ตอนที่ 14 รักจากจร (The Vanishing Love)
บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถราท้องฟ้าก็เริ่มมืดดำในขณะที่หิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก บนรถเมล์คันหนึ่งที่จอดติดไฟแดงอยู่นั้น หญิงสาวร่างเล็กยังคงนั่งร้องไห้คร่ำครวญต่อการตัดสินใจที่แสนเจ็บปวด โดยการเดินจากคนที่เธอรักมาอย่างไม่สมัครใจ แล้วจะให้เธอทำอย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้นหากเธอดึงดันที่จะอธิบายมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอเป็นจอมโกหกและกลายเป็นว่าเธอไม่รักษาคำพูดที่เคยให้ไว้ เธอจึงต้องจำใจจากมาด้วยความเจ็บช้ำ ทันใดเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
“แกอยู่ที่ไหนนะ?” ปลายสายถามคนตัวเล็กที่ยังคงร่ำไห้
“ชัน?......นี่แกร้องไห้หรอ?!” เอื้อเฟื้อถามด้วยความแปลกใจ ร่างเล็กจึงพยายามกลั้นน้ำตาและตอบกลับ
“ฉันไม่เป็นไร กำลังกลับแล้วล่ะ ตอนนี้อยู่บนรถเมล์ แล้วเจอกัน” อัญชันตอบก่อนวางสาย เอื้อเฟื้อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปรอรับเพื่อนที่ป้ายรถเมล์ทันที เมื่อรถเมล์คันดังกล่าวมาจอดยังป้ายที่เป็นจุดหมายของอัญชัน ร่างเล็กก็ค่อยๆเดินลงมาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เธอพบว่าเพื่อนรักของเธอนั้นมายืนรอเธออยู่ก่อนแล้ว ร่างเล็กจึงวิ่งเข้าไปกอดเพื่อนรักและร่ำไห้ปานจะขาดใจ เอื้อเฟื้อเห็นเพื่อนตัวเองในสภาพแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดและโกรธแค้นต่อผู้ที่ทำให้เพื่อนเขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอร้องไห้คือตอนที่พ่อเธอเสีย นั่นคือครั้งแรกและครั้งเดียวจากนั้นเธอก็ไม่เคยร้องไห้อีกเลย เพราะเธอพยายามที่จะเป็นคนเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งของแม่ แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ใครที่ทำให้เพื่อนของเขาต้องร้องไห้เสียใจขนาดนี้
“เล่ามาซิมันเกิดอะไรขึ้น บอกฉันมา?” เอื้อเฟื้อถามเสียงเครียดพร้อมเขย่าร่างของอัญชัน ร่างเล็กได้แต่ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้น
“พี่คะ!” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ทั้งสองไม่คิดว่าจะได้เจอในเวลาแบบนี้ร้องทักขึ้น พวกเขาจึงหันไปหาเจ้าของเสียงดังกล่าว
“คุณลี!” เอื้อเฟื้อกล่าวอย่างแปลกใจที่พบกับคนรักของตน ทั้งที่ปกติหากเธอจะมาหาเธอจะโทรมาบอกก่อนเพราะหาโอกาสหลบสายตาผู้เป็นพ่อนั้นยากหนักหนา แล้วนี่อยู่ดีๆทำไมเธอจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หญิงสาววิ่งเข้าไปกอดคนรักของเธอทันที
“พี่ค่ะ ฉันจะทำยังไงดี? ฉัน....ฉันท้องค่ะ!” ลีฮอนคยองกล่าวพลางร้องไห้กระซิกกับอกคนรัก เอื้อเฟื้อถึงกับช็อคยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เหมือนดั่งโลกทั้งใบพังทลายต่อหน้าเขา อนาคตที่เขาฝันไว้ การเรียน แล้วยังหน้าที่ที่เขาต้องรับต่อจากพ่อ แล้วจะทำอย่างไรดี อัญชันมองดูอาการช็อคของเพื่อนก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามกับลีฮอนคยอง ด้วยเพราะเธอเคยศึกษาที่ต่างประเทศเลยพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอๆกับภาษาแม่ของตนจึงไม่เป็นปัญหาในการสื่อสารกับอัญชัน เธอบอกกับอัญชันว่าท้อง ร่างเล็กเองก็ตกใจไม่ใช่น้อยทำเอาลืมความเศร้าไปเสียสนิท ก่อนจะยิ้มอย่างยินดีและเข้าไปกอดลีฮอนคยองไว้ ก่อนจะหันไปพูดกับเอื้อเฟื้อที่ยังช็อคไม่หาย อัญชันตบไปที่ไหล่ของเขาเป็นการเรียกสติ
“เฮ้ย! นี่มันเป็นเรื่องน่ายินดีนะ อย่าทำหน้าแบบนี้ซิ” ร่างเล็กพูดเตือนสติเพื่อน เขาจึงพยายามยิ้มออกมาอย่างยากลำบากเพื่อให้คนรักของเขาใจชื้น
“คุณพ่อ....คุณพ่อจะให้ฉันเอาเด็กออกค่ะ!” เธอกล่าวและร้องฟูมฟาย ทั้งสองได้ยินก็ถึงกับทำหน้าเครียด ทันใดนั้นรถคันหนึ่งก็เบรกอย่างกะทันหันไม่ห่างจากที่ทั้งสามยืนอยู่ มีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งลงมาจากรถและตรงเข้าหาทั้งสามทันที
“วิ่ง!” ลีฮอนคยองร้องขึ้น จึงทำให้อัญชันและเอื้อเฟื้อรู้ว่าชายกลุ่มดังกล่าวคือคนของพ่อเธอ
“ชันแกพาคุณลีหนีไปก่อน ไปเร็ว!” เอื้อเฟื้อบอกก่อนจะเข้าไปขวางชายกลุ่มนั้น อัญชันจึงจับมือเธอวิ่งหนีไปพร้อมกัน
“พี่ค่ะ!” ลีฮอนคยองเหลียวหลังมาดูคนรักถูกซ้อม จึงร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง
“ไป รีบไป!” เอื้อเฟื้อตะโกนบอกก่อนที่ปากเขาจะกระแทกกับหมัดเข้าเต็มแรง พวกมันทั้งเตะทั้งต่อยเขาไม่ยั้ง
อัญชันพาลีฮอนคยองขึ้นรถแท็กซี่หนีออกมาห่างจากจุดเกิดเหตุพอสมควรแล้ว แต่หญิงสาวยังคงร้องไห้ต่อภาพที่เห็น เธอเป็นห่วงคนรักของตนว่าจะเป็นอันตราย
“ไม่ต้องห่วงนะ หมอนั่นมันอึดกว่าที่เห็น มันไม่เป็นไรหรอก” อัญชันกอดปลอบหญิงสาวที่ร้องไห้ฟูมฟาย ร่างเล็กไม่รู้ว่าต้องไปไหนจึงให้รถจอดยังแหล่งที่คนพลุ่กพล่าน สักพักโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
“แกปลอดภัยใช่ไหม?” อัญชันรีบถามปลายสายทันทีที่รับ
“อืม....แค่กๆ ฉันโอเค คุณลีเป็นไงบ้าง?” เอื้อเฟื้อไอจากความจุกที่ถูกซ้อม โชคดีที่ตอนนั้นมีตำรวจผ่านมาพอดีเขาจึงฉวยโอกาสวิ่งหนีพวกมันมาได้และหนีมาซ่อนตัว
“เธอไม่เป็นไร....แล้วจะเอายังไงต่อ” อัญชันถามเสียงเครียด
“.......พาเธอไปที่สนามบิน เดี๋ยวฉันตามไป” เอื้อเฟื้อบอกอย่างอ่อนแรง
“นี่แกจะกลับเมืองไทยหรอ แล้วเรื่องเรียนล่ะ?” ร่างเล็กถามด้วยความเป็นห่วง
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง? จะให้ทิ้งลูกทิ้งเมียของตัวเองหรอ?” เอื้อเฟื้อสวนเสียงเข้ม อัญชันจึงเงียบไม่ต่อปากต่อคำอีก
“รีบไปสนามบินซะ เดี๋ยวฉันกลับไปเก็บของก่อน แล้วจะเอาตั๋วไปให้ที่นั่นเลย ฝากดูแลคุณลีสักพักก็แล้วกัน” เอื้อเฟื้อบอกก่อนวางสาย ร่างเล็กฟังการตัดสินใจของเพื่อนก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก เธอครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งพลางมองลีฮอนคยอง ก่อนจะต่อสายไปยังคนที่เธอคิดว่าเขาสามารถช่วยเหลือเธอได้ทุกเรื่องอย่างแน่นอน
“ลุงพวงหรอค่ะ? หนูมีเรื่องให้ช่วยค่ะ” ร่างเล็กบอกคนปลายสาย
เอื้อเฟื้อกำลังรื้อค้นเอกสารและสัมภาระยัดใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อนก่อนจะโทรไปหาเพื่อนที่อยู่ในบริษัททัวร์เพื่อให้ช่วยหาตั๋วเครื่องบินไปเมืองไทยเที่ยวที่เร็วที่สุด จากนั้นเขาจึงออกจากบ้านหากแต่พอมาถึงหน้าบ้านก็พบเข้ากับชายชุดดำกลุ่มเดิมมาดักรออยู่ ด้วยเพราะมีบุคคลนิรนามโทรไปบอกว่าเอื้อเฟื้อพักอยู่ที่นี่
“บอกมาเดี๋ยวนี้ไอ้หน้าจืด แกเอาคุณหนูไปซ่อนที่ไหน!” เจ้าอ้วนคนหนึ่งในกลุ่มถามพร้อมกระชากคอเสื้อเขา เอื้อเฟื้อพยายามมองหาลู่ทางหนีหากแต่พวกมันก็ล้อมเขาไว้ไม่เหลือช่องว่างให้หนีไปเลย เวลาเดินทางก็ใกล้เข้ามาทุกทีเขาจึงคิดที่จะสู้ตาย เขาโยนกระเป๋าในมือแล้วเข้าจู่โจมพวกมัน หากแต่กำลังและจำนวนคนต่างกันมากเขาจึงเป็นฝ่ายถูกพวกมันรุมซ้อม เอื้อเฟื้อล้มลงและกระอักเลือดจากการถูกเตะ เจ้าอ้วนคนเดิมกระชากศีรษะเขาขึ้นมา
“บอกมาว่าคุณหนูอยู่ไหน?” มันยังคงถามคำถามเดิม หากแต่เอื้อเฟื้อไม่ตอบ มันจึงเตะเข้าที่หน้าเขาเต็มแรง เอื้อเฟื้อหมดสติลงทันที ทันใดนั้นรถตำรวจก็เข้ามาจอดและลงมาจับเหล่านักเลงพวกนั้น
“ไปกันเถอะ เครื่องจะออกแล้ว” อัญชันบอกหญิงสาวที่ยังคงนั่งรอคอยคนรักของเธอ
“แล้วพี่แทยังละค่ะ?” ลีฮอนคยองถาม
“......ฟังนะยองชิ พี่รู้ว่าเธอรักและเป็นห่วงเขามาก เขาเองก็รักและเป็นห่วงเธอมากเช่นกัน เพราะฉะนั้นนี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด......ไปกันเถอะ พี่จะดูแลเธอเอง” อัญชันกล่าวด้วยน้ำสียงอ่อนโยน
“ตะ..แต่พี่แทยัง เขาอาจจะ….” หญิงสาวยังคงเป็นกังวลถึงคนรักว่าอาจจะถูกลูกน้องของพ่อเล่นงาน
“ไม่ต้องห่วง พี่ให้คนจัดการเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้แค่เชื่อใจพี่ก็พอ” อัญชันกล่าวพร้อมกุมมือของหญิงสาวไว้ เธอจึงยอมตามไปอย่างว่าง่ายโดยที่ยังคงมองเหลียวหลังมาดูว่าคนรักของเธออาจตามมาทัน
ความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างปลุกให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ลืมตาตื่นขึ้น เขามองเห็นเพดานที่ไม่คุ้นตาจึงพยายามมองไปรอบๆว่าตนอยู่ที่ใด หากแต่เพราะคอของเขาถูกใส่เฝือกอยู่จึงเคลื่อนไหวไม่ได้ดีนัก ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาของชายสูงวัยที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่ชายคนนั้นจะหันกลับมา
“ตื่นแล้วหรอ?” เป็นลุงพวงนั่นเองที่มาอยู่เฝ้าไข้เขาตั้งแต่ทราบข่าวจากอัญชัน เขาคือคนที่หาตั๋วเครื่องบินและทำเรื่องขอวีซ่าให้ลีฮอนคยอง รวมถึงโทรบอกพวกนักเลงให้มาหยุดเอื้อเฟื้อไว้ ก่อนจะบอกตำรวจให้มาช่วยเขาที่หลัง
“พ่อมาได้ยังไง?” เอื้อเฟื้อถามด้วยความแปลกใจ
“หนูชันบอกทุกอย่างกับฉันหมดแล้ว” ผู้เป็นพ่อตอบน้ำเสียงเรียบหากแต่แฝงความเยือกเย็นไว้ เอื้อเฟื้อได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ด้วยรู้สึกระอายที่ตัวเองไม่สามารถช่วยใครได้เลยทั้งอัญชันและลีฮอนคยอง
“ตอนนี้พวกเธออยู่ที่ไหนหรือครับ?” เขาถามเสียงอ่อน
“บ้านสวน กลับไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว” ผู้เป็นพ่อตอบ
“ถ้าผมหายดีเมื่อไหร่จะรีบกลับไปทันทีเลยครับ” เอื้อเฟื้อกล่าว
“ไม่ต้อง! ถ้าแกหายเมื่อไหร่ก็รีบกลับไปเรียน ทำตามความฝันของแกซะ ฉันกับหนูชันจะดูแลทุกอย่างเอง” ลุงพวงบอก เอื้อเฟื้อแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองที่ได้ยินผู้เป็นพ่อพูดเช่นนี้กับตน เพราะโดยปกติไม่ว่าสิ่งใดอัญชันต้องมาก่อน แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ มันเหมือนกับว่าพ่อเริ่มเห็นเขาสำคัญขึ้นมาบ้างแล้ว
“พักผ่อนซะ” ลุงพวงจับไปที่ไหล่ของเขาก่อนจะเดินออกจากห้องไป ชายหนุ่มถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปิติ เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับความรักและความอ่อนโยนจากผู้ชายคนนี้มาก่อน
ณ บริษัท สตาร์เคย์ เอ็นเตอร์เทนเม้น หลังจากต้องไปดูงานที่ต่างประเทศอยู่หลายวันจินโฮก็กลับมาทำงานที่บริษัท และได้รู้ว่าอัญชันไม่ได้ทำงานกับแชวอนอีกต่อไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” จินโฮถามด้วยความแปลกใจกับคุณจางผู้จัดการของแชวอน
“เดี๋ยนก็ไม่รู้อะไรมากหรอนะค่ะ ฮโยจูกับแชวอนไม่ยอมบอกเดี๋ยนเลย รู้แค่ว่าตอนนี้นะ ห้ามพูดถึงชื่ออัญชันหรืออึนชันเด็ดขาด!” คุณจางกล่าวเสียงเครียด
“ฮโยจู?....ฮโยจูมาเกี่ยวอะไรด้วยครับ?” จินโฮถามน้ำเสียงฉงน หากแต่คุณจางก็ไม่สามรถตอบคำถามนี้ได้ว่าทำไม เขาจึงต้องไปหาคำตอบด้วยตัวเอง ร่างสูงมายังกองถ่ายละครพรีเรียตที่ดาราสาวฮันฮโยจูนำแสดง เขาตรงเข้าไปยังเต็นท์นักแสดงของเธอเมื่อเห็นเป้าหมายเขาก็เข้าไปกระชากแขนถามเธอทันที
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? เธอทำอะไรลงไป?” เขาถามเสียงเกรี้ยวกราด ร่างโปร่งตกใจกับการกระทำของเขาแต่เมื่อตั้งตัวได้ก็สะบัดแขนเขาออก แล้วตบหน้าเขาไปตบแรง
“ฉันหรอบ้า? คนที่บ้าคือพี่ต่างหาก แค่ผู้หญิงเลวๆคนหนึ่ง พี่ถึงกับทำร้ายแชวอน” ฮโยจูกล่าว สร้างความฉงนให้ร่างสูงมากกว่าเดิม
“ไหนบอกซิว่าพี่ทำอะไร?” เขาเค้นเอาคำตอบ
“นี่พี่ติดโรคหน้าด้านมาจากนางนั่นด้วยหรอ” ร่างโปร่งประชดประชัน ก่อนจะเดินหนี หากแต่โดนร่างสูงรั้งแขนไว้
“อย่ามาเล่นลิ้น บอกมาสิว่าเธอรู้อะไร” จินโฮซัก ร่างโปร่งจึงสะบัดแขนเขาก่อนจะเดินไปหยิบ
สำนวนเอกสารสัญญาระหว่างนักข่าวคิมและจินโฮในกระเป๋าแล้วโยนใส่หน้าเขา
“นี่ไงล่ะที่ฉันรู้” ฮโยจูจ้องร่างสูงอย่างโกรธแค้น เขาหยิบเอกสารดังกล่าวขึ้นมาดู
“ทีนี้พี่จะแก้ตัวยังไง?” ร่างโปร่งถาม
“พี่ไม่จำเป็นต้องแก้ตัว เพราะพี่ไม่ได้ทำอะไรผิด พี่รับเงินนั่นมาจริงอย่างที่เธอรู้ แต่เธอรู้ไหมว่าพี่เอาเงินนั่นไปทำอะไร?” จินโฮถามกลับ
“ก็เอาไปให้นังชั่วนั่นยังไงล่ะ นังจิ้งจอกที่มันแทงข้างหลังเพื่อนฉัน!” ร่างโปร่งระเบิดอารมณ์
“ผิดแล้วล่ะ คุณอึนชันไม่ได้จับเงินนั่นด้วยซ้ำ ถ้าแค่เธอมองดูดีๆก็จะรู้ว่าวันทีทำสัญญานั้น คุณอึนชันไม่ได้อยู่เกาหลี” จินโฮอธิบาย
“แต่...แต่นังนั่นมันคือเท็ดดี้?” ฮโยจูเริ่มสับสัน
“ถูกต้อง คุณอึนชันคือเท็ดดี้ และเท็ดดี้ก็คือคนที่เอาเงินพวกนี้ไปกว่านซื้อพื้นที่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเพื่อประณามการกระกำของผู้กำกับลี รวมถึงปล่อยคลิปจากกล้องวงจรปิดเพื่อทำให้ทุกคนรู้ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นด้วย แล้วยังระดมเหล่าแฟนคลับให้ลุกขึ้นมาปกป้องแชวอน นี่ละคือสิ่งที่เท็ดดี้ทำ” จินโฮเล่า ฮโยจูรู้สึกอึ้งกับความจริงที่เขาบอก เธอพยายามประติดประต่อเรื่องและวิเคราะห์ความเป็นไปได้
“งั้นทำไมพี่ต้องทำสัญญาบ้าๆนี่ด้วย พี่รับเงินมาทำไม ทำไมถึงไม่ฟ้องมัน?” ฮโยจูซัก
“.....นั่นเป็นเพราะพี่มันอ่อนแอ ถ้าสู้กันตามกฎหมายเราคงไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ และสิ่งที่ต้องทำคือการแก้ข่าวนั้นของแชวอน หากดึงดันที่จะฟ้องมันคงจะใช้เวลานาน จนเธอไม่สามารถกลับเข้าวงการได้อีก มันอาจดูไม่ถูกต้องนักที่เราปล่อยคนทำผิดลอยนวล แต่เราก็ช่วยแชวอนไว้ได้นี่” จินโฮอธิบายเสียงเศร้า
“งั้นยัยนั่นก็ไม่ได้เป็นคนปล่อยรูปนั้นยังงั้นหรือค่ะ?” ร่างโปร่งยังคงไม่เข้าใจ เธอกุมขมับตัวเองเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ จินโฮจึงรวบมือของเธอไว้และยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“ฮึๆๆ เธอนี่ฉลาดแต่ไม่เฉลียวเอาเสียเลยนะ กว่าจะรู้เรื่อง” เขาหัวเราะเอ็นดูกับอาการเหว๋อของน้องสาวตัวแสบ เธอจึงทำหน้าค้อนใส่เขาไปหนึ่งที ก่อนจะนึกถึงเพื่อนรักของตน ร่างโปร่งจึงรีบ
ออกจากกอง
“อ้าว จะไปไหนนะ แล้วละครล่ะ?” จินโฮร้องถามตามหลัง
“ไม่ถ่ายแล้ว!” ร่างโปร่งตอบและตรงไปสตาร์ทรถของตนขับออกไปทันที โดยมีจินโฮขับตามหลัง ทีมงานของละครเรื่องนี้ต่างอ้าปากค้างมองตามทั้งสองจากไปเหมือนดั่งพายุด้วยความงุนงง ผู้กำกับถึงกับโยนสคลิบลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด
“อีกแล้ว! หนีอีกแล้ว เลิกๆๆ ไม่ถ่ายมันแล้วเว้ย” เขาโวยวายด้วยความหงุดหงิดที่โดนพิษซุปตาร์ของฮโยจูเข้าไป
เสียงออดหน้าประตูดังขึ้นถี่ยิบเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าใครคือผู้มาเยือนโดยไม่ต้องดูจออินเตอร์คอมพ์ ร่างบางตรงไปเปิดประตูให้เพื่อสาวทันที หากแต่พอเปิดออกเห็นสภาพหอบแฮ่กๆและชุดฮัมบกที่เพื่อนใส่ก็ทำให้ร่างบางถึงกับขมวดคิ้วสงสัย
“นี่แฟชั่นใหม่หรอ?” แชวอนถาม
“ยัยบ้ายังมาถามไร้สาระอีก มานี่เลย” ร่างโปร่งลากเพื่อนเข้าห้อง ก่อนที่จินโฮจะวิ่งตามมาไวๆ เมื่อแชวอนเห็นเขาก็ถึงกับทำสายตากร้าว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ร่างบางถามเสียงเข้ม
“คือว่า.....เรื่องที่ฉันเคยบอกเธอนะ มัน......มันไม่ใช่!” ฮโยจูบอกหากแต่ไม่ช่วยให้ร่างบางเข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“เธอหมายถึงคุณอึนชันไม่ได้เป็นคนปล่อยรูปของคุณ แต่เขาคือคนที่ช่วยปลุกระดมแฟนคลับให้ขึ้นมาต่อสู้แทนคุณ และช่วยคุณแก้ข่าวทั้งหมดนั่น” จินโฮอธิบายแทนและดูเหมือนจะเข้าใจได้ง่ายกว่ามาก
“แต่ว่า....แต่เขาก็หลอกฉันเรื่องเท็ดดี้” แชวอนแย้ง
“เรื่องของเท็ดดี้กับคุณผมอาจจะไม่เข้าใจนัก แต่จากที่ผมรู้จักไม่ว่าจะเท็ดดี้หรือคุณอึนชัน ทั้งคู่ก็เป็นคนดีมากไม่ใช่หรือครับ?” จินโฮกล่าว ร่างบางครุ่นคิดด้วยสีหน้าสับสน
“อย่าให้เรื่องเข้าใจผิด ทำให้คุณต้องเสียเธอไปเลยครับ” จินโฮพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนอ้อนวอน แชวอนจึงหยิบกระเป๋าและวิ่งออกจากห้องทันที ฮโยจูและจินโฮจึงวิ่งตามเธอไป ทั้งสามตรงไปยังบ้านของอัญชันโดยมีจินโฮเป็นสารถี เมื่อรถมาจอดยังหน้าบ้านก็พอดีกับที่เอื้อเฟื้อกำลังขนของย้านบ้านหลังกลับจากโรงพยาบาล จินโฮและแชวอนรู้สึกตกใจไม่น้อยกับสภาพของเอื้อเฟื้อจึงรีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณแทยังเป็นอะไรหรือครับ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” จินโฮถาม
“มีเรื่องนิดหน่อยนะครับ” เอื้อเฟื้อตอบสีหน้านิ่งจ้องมองแชวอนด้วยสายตาดุดัน จนฮโยจูต้องเข้ามาขวาง
“นี่! มีปัญหาอะไรยังงั้นหรอ เพื่อนฉันไปซ้อมนายหรือไง?” ฮโยจูกล่าว หากแต่แชวอนปรามเธอไว้
“พวกคุณมีธุระอะไร?” เอื้อเฟื้อถามเสียงเข้ม
“ฉันมาหาคุณอัญชันนะค่ะ” ร่างบางตอบ
“เธอไม่อยู่แล้ว” เอื้อเฟื้อกล่าว ทำให้ทั้งสามถึงกับมองหน้ากันอย่างฉงน
“เอ่อ...เธอไปไหนหรือครับ?” เป็นจินโฮที่ถามต่อ
“เธอกลับไปแล้ว จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว” เอื้อเฟื้อตอบให้ทั้งสามยิ่งสงสัย
“ทำไมละค่ะ?” ร่างบางซัก
“ไม่รู้สิ สงสัยคงเบื่อที่นี่แล้วละมั้ง” เอื้อเฟื้อตอบกวน
“ไม่จริง ฉันจะไปหาเขา” ร่างบางกล่าวและหันหลังกลับ
“อย่าดีกว่า! เพราะเธอไม่ได้กลับไปคนเดียว เธอไปพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง คงไม่ต้องให้ผมบอกนะว่าพวกเธอมีความสัมพันธ์กันยังไง คิดว่าพวกคุณคงเข้าใจ ขอตัวก่อนผมรีบ” เอื้อเฟื้อปดเพื่อไม่ให้แชวอนตามเพื่อนเขาไป เพราะเขาไม่มีวันให้อภัยแก่คนที่ทำให้อัญชันต้องหลั่งน้ำตา มันคงจะดีกว่าหากอัญชันตัดใจจากเธอได้เสียที พูดจบเขาก็เดินขึ้นรถบรรทุกที่จ้างมาขนของของตนทันที ทั้งสามได้แต่มองรถของเอื้อเฟื้อจากไปด้วยอาการช็อค แชวอนถึงกับทรุดลงหมดแรง นี่เธอสูญเสียคนที่เธอรักไปแล้วหรือ
“แกเป็นไงบ้าง?” อัญชันถามคนปลายสาย
“หายแล้วล่ะ แล้วคุณลีล่ะ เธอเป็นยังไงบ้าง?” เอื้อเฟื้อตอบพร้อมถามถึงคนรัก
“ยังร้องไห้อยู่บ้างเวลาที่ฉันไม่เห็นอ่ะนะ แต่ก็ร่าเริงขึ้นกว่าวันแรกๆแล้วล่ะ” อัญชันตอบ
“แกแน่ใจหรอ ว่าอยากจะทำแบบนี้จริงๆ?” เอื้อเฟื้อถามด้วยความลำบากใจ
“แกพูดอะไรน่ะ ทำไมฉันจะไม่อยากทำล่ะ ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันจะจ่ายให้แกอย่างงาม มันถึงตาที่ฉันต้องจ่ายแล้ว” อัญชันตอบ
“แกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้” เอื้อเฟื้อท้วง
“จำเป็นซิ เพราะแกคือเพื่อนฉัน เป็นครอบครัวของฉัน เมื่อครอบครัวมีปัญหาเราก็ต้องช่วยกัน ไม่ใช่หรอ?” อัญชันอธิบาย นั่นทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาซึม
“แกมันบ้า ฉันไม่น่าชวนแกมาที่นี่ตั้งแต่แรกเลย” เอื้อเฟื้อรำพัน อัญชันได้ยินก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย
“ดีแล้วล่ะ ที่ได้ไปที่นั่น ฉันไม่เสียใจหรอก ไม่เสียใจเลย ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่แกเคยทำให้ฉัน จากนี้ไปฉันจะทำเพื่อแกมั่ง ไม่ต้องเป็นห่วงนะฉันจะทำหน้าที่แทนแกเอง” อัญชันกล่าวก่อนวางสาย ดวงตากลมใสของร่างเล็กเหม่อมองเหล่าหิ่งห้อยนับร้อยล่องลอยแข่งกันกระพริบแสงรอบท้องน้ำ ต้องใช้หิ่งห้อยกี่พันตัวกันความทุกข์ในใจนี้ถึงจะหายไปเสียที