่งอยู่ในดีเอ็นเอเดียวกับวันเพ็ญ



“เขาเรียก รีสอร์ทจ๊ะป้า ไม่ใช่รีใส่” อัญชันรีบแก้คำให้ทันที



“แหม ก็ป้าไม่เก่งเหมือนแม่เรานี่ ว่าแต่ใครกันบ้างล่ะเนี่ย?” วันแรมตอบเอียงอายก่อนจะหันไปสนใจกับแขก(เกาหลี)ที่หลานสาวพามา



“นี่คุณฮัน ฮโยจู นี่คุณปาร์ค จินโฮ แล้วนี่ก็.....” อัญชันแนะนำทีละคนก่อนจะมาหยุดที่ร่างบาง



“อ้อ! ป้าจำได้ แม่หนูคนนี้ที่ชันเคยพามาใช่ไหม เอ๊ะชื่ออะไรนะ ที่ยัยเพ็ญบอก......อ้อ หนูจันทร์ ใช่ไหมๆ” วันแรมถามอย่างตื่นเต้น



“.....จ๊ะ” อัญชันตอบหน้าเจื่อน



“มาๆ ขึ้นเรือน กินข้าวกินปลากันก่อนดีกว่า” วันแรมเชื้อเชิญ



“ไม่เป็นไรจะป้า ฉันว่าจะพาพวกเขาไปทานในตลาดนะ” อัญชันปฎิเสธ



“โอ้ยจะไปกินให้เปลืองตังค์ทำไม ข้าวปลาเราก็มี” วันแรมแย้ง



“ป้าก็ เขาเป็นต่างชาติก็อยากกินอาหารท้องถิ่นสิ ถึงยังไงพวกฉันก็ต้องไปเดินตลาดอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องรบกวนป้าด้วย” อัญชันให้เหตุผล จากนั้นทั้งสี่จึงมุ่งหน้าเข้าสู่วัดปรมัยยิกาวาส ความทรงจำเก่าๆหวนมาให้สองสาวเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ ภาพเบื้องหน้าที่ฮโยจูและจินโฮกุมมือกันหวานชื่น ทำให้ทั้งสองมองเห็นภาพซ้อนวันวานที่เคยกุมมือกันเดินตามร้านรวงต่างๆอย่างสนุกสนาน แต่ตอนนี้แม้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือคว้าแต่คงไม่สามารถทำเหมือนเคยได้อีกแล้ว สองสาวได้แต่กำมือของตนไว้แน่นเพื่อหักห้ามใจไม่ให้ไปคว้ามือของอีกฝ่าย



“นี่ ปันจักรยานกันไหม?!” ฮโยจูหันมาถามสองสาวอย่างตื่นเต้นก่อนจะวิ่งไปยังร้านเช่าจักรยาน เมื่อได้คันที่ถูกใจร่างโปร่งก็ขึ้นไปซ้อนท้ายให้จินโฮเป็นผู้ปั่นก่อนจะหันกลับมาถามสองสาว



“อ้าว! เลือกได้หรือยัง? หรือว่าจะนั่งซ้อนท้ายกันแบบคู่ของฉัน ฮิๆๆ” ฮโยจูกล่าวแซวหากแต่สองสาวไม่รับมุก อัญชันจึงเดินไปหาเจ้าของร้านพร้อมจ่ายเงินสำหรับสามคันก่อนจะปั่นจักรยานคันหนึ่งนำหน้าไป ทั้งสามมองตามหลังร่างเล็กอย่างงุนงง



“แชวอนเธอปั่นได้ไหม ให้ฉันปั่นให้ไหม แล้วเธอมาซ้อนท้ายพี่จินโฮ” ฮโยจูหันมาถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วงหากแต่ร่างบางปฏิเสธ เธอเดินไปจับจักรยานคันหนึ่งก่อนจะขึ้นปั่นตามไป ทั้งสี่ปั่นตามกันมาเป็นขบวนก่อนจะหยุดลงจูงเมื่อเข้าเขตตลาดที่ผู้คนพลุกพล่านและขึ้นปั่นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพอปั่นได้ แต่ก็ต้องลงมาจูงอีก ทำสลับกันอยู่แบบนี้เพราะทางคับแคบและผู้คนหนาแน่น ร่างบางจึงเริ่มล้าอย่างเห็นได้ชัดทั้งอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้หน้าขาวๆนั้นซีดเผื่อดจากการเสียเหงื่อ อัญชันจึงตัดสินใจจอดรถฝากแม่ค้าร้านหนึ่งไว้และเดินมาจับจักรยานของแชวอน



“คุณขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเถอะ เดี๋ยวฉันปั่นให้ค่ะ” อัญชันกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงความห่วงใย ทำให้จินโฮและฮโยจูมองตาค้างและแอบดีใจจนออกนอกหน้า ร่างบางเองก็แทบไม่อยากเชื่อสายตา แต่ก็ทำตามที่คนตัวเล็กสั่งแต่โดยดี เธอขึ้นไปนั้งซ้อนท้ายด้วยท่าทางเก้ๆกังๆและมองแผ่นหลังร่างเล็กที่กำลังจูงจักรยานให้พลางแอบยิ้มดีใจ



“ฉันจะปั่นแล้วเกาะแน่นๆนะค่ะ” ร่างเล็กหันมาบอกก่อนจะขึ้นปั่น ร่างบางได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบ เมื่อแผ่นหลังของคนตัวเล็กมาอยู่ตรงหน้าเธอก็ค่อยๆสวมกอดเอวของอัญชันด้วยความเขินอายและดีใจเป็นที่สุด ร่างบางหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสของแผ่นหลังนี้ที่เธอเคยอิงแอบมาก่อน



“อ้า...คิดถึงเหลือเกิน ฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน พระเจ้าได้โปรดหยุดเวลานี้ไว้ด้วยเถอะ....” เสียงวิงวอนจากส่วนลึกของหัวใจแชวอน




ภายหลังกลับจากเกาะเกร็ดทั้งสี่ต่างแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวมารับประทานอาหารค่ำร่วมกันบนเรือนใหญ่ ภายในห้องพักของดาราสาวทั้งสองต่างร้องวี้ดว้ายพุดคุยกันอย่างออกรส



“ฉันว่ายัยเตี๋ยใจอ่อนแล้วล่ะ เธออย่ารอช้า แบบนี้ต้องรุกให้เต็มที่” ฮโยจูรีบยุยงร่างบางทันทีทีเข้ามาในห้อง



“จะบ้าหรอ รุกอะไรกันล่ะ?” แชวอนรีบปฏิเสธหน้าแดงด้วยความเขินอาย



“แหมดูแลเฝ้าไข้ แถมเป็นห่วงเป็นใยปั่นจักรยานให้แบบนี้ ฉันว่าไม่รอดแล้วล่ะ ยัยเตี๋ยเสร็จเธอแน่ๆ” ร่างโปร่งสรุปเสร็จสัพ



“บ้า! พูดอะไรน่าเกลียดที่สุด” แชวอนเอ็ดหน้าแดงพลางทุบเพื่อนสาวจอมก๋ากั่น ร่างโปร่งจึงสวนกลับด้วยหมอนหนุนก่อนที่สองสาวจะก่อสงครามหมอนข้างกันจนห้องแทบแหลกลาน



“พอๆ เฮ้อเหนื่อย ยอมแล้วๆ” ร่างโปร่งเป็นฝ่ายโบกธงขาวก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ร่างบางจึงตามลงไปนอนข้างๆ



“ฉันกลัวจังเลยฮโยจู” ร่างบางเอ่ยขึ้น



“กลัวอะไรของเธอ?” ร่างโปร่งถามด้วยความฉงน



“กลัวว่าฉันจะคิดไปเองนะซิ กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน” ร่างบางตอบ ฮโยจูจึงหันไปหยิกแก้มขาวทั้งสองข้างของแชวอนจนมันแดงก่ำ



“โอ้ย! ทำอะไรเนี่ยเจ็บนะ!” ร่างบางเอ็ดใส่



“เจ็บซินะ ถ้าเจ็บก็ไม่ได้ฝันนี่ จริงไหม?” ร่างโปร่งบอกหน้าเป็น




บนเรือนใหญ่เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าจึงเริ่มรับประทานอาหารร่วมกัน แม้บรรยายกาศยังคงอึดอัดเหมือนเดิมระหว่างอัญชันและแชวอน หากแต่มีลูกยุของฮโยจูจึงทำให้แชวอนใจดีสู้เสือตักอาหารใส่จานอัญชันอยู่เป็นระยะทั้งที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ แต่ร่างเล็กก็ยังรักษาน้ำใจไม่ปฏิเสธออกมาเป็นคำพูดหากแต่เขี่ยอาหารที่ได้ไปไว้ข้างจานจนร่างโปร่งทนไม่ไหว



“นี่ยัยเตี๋ย! เพื่อนฉันอุส่า…..” ฮโยจูระเบิดอารมณ์ หากแต่โดนร่างบางรั้งไว้ไม่ให้เพื่อนทำเสียเรื่อง



“เอ่อ...ขอโทษนะค่ะ ทานกันต่อเถอะค่ะ” แชวอนกล่าวกับทุกคนและพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กจะลุกพรวดขึ้น



“ฉันอิ่มแล้วขอตัวก่อนนะค่ะ ยองชิฝากที่เหลือด้วยนะ” อัญชันหันมาพูดกับลีฮอนคยองก่อนจะเดินลงเรือนไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ร่างบางได้แต่ทำหน้าเศร้าพลางมองแผ่นหลังนั้นเดินจากไป



“ฮึ่ย! ยัยบ้าเอ๊ยมันจะมากไปแล้วนะ เพื่อนฉันเป็นซุปตาร์นะย่ะ ซุปตาร์ คิดว่าตัวเองเป็นใครกันเนี่ยฮ่ะ” ฮโยจูได้แต่เอะอะโวยวายไล่หลังโดยมีจินโฮพยายามดับน้ำโหของเธอ บรรยากาศสับสนที่ปกคลุมไปด้วยความเครียดบนโต๊ะอาหารนั้นเป็นไปโดยมีสายตาของวันเพ็ญเฝ้าดูอยู่ แม้เมื่อก่อนเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าพวกเด็กๆมีปัญหาอะไรกันหรือเป็นเพียงแค่การหยอกล้อเท่านั้น หากแต่บัดนี้ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นแม่เธอสามารถรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากล และสิ่งนั้นคือสิ่งที่รบกวนจิตใจลูกสาวสุดที่รักของเธอมาตลอด



“ยองชิ หนูรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น บอกความจริงกับแม่ได้ไหม?” วันเพ็ญถามขึ้นขณะที่ล้างจานอยู่กับลีฮอนคยอง หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าซีด



“เออ....ไม่มีอะไรนี่ค่ะแม่” ลีฮอนคยองพยายามตอบเสียงเรียบ



“อย่าโกหกแม่เลย แม่ไม่ใช่คนฉลาด แต่ก็ไม่โง่ถึงขนาดดูลูกสาวของตัวเองไม่ออกหรอกนะ ที่แม่ไม่พูดไม่ใช่ไม่รู้ แต่แค่รอว่าเมื่อไหร่พวกลูกจะบอกแม่เท่านั้น” วันเพ็ญกล่าว หญิงสาวถึงกับคิดหนัก เธอไม่รู้ว่าควรจะบอกเรื่องราวทั้งหมดแก่วันเพ็ญดีหรือไม่ หากบอกไปจะยิ่งเพิ่มปัญหาให้อัญชันปวดหัวมากกว่าเดิมหรือมันอาจจะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดได้




บรรยากาศบ้านสวนยามค่ำคืนช่วยทำให้หัวใจที่ว้าวุ่นของแชวอนสงบลงได้บ้าง วันนี้หัวใจของเธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน เพราะเมื่อเช้าใจของเธอนั้นห่อเหี่ยวราวกับลูกโป่งไร้ลม พอตกบ่ายมันกลับพองโตดั่งบอลลูน แต่ตกค่ำมันก็แตกสลาย ที่มันเป็นได้ขนาดนี้ล้วนเกิดจากน้ำมือของคนเพียงคนเดียว คนใจร้ายที่แสนดีผู้มีอิทธิพลต่อทุกลมหายใจของเธอ ร่างบางเดินไปตามทางเดินลึกเข้าไปท้ายสวนจนมาหยุดอยู่ที่บึงใหญ่ ท้องน้ำสว่างไสวด้วยแสงนวลจากดวงจันทร์โดยมีหิ่งห้อยนับพันล่องลอยไปทั่วบริเวณ



“ใครนะ?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นแก่ผู้มาเยือนร่างบาง



“เอ๊ะ!เสียงใครนะ?” แชวอนถามด้วยความตกใจเนื่องจากไม่เห็นร่างเจ้าของเสียง ก่อนที่ร่างเล็กจะค่อยๆก้าวออกมาจากเงาไม้ อัญชันปรากฎตัวขึ้นพร้อมจ้องมองมายังแชวอนที่ยังอยู่ในอารามตกใจ หัวใจของร่างบางที่เต้นแรงจากความตกใจทันใดก็เต้นถี่ขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กในสถานที่แห่งความทรงจำ ทั้งสองต่างนิ่งมองกันอย่างเงียบงันก่อนที่ร่างเล็กจะเป็นฝ่ายเดินหนี เมื่อเห็นดังนั้นร่างบางจึงหยุดยั้งร่างเล็กไว้ด้วยอ้อมกอดที่สวมเข้าไปทางด้านหลัง



“ได้โปรด อย่าเดินหนีฉันอีกเลย ทุกครั้งที่คุณทำแบบนั้น มันทำให้ฉันแทบขาดใจ อย่าทรมานฉันด้วยการหมางเมินอีกต่อไปเลย ยกโทษให้ฉันเถอะ เรากลับมาเป็นเหมือนก่อนไม่ได้หรือค่ะ เรากลับมารักกันอีกครั้งไม่ได้แล้วหรือ?” แชวอนอ้อนวอนพร้อมสะอื้นไห้ อัญชันนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆแกะมือบางออกและหันหน้ามาหาร่างบางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน



“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนว่าฉันคงจะทำให้คุณเข้าใจผิด เพราะฉัน......จำไม่ได้เลยว่าเคยบอกรักคุณตอนไหน ส่วนเรื่องยกโทษอะไรนั่นฉันก็ไม่ได้ติดใจอะไร ยังไงมันก็จบไปนานแล้ว ฉันว่า...เราลืมๆมันเสียเถอะค่ะ...นะค่ะ” ร่างเล็กตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้ร่างบางยืนตะลึงกับคำตอบที่ได้รับ ขาทั้งสองข้างล้าจนไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวเองได้ เธอทรุดตัวลงกับพื้นอย่างคนหมดแรงก่อนจะฟูมฟายอย่างคนไม่ได้สติ ความรักที่เธอเคยคิดว่ามีร่วมกันหากแต่เพียงความฝันที่เธอเพ้อฝันไปเองแต่เพียงผู้เดียว เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา ไม่เหลือแม้ความทรงจำดีๆให้เธอไว้จดจำ




หลังจากรวบรวมสติที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดแชวอนพยายามพาร่างไร้วิญญาณของตัวเองเดินกลับไปยังห้องพัก แต่เส้นทางมันช่างยาวไกลกว่าขามาเป็นพันเท่า ทุกย่างก้าวนั้นหนักอึ้งราวกับน้ำหนักของความเจ็บช้ำที่เธอได้รับ เมื่อมาถึงห้องเธอก้มหน้าก้มตาเก็บกระเป๋าและจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงตุ๊กตาหมีน้อย “เท็ดดี้เกิร์ล” โดยที่ไม่บอกลาใครแม้กระทั่งเพื่อนรักอย่างฮโยจูซึ่งออกไปเดินเล่นกับแฟนหนุ่มหมาดๆอย่างหวานชื่นอยู่ในขณะนั้น