วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

The Fan Club ตอนที่ 12


ตอนที่ 12 ดินแดนแห่งรัก 2 (The land of Love 2)

“ค่ะคุณแม่ อ้อแชวอนหรอค่ะ สบายดีค่ะ อยู่กับหนูตลอดเลย แน่นอนค่ะ หนูดูแลเขาอย่างดี คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะค่ะ ค่า สวัสดีค่ะ” ฮโยจูสนทนากับคุณนายมุนโดยพยายามปกปิดความจริงที่ว่ามุนแชวอน เพื่อนตัวดีของเธอหายเข้ากลีบเมฆ ซึ่งขนาดเพื่อนสนิทอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าหล่อนอยู่ที่ไหน

“ให้ตายเถอะ ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ต้องให้ฉันโกหกคุณแม่ไปถึงเมื่อไหร่ พี่รู้ใช่ไหมว่ายัยเตี้ยนั่นลักพาตัวแชวอนไปไว้ไหนน่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วยังเรื่องหนังสือพิมพ์กับอินเตอร์เน็ตนั่นอีก มันอะไรกัน!?” ฮโยจูรัวถามเป็นชุดหลังเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของจินโฮโดยไม่ได้ขออนุญาต ทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องถึงกับตกใจเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ

“เฮ้อ....ไม่มีการลักพาตัวอะไรทั้งนั้นนั่นละ พวกเขาแค่หลบนักข่าวไปพักผ่อนที่เมืองไทยชั่วคราว อีกไม่นานก็จะกลับ” จินโฮถอนหายใจก่อนตอบอย่างระอา

“เมืองไทย! ชิยัยนี่ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน อยู่ดีๆมาลากเพื่อนคนอื่นเขาไปโน่นมานี่....แล้วอยู่ที่ไหนของเมืองไทย ห่ะ? ยัยเตี้ยนั่นพาเพื่อนฉันไปอยู่ส่วนไหนของเมืองไทย!?” ฮโยจูยิ่งโมโหหนักขึ้น

“........พี่ไม่รู้” จินโฮนิ่งคิดก่อนตอบ ทำให้ฮโยจูสงสัยว่าเขาไม่รู้หรือไม่บอกกันแน่

“นี่พี่รู้เห็นเป็นใจกับมันงั้นหรอ ห่ะ! ให้ตายเถอะ พี่นี่น่าสมเพชขึ้นทุกวันเลยนะ...........ถ้าเรื่องนี้จบไม่สวยละก็ ได้เห็นดีกันแน่” ฮโยจูทิ้งคำขู่เอาไว้ก่อนจะเดินสะบัดหน้าออกไป

“ว่าไงเป็นไงบ้างเที่ยวกันสนุกเลยซิแก?” เอื้อเฟื้อทักทายเพื่อนผ่านสายโทรศัพท์

“ไม่ต้องมาแซว เรื่องที่ฉันบอกเป็นยังไงมั่ง คืบหน้าบ้างไหม?” อัญชันรีบตัดบทเข้าเรื่องอย่างวิตก

“คืบหน้าหรอ มันยิ่งกว่าคืบหน้าเสียอีก ตอนนี้กลายเป็นท็อคออฟเดอะทาวว์ไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องซื้อพื้นที่ในหนังสือพิมพ์แล้วละ เพราะเขาพาดหัวตัวโตๆในหน้าหนึ่งแทบทุกฉบับกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มแฟนคลับแชวอนที่ออกมาประณามสถานีโทรทัศน์และผู้กำกับลี ทำให้เกิดคำถามขึ้นในสังคมว่า ความจริงมันเป็นยังไงกันแน่?” เอื้อเฟื้อพรรณนาเหตุการณ์ที่กำลังเป็นกระแสร้อนของสังคมอยู่ตอนนี้

“โฮ่ฟังดูดีนะ...........งั้นปล่อยคลิปเลย” อัญชันสั่งการ

“หา? แต่เราเซ็นสัญญากับสำนักข่าวไปแล้วนี่ ยังงี้จะไม่โดนฟ้องกลับหรอ?” เอื้อเฟื้อถามด้วยความสงสัย

“ฉันได้ดูสัญญาที่คุณจินโฮแปลมาให้แล้วล่ะ ดูเหมือนว่ามันจะมีช่องโหว่ให้เราทำได้อยู่นะ ในสัญญาระบุแค่ว่าให้เรายอมความไม่ฟ้องร้อง คดีที่เขาปล่อยภาพนั้นทำให้ชื่อเสียงของคุณแชวอนเสียหาย แต่ไม่ได้ระบุว่าไม่ให้เราเผยแพร่หลักฐานนี่น่า” อัญชันอธิบาย

“.....สุด.....ยอด.....แกนี่มันหัวหมอจริงๆ ฉันชักกลัวแกแล้วซิ” เอื้อเฟื้อกล่าวอย่างเหลือเชื่อ

“ดีแล้ว จำเอาไว้ว่าอย่าเป็นศรัตรูกับฉัน ฮ่าๆๆๆ” อัญชันจึงกล่าวหยอกล้อเพื่อน

“เออจริงสิ ฉันมีข่าวร้ายจะบอกแก เอ๊ะหรือเป็นข่าวดีน้า?” เอื้อเฟื้อเปิดประเด็นที่ชวนน่าสงสัย

“อะไรอีกละ เล่าๆมาเถอะ” อัญชันเร่งเพื่อนอย่างรำคาญใจ

“พอดีช่วงนี้ฉันก็ยุ่งๆกับเรื่องของแกอ่ะนะ เลยไม่ได้เปิดเข้าไปดูเมลของเท็ดดี้เลย แต่เมื่อวานฉันลองเปิดเข้าไป รู้ไหมว่าฉันเจออะไร.........อีเมลล์จากปงกู!” เอื้อเฟื้อเล่า

“เธอเขียนว่ายังไง?” อัญชันถามอย่างสงสัย

“ดูจากวันที่มันเป็นก่อนหน้าที่เธอจะไปเมืองไทยกับแกนะ รู้สึกเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจได้แล้ว”เอื้อเฟื้อยังคงอ่อยอิ่งที่จะให้คำตอบอย่างแท้จริง

“รีบๆบอกมาเลย” อัญชันเร่งด้วยความโมโห

“เธอว่า....เธอเลือกแก และก็ไม่อยากจะติดต่อกับเท็ดดี้อีก ก็...ประมาณนั้นละ เป็นข่าวดีนะเนี่ยสำหรับแกน่ะ แต่คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับเท็ดดี้” เอื้อเฟื้อตอบ

“..............................เข้าใจละ ขอบใจนะ งั้นก็ฝากที่เหลือด้วยล่ะ” อัญชันบอกก่อนวางสาย คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนทำให้เธอคิดหนัก เพราะดาราสาวนั้นจริงใจต่อทั้งเท็ดดี้และอัญชัน โดยเป็นฝ่ายที่เปิดเผยตัวตนและบอกเล่าความจริงทุกอย่างแก่อีกฝ่ายเสมอ ผิดกับตัวเธอที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงอีกด้านหนึ่งเอาไว้ คงถึงเวลาที่จะบอกความจริงทั้งหมดแล้ว

เช้าวันแรกของการอาศัยอยู่ในบ้านเกิดของสาวร่างเล็ก ทำให้ดาราสาวสุขใจอย่างประหลาด บรรยากาศและทิวทัศน์ดูสวยงามไปเสียทุกอย่าง ร่างบางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดอย่างชื่นใจ

“อรุณสวัสดิ์คะคุณแชวอน หลับสบายไหมค่ะ?” อัญชันที่เพิ่งออกมายังชานบ้านเห็นร่างบางยืนสูดอากาศอยู่ริมระเบียงจึงเอ่ยทักขึ้นเสียงใส

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เป็นคืนที่วิเศษมาก ที่นี่น่าอยู่มากค่ะ” แชวอนตอบพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กจึงยิ้มรับ

“อ้าวหนูชัน! หนูชันใช่ไหมนั่น!?” ชายสูงวัยที่เพิ่งเดินขึ้นเรือนมาร้องทักด้วยความแปลกใจ

“ลุงพวง! สวัสดีค่ะ” อัญชันทักตอบด้วยความแปลกใจไม่แพ้กันพร้อมยกมือไหว้

“โอ้ยมาทำไมไม่บอก ลุงจะได้ไปรับ มิน่าแม่หนูถึงเรียกลุงมาแต่เช้า” ลุงพวงกล่าวพลางเข้าไปลูบหน้าลูบหลังอัญชันด้วยความคิดถึง

“ไม่อยากรบกวนนะค่ะ.....ลุงพวงค่ะนี่คุณมุน แชวอนค่ะ” ร่างเล็กแนะนำหญิงสาวร่างบางที่ยืนอยู่ข้างๆ

“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะ คุณคงเป็นเพื่อนกับอัญชันซินะ” ลุงพวงกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษอย่างไม่ติดขัด สร้างความแปลกใจให้แชวอนไม่น้อย ที่ชายสูงวัยท่าทางเหมือนชาวสวนบ้านๆจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีถึงเพียงนี้

“คุณแชวอนค่ะ นี่ลุงพวง ท่านเป็นคนดูแลครอบครัวของฉันค่ะ” ร่างเล็กแนะนำชายสูงวัยแก่ร่างบาง เธอจึงก้มทักทายอย่างนอบน้อม หากแต่ความสัมพันธ์ที่ร่างเล็กแนะนำทำให้เธอเกิดคำถามในใจ “คนดูแลหรอ?” แต่คงไม่เหมาะถ้าจะถามอออกไป

“ลุงพวงค่ะ เจ้าปลาทองเป็นไงบ้างค่ะ?” อัญชันถามขึ้นหลังแนะนำทั้งสองฝ่าย

“โอ้ย! วิ่งฉิว ลุงดูแลมันอย่างดี เอาออกไปวิ่งทุกเดือน” ลุงพวงตอบอารมณ์ดี

“คุณแชวอนค่ะ ฉันมีอะไรจะให้คุณดูค่ะ” ว่าแล้วร่างเล็กก็พาร่างบางมายังท่าเรือของบ้าน ภายในโรงเก็บเรือ “เจ้าปลาทอง” หรือสปอร์ตโบ้ทคันงามสีเหลืองทองจอดนิ่งรอการมาถึงของเจ้าของมันมานาน

“นี่ค่ะ มันชื่อเจ้าปลาทอง (Goldfish) ค่ะ” อัญชันแนะนำเรือคู่ใจ ก่อนจะลงไปลูบคลำมันอย่างคิดถึง

“ฮิๆๆ ปลาทองหรือค่ะ ตลกจังเลยทำไมคุณถึงตั้งชื่อเรือเป็นสัตว์ล่ะ?” แชวอนขบขันกับชื่อเรือประหลาด

“ก็ดูซิค่ะ ลำมันเป็นสีเหลืองทองเหมือนปลาทองเลย พอเห็นครั้งแรกฉันก็คิดไว้เลยว่าจะเรียกมันว่าปลาทอง” อัญชันอธิบายที่มาของชื่อ หากแต่คนฟังกลับหัวเราะงอหาย

“งั้นถ้ามันเป็นสีขาวดำ คุณก็คงเรียกมันว่าแพนด้าซินะค่ะ” แชวอนเหย้า

“อืมม.............ก็คงเป็นยังงั้นมั้งค่ะ แฮะๆ” ร่างเล็กจินตนาการตามที่แชวอนบอกอยู่นาน ก่อนจะตอบ ทำให้ร่างบางหัวเราะไม่เลิกกับความคิดของคนตัวเล็ก ก่อนที่ทั้งสองจะกลับขึ้นเรือนไปทานอาหารเช้าฝีมือวันเพ็ญที่ตื่นขึ้นมาทำแต่เช้าตรู่

“เอ้า กินเยอะๆนะ หนูจันทร์” วันเพ็ญตักกุ้งแม่น้ำตัวโตจากชามต้มยำกุ้งให้แชวอน

“หือ? หนูจันทร์หรอ?” อัญชันเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

“เอ้า ก็ไม่ใช่รึ? ลุงพวงบอกว่าชื่อแม่หนูคนนี้หมายถึงพระจันทร์นี่ แม่เองก็พูดไม่เป็นหรอกนะไอ้ภาษาเกาหลงเกาหลีนั่นนะ ขอเรียกแบบไทยๆแล้วกัน ใช่ไหมลุงพวง” วันเพ็ญอธิบายก่อนจะหาเสียงสมทบ ลุงพวงก็ทำหน้าที่ลูกคู่ค่อยพยักหน้าหงึกๆ ร่างเล็กจึงได้แต่ถอนหายใจกับความคิดรวบยอดของแม่ตน

“เออว่าก็ว่าเถอะ คนชื่อเกี่ยวกับพระจันทร์นี่สวยทุกคนเลยนะ ฮ่าๆๆ” วันเพ็ญยังไม่วาย ปิดท้ายการสนทนาด้วยเสียงฮา อัญชันจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “ดีนะเนี่ยที่คุณแชวอนฟังภาษาไทยไม่ออก” ร่างเล็กคิด

หลังทานอาหารเช้าเสร็จอัญชันและแชวอนก็มาช่วยกันล้างจานอยู่หลังบ้าน ร่างบางดูท่าจะสนุกสนามกับการล้างจานในกะละมังเป็นอย่างมาก เธอตีฟองน้ำยาล้างจานเสียจนมันล้นออกมาจากกะละมัง ร่างเล็กได้แต่นั่งมองร่างบางเล่นอย่างสนุกสนานพร้อมแอบหัวเราะด้วยความเอ็นดู

“คุณแชวอนค่ะ เดี๋ยวล้างจานเสร็จแล้ว เราไปเที่ยวเกาะเกร็ดกันนะค่ะ” อัญชันเอ่ยขึ้น

“เกาะหรือค่ะ ที่นี่มีทะเลด้วยหรือค่ะ?” แชวอนถามด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่เกาะกลางทะเลค่ะ แต่เป็นเกาะกลางแม่น้ำ” อัญชันเฉลยทำให้ร่างบางถึงกับแปลกใจ เมื่อล้างจานเสร็จทั้งสองก็แยกย้ายไปแต่งตัวก่อนจะออกมาพบกันที่ท่าเรือ

“ว่าแต่เราจะไปกันยังไงหรือค่ะ คุณว่ามันเป็นเกาะ เราคงต้องนั่งเรือไปซินะค่ะ” ร่างบางถามขึ้น

“ค่ะ” ร่างเล็กตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินลงไปในเรือคู่ใจและสตาร์ทเครื่องยนต์ ร่างบางถึงกับทำหน้าเหวอ

“คุณขับเรือเป็นด้วยหรือค่ะ?” แชวอนถามอย่างแปลกใจ

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันมีใบขับขี่เรือ.....มาซิค่ะ” ร่างเล็กตอบก่อนจะยื่นมือให้ร่างบางจับลงเรือ

“ปลาทองลูกรัก ไปซิ่งกันหน่อยนะ” อัญชันพูดกับเรือคู่ใจก่อนจะแล่นเรือออกจากท่า สปอร์ตโบ้ทคันงามวิ่งฉิวไปตามโค้งน้ำเจ้าพระยามุ่งตรงสู่สถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของนนทบุรี อัญชันมาจอดเทียบท่าทีบ้านหลังหนึ่งด้านตะวันตกของเกาะ เมื่อทั้งสองขึ้นจากเรือเด็กน้อยคนหนึ่งก็วิ่งมาหา

“พี่ชันๆๆ! คุณยายพี่ชันมา!” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาอัญชันและกระโดดกอดอย่างสุดรัก

“มีของมาฝากหนูไหม!?” เด็กหญิงทวงขึ้น อัญชันถึงกับหน้าเจื่อนที่ลืมเอาของติดมือมาฝากญาติตัวน้อย

“ข้าวสวย ไหว้พี่เขาหรือยัง!” วันแรมพี่สาวของวันเพ็ญและคุณยายของเด็กหญิงข้าวสวยร้องห้ามเสียงเข้ม พร้อมเดินออกมาต้อนรับหลานรัก

“กลับมาแล้วหรอ ชัน” วันแรมทัก

“สวัสดีค่ะ ป้าวันแรม หนูกลับมาพักผ่อนนะค่ะ เดี๋ยวสักพักก็กลับไป นี่คุณมุนแชวอนเพื่อนหนูค่ะ” อัญชันทักตอบพร้อมยกมือไหว้และแนะนำผู้มาด้วย แชวอนจึงไหว้ตาม

“อืม สวัสดี กินอะไรกันมารึยังล่ะ มาๆเข้าบ้านก่อน” วันแรมเชิญแขกอย่างยินดี

“พวกเราทานกันมาเรียบร้อยแล้วค่ะ หนูแค่อยากจะมาฝากเรือนะค่ะ” อัญชันอธิบาย

“ยังงั้นหรอ มาเที่ยวเกาะกันซินะ เอ้าๆเชิญๆ พาเขาไปวัดปรมัยฯซิ อ้อพาเขากินทอดมันหน่อกะลาด้วยละ แล้วก็อย่าลืมพาไปดูเครื่องปั้นดินเผาละ แล้วก็...”วันแรมสาธยายแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเกาะมากมายจนอัญชันต้องขัดขึ้นไม่เช่นนั้นคงไม่ได้ไปเที่ยวกันแน่ๆ

“รู้ค่า...งั้นหนูไปก่อนนะค่ะ ป้าแรม” ร่างเล็กยกมือไหว้ก่อนจะจูงมือร่างบางออกจากบ้าน สองข้างทางไปวัดปรมัยยิกาวาสเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ ทั้งเสื้อยืดเพ้นท์ลายเกาะเกร็ด เครื่องประดับจากกะลา ของเครื่องใช้จากกะลา เครื่องปั้นดินเผาต่างๆ ขนมไทยนานาชนิด ของเล่นโบราณ ที่เห็นจะมีเยอะก็คงจะเป็นร้านทอดมันหน่อกะลาและดอกไม้ใบไม้ทอด เมื่อเห็นอาหารแปลกตาก็ทำให้ร่างบางหยุดดูอย่างสนใจ

“ทานไหมค่ะ” ว่าแล้วอัญชันก็ซื้อทอดมันหน่อกะลาให้เธอหนึ่งกระทง ร่างบางหยิบทานอย่างตื่นเต้น

“อร่อยมากเลยค่ะ” แชวอนบอกหลังลิ้มรสทอดมันหน่อกะลา จากนั้นสองสาวก็มุ่งหน้าต่อไป แต่เพราะอากาศที่ชื้นและผู้คนที่จอแจทำให้ร่างบางถึงกับปาดเหงื่อด้วยความอบอ่าว ร่างเล็กจึงแวะซื้อพัดสานทำมือให้เธอหนึ่งอัน แชวอนมองมันอย่างตื่นตา

“แฮนด์เมดนะค่ะเนี่ย” ร่างเล็กบอกก่อนจะพัดวีให้อีกคนคล้ายร้อน

“ขอบคุณค่ะ” ร่างบางมองอีกคนอย่างซาบซึ้ง

“ด้วยความยินดีค่ะ ไปกันต่อเถอะค่ะ” ร่างเล็กตอบรับอย่างยินดีก่อนจะยื่นมือให้อีกคนจับและเดินต่อไปพร้อมกัน สองสาวละลานตาไปกับร้านต่างๆตลอดทางจนมาถึงวัดปรมัยยิกาวาส ด้านหน้าวัดทั้งสองพบกับเจดีย์องค์หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่

“ว้าวมันสวยจังเลยค่ะ” ร่างบางกล่าวขึ้นพร้อมมองเจดีย์อย่างชื่นชม

“ที่นี่มีพระไตรปิฎกภาษามอญด้วยค่ะ เราไปดูกันเถอะค่ะ” อัญชันเสนอขึ้นก่อนจะพาอีกคนเดินเข้าไปยังบริเวณพิพิธพันธ์ของวัด แต่ก็พบว่ามันปิด อัญชันถึงกับทำหน้าจ๋อยทั้งที่หวังจะให้ร่างบางรำลึกถึงตอนที่ทั้งสองไปเที่ยววัดแฮอินซาซึ่งมี ชางเกียงพันจอน หรือ พระไตรปิฎกฉบับเกาหลี

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ค่ะ ที่นี่มีอย่างอื่นให้ดูอีกตั้งเยอะ ไปกันเถอะค่ะ ช่วยพาฉันไปดูให้ทั่วๆเลยนะค่ะ” ร่างบางกล่าวขึ้นพร้อมเข้าไปคล้องแขนอีกคนเพื่อให้ร่างเล็กร่าเริง และมันก็ได้ผล อัญชันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

“งั้นเราไปขับรถจักรยานเล่นกันดีไหมค่ะ?” อัญชันเสนอหน้าบาน ร่างบางจึงพยักหน้ารับ สองสาวพากันมาเลือกจักรยานกันที่ร้านหน้าท่าเรือของวัดปรมัยฯ ร่างเล็กเสนอตัวเป็นคนปั่นให้แชวอนนั่ง ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มปั่นไปตามแผนที่รอบเกาะซึ่งติดอยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยาน ร่างเล็กปั่นอย่างทุลักทุเลในตอนแรกเพราะยังอยู่ในเส้นทางที่มีร้านรวงขายของสองข้างทาง จึงได้แต่ค่อยๆปั่นไปทีละนิด บางทีก็ต้องลงจูงเพราะคนแน่นเกินที่จะปั่นได้จนเหงื่อไหลไคลย้อย ร่างบางจึงพัดคลายร้อนให้สารถีผู้ภักดี

“ขอบคุณค่ะ” อัญชันหันมาขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ไม่นานสองสาวก็พ้นช่วงชุมชนแออัด ร่างเล็กจึงสามารถปั่นได้สบายๆไปตามทางคอนกรีตยกสูงเส้นเล็กๆที่เหมือนถนนเลนเดียว สองข้างทางขนาบด้วยเทือกสวนไร่นาและบ้านเรือนของชาวบ้านบนเกาะ อากาศสดชื่นบริสุทธิ์บวกกับท้องฟ้าเป็นใจให้วันนี้มีเมฆมากจึงไม่มีแดดทำให้สองสาวอิ่มเอมไปกับธรรมชาติอย่างรื่นรมย์

“ที่นี่สวยจังเลยนะค่ะ” ร่างบางกล่าวขึ้น

“ยังงั้นหรือค่ะ แต่ฉันว่าที่แดกูสวยกว่าอีก” อัญชันแย้ง

“ไม่จริงหรอกค่ะ ที่นี่สวยกว่าตั้งเยอะ สวยแบบธรรมชาติจริงๆ” แชวอนโต้

“ฮิๆๆ โอเคค่ะ ฉันยอมแพ้ สวยก็สวย” ร่างเล็กหลุดหัวเราะให้กับอาการไม่ยอมใครของร่างบาง ทำให้เธออายจนต้องทุบคนปั่นเข้าให้หนึ่งที

“เดี๋ยวนี้คุณกล้าแกล้งฉันแล้วหรอค่ะ?” ร่างบางกล่าวแงงอน

“เพราะเรียนรู้จากคุณไงค่ะ” อัญชันตอบเหย้า ร่างบางจึงทุบเข้าให้อีกที

“โอ้ยๆๆ เจ็บจัง โอะๆๆ” ร่างเล็กครำครวญและแกล้งทำรถสั่น ร่างบางที่ซ้อนอยู่ด้านหลังจึงกอดคนปั่นไว้แน่นด้วยกลัวตก ก่อนที่คนตัวเล็กจะหลุดขำเสียเองทำให้ร่างบางรู้ว่าถูกแกล้งอีกแล้ว สองสาวคุยหยอกล้อกันมาตลอดทางจนไปถึงทางแยกหนึ่ง อัญชันจึงจอดรถเพื่อตัดสินใจว่าจะไปทางใดดี

“คุณแชวอนว่าเป็นทางซ้ายหรือว่าขวาค่ะ?” ร่างเล็กถามคนข้างหลัง

“แล้วมาถามฉันทำไมละค่ะ คุณเป็นเจ้าถิ่นนะค่ะ” แชวอนท้วง

“เรื่องนั้นมันก็จริงค่ะ แต่ฉันไม่เคยปั่นรอบเกาะแบบนี้มาก่อนเลย แค่มาเยี่ยมคุณป้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น” อัญชันตอบ ก่อนที่ทั้งสองจะเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งปั่นจักรยานมาจากทางฝั่งขวา สองสาวจึงมองหน้ากันและตัดสินใจเลี้ยวไปทางนั้น ทั้งสองปั่นมาเรื่อยๆหากแต่ไม่มีวี่แววของบ้านเรือนแต่อย่างใด เห็นเพียงสวนและนา ร่างเล็กปั่นลึกเข้าไปตามทาง ต้นไม้สองข้างทางก็เริ่มหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ

“ฉันว่าเราหลงทางแล้วละค่ะ” ร่างเล็กเอ่ยขึ้น

“หะ? หลงหรือค่ะ! ทำยังไงดีละ?” ร่างบางถึงกับตื่นตระหนก

“ไม่ต้องห่วงค่ะเดี๋ยวเราค่อยปั่นกลับทางเดิมก็ได้ สงสัยแยกนั้นเราควรจะเลี้ยวซ้ายนะค่ะ ฮิๆๆ” อัญชันตอบสบายอารมณ์

“นี่คุณเคยเครียดอะไรจริงๆจังๆบ้างไหมค่ะ? ฉันเห็นคุณสบายๆกับทุกอย่างตลอดเลย ฉันอยากจะเป็นแบบคุณบ้างจัง น่าอิจฉาจริงๆ” ร่างบางถามขึ้น

“เคยซิค่ะ ฉันก็เครียดเป็นนะค่ะ อย่างเช่น ตอนทำคิมบับให้กับคุณ ฉันไม่รู้ว่าควรจะใส่ไส้อะไร คุณจะชอบหรือเปล่า หรือตอนเลือกเสื้อผ้าให้กับคุณเวลาจะไปงาน ฉันไม่รู้ว่าอะไรมันจะเหมาะกับคุณมั่ง หรือว่า............ตอนที่คุณเจอปัญหา ฉันเครียดจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าจะปกป้องคุณได้ยังไง” อัญชันตอบยืดยาวหากแต่นั่นทำให้ร่างบางประทับใจที่ได้ยิน เธอจึงกระชับกอดคนปั่นให้แน่นกว่าเดิม อัญชันปั่นมาจนถึงทางที่หนาทึบไปด้วยต้นไม้ ร่างเล็กจึงหยุดรถเพื่อจะเลี้ยวกลับ

“เดี๋ยวซิค่ะ! ฉันว่าเราอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งเถอะค่ะ คุณจะได้พักเหนื่อยด้วย” ร่างบางกล่าวขึ้นและลงจากรถมานั่งหย่อนขาอยู่ข้างทาง ร่างเล็กจึงทำตามอย่างว่าง่ายและเข้าไปนั่งข้างๆร่างบาง

“เหนื่อยไหมค่ะ?” อัญชันถามร่างบาง

“เหนื่อยอะไรละค่ะ คุณเป็นคนปั่นนะ ฉันจะเหนื่อยได้ยังไง ถ้าจะเหนื่อยก็คงจะเป็นโดนคนปั่นแกล้งจนเหนื่อยเลย” แชวอนตอบเหน็บ

“ฮ่ะๆๆ ขอโทษค่ะ สงสัยฉันคงจะติดนิสัยขี้แกล้งมาจากคุณแล้วซิ” อัญชันตอบทำให้คนข้างๆทุบเข้าไปหนึ่งทีข้อหาพูดความจริง

“โอะ! นั่นดอกอัญชันนี่ ” ร่างเล็กเหลือบไปเห็นไม้เลื้อยที่ว่าขึ้นอยู่ไม่ไกลจากที่ที่ตนนั่ง จึงลุกไปเด็ดดอกไม้สีม่วงนำมาให้ร่างบางดู

“นี่ไงค่ะ ที่มาของชื่อฉัน แม่ฉันเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ เพราะตอนที่ท่านท้อง ท่านชอบดอกอัญชันมากๆเลยค่ะ” ร่างเล็กยื่นดอกอัญชันให้ร่างบางพร้อมอธิบาย เธอรับมันมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์

“ฮิๆๆ มันน่ารักจังค่ะ ท่านคงจะชอบดอกนี้มากถึงขนาดตั้งชื่อให้กับลูกสาว แต่มันก็เหมาะสมกับตัวคุณดีนะค่ะ ดอกเล็กๆ น่ารักและมีสีสันสดใส” แชวอนกล่าว

“ที่ว่าแม่ฉันชอบมันเนี่ย หมายถึงชอบทานมันนะค่ะ ตอนท่านท้องทำทานดอกอัญชันแทบทุกมื้อเลย” ร่างเล็กขยายความทำให้แชวอนถึงกับตกใจ

“ทาน....เจ้านี่หรอค่ะ มันทานได้ด้วยหรอ?” ร่างบางถามอย่างคาดไม่ถึง

“ได้สิค่ะ ดอกอัญชันนี่มีประโยชน์หลายอย่างเลยนะค่ะ สามารถทำอาหารได้หลายเมนูด้วย ดอกของมันเป็นสีน้ำเงินออกม่วงใช่ไหมค่ะ เราสามารถเอาสีของมันมาทำอาหารได้หลากหลายชนิดเลยค่ะ หรือจะทำเป็นเครื่องดื่มก็อร่อย แต่ทำเป็นขนมนี่น่าทานมากเลยละค่ะ หรือว่าจะเอามาทอดทั้งดอกเลยก็ได้นะค่ะ ชุบแป้งทอดอร่อยมากๆกินกับน้ำพริกนี่สุดยอด หรือไม่ก็เอาน้ำของมันมาชโลมผมจะทำให้ผมเงางามค่ะ” อัญชันเล่าอย่างตื่นเต้น ทำให้คนฟังรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“ดูคุณเองก็ชอบเจ้าดอกนี่ไม่น้อยเหมือนกันนะค่ะ ฉันชักอยากทาน (ดอก) อัญชันซะแล้วละค่ะ” แชวอนพูดเหย้าให้อีกคนหน้าแดง ร่างบางเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิกคักชอบใจ

“ระ....เรากลับกันดีกว่าค่ะ” ร่างเล็กพูดติดอ่างก่อนจะลุกพรวดไปจับจักรยาน ร่างบางจึงต้องทำตามอีกคน สองสาวขับกลับไปทางเก่าและเข้าสู่เส้นทางตามแผนที่ พวกเธอจึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นซึ่งก็คือวัดปรมัยฯได้ อัญชันนำรถมาคืนและคิดว่าจะพาอีกคนกลับเลยแต่ระหว่างทางเดินกลับไปยังบ้านวันแรม ร่างบางเกิดอยากซื้อของติดมือขึ้นมา

“คุณแชวอนอยากได้ชิ้นไหนหรือค่ะ เลือกได้ตามสบายเลยค่ะ” ร่างเล็กกล่าวขณะที่อีกคนกำลังดูของฝากอย่างสนใจ

“ฉันไม่อยากรบกวนคุณนะค่ะ ที่ผ่านมาคุณก็ออกให้ฉันเยอะแล้ว” แชวอนตอบ

“พูดอะไรอย่างนั้นค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย” อัญชันพยายามเกลี่ยกล่อม

“งั้นฉันจะเลือกชิ้นเล็กๆและมีความหมายนะค่ะ...........อ่ะนั่นอะไรหรือค่ะ?” แชวอนกวาดสายตามองไปทั่วแผง ก่อนจะสะดุดสายตากับเจ้าหม้อดินเผาอันน้อย ที่มีผ้าปิดฝาหม้อไว้ (เหมือนหม้อสะกดวิญญาณ)

“เขาเขียนว่า “หม้อเก็บความรัก”ค่ะ อืมจะอธิบายยังไงดีละ เหมือนวูดูหรือพวกคุณไสย แต่ว่าที่จริงมันก็เป็นแค่หม้อที่ใส่การบูรนะค่ะ” อัญชันอธิบาย

“งั้นฉันเอาอันนี้ค่ะ แล้วก็ตะเกรียบสองคู่” แชวอนบอกสิ่งที่ต้องการ นั่นทำให้ร่างเล็กงง ทั้งที่เธอน่าจะซื้อพวกเครื่องปั้นดินเผาหรือไม่ก็เสื้อเพ้นท์ลาย แต่กลับซื้อของเล็กๆน้อยๆแบบนี้ จากนั้นทั้งคู่ก็กลับไปยังบ้านของวันแรมก่อนจะลากลับบ้านอัญชันในเวลาต่อมา ระหว่างทางกลับร่างบางเอาแต่จ้องของฝากที่อัญชันซื้อให้ เมื่อเห็นดังนั้นร่างเล็กเลยอดถามไม่ได้

“ดูคุณชอบมันมากเลยนะค่ะ ว่าแต่ทำไมถึงเลือกสองอย่างนี้ละค่ะ?” อัญชันถามคนข้างๆขณะขับเรือกลับบ้าน

“ก็อย่างที่ฉันบอกไงค่ะ ว่าจะเลือกชิ้นเล็กๆและมีความหมาย สองอย่างนี่ ทั้งเล็กและก็มีความหมายค่ะ” ร่างบางตอบ หากแต่นั่นยิ่งทำให้อัญชันสงสัยเข้าไปใหญ่

“ที่ฉันเลือกตะเกรียบนี่ เพราะฉันเป็นคนเกาหลียังไงก็ต้องใช้ตะเกียบ แต่ที่ซื้อสองคู่เพราะอยากเอาไว้ทานกับคุณยังไงละค่ะ ส่วนเจ้านี่ “หม้อเก็บความรัก” ฉันอยากจะเก็บช่วงเวลานี้ไว้ตลอดไปค่ะ” ร่างบางอธิบายพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กที่ได้ฟังคำตอบก็ยิ้มรับอย่างพอใจ ไม่นานทั้งสองก็ถึงบ้านสวน

หลังทานอาหารเย็นสองสาวก็ออกมารับลมที่ระเบียงโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองต่างส่งยิ้มเป็นการทักทายกันและกัน

“ที่นี่กลายเป็นที่โปรดของฉันไปแล้วละค่ะ” ร่างบางเอ่ยขึ้น

“ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวหรอกค่ะ ทุกคนในบ้านก็ชอบที่นี่ แม้กระทั่งพ่อของฉันเอง” อัญชันกล่าวแฝงความเศร้าไว้บนรอยยิ้ม มันสะกิดใจของแชวอนให้อยากรู้เรื่องราวของคนตรงหน้ามากขึ้น

“แล้วท่านไปไหนหรือค่ะ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นท่านเลย หรือว่าไปทำงานต่างจังหวัด?” ร่างบางถามอย่างสงสัย

“ท่านเสียตอนฉันอายุสิบสี่ค่ะ” ร่างเล็กตอบ ทำให้แชวอนถึงกับอึ้งและรู้สึกเสียใจที่ตนถามในสิ่งที่ไม่ควร

“ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่น่าถามเลย” ร่างบางกล่าวอย่างรูสึกผิด

“ดีแล้วละค่ะ ถึงคุณไม่ถาม ฉันก็กำลังจะเล่าให้ฟัง.........ฉันมีอีกที่ที่อยากพาคุณไป คุณจะมากับฉันได้ไหมค่ะ?” ร่างเล็กยื่นมือรอคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนที่ร่างบางจะจับมือนั้นและเดินตามอัญชันอย่างว่าง่าย ร่างเล็กพาเธอมายังคลองท้ายสวน ทั้งสองเข้าไปนั่งในกระท่อมริมคลองที่อยู่ใต้ต้นไทรต้นใหญ่

“นี่เป็นที่ที่ฉันและพ่อชอบมานั่งคุยกัน เวลาที่ฉันหรือท่านมีเรื่องทุกข์ใจ เราก็จะมานั่งคุยกันที่นี่ คุยให้หิ่งห้อยฟัง ท่านบอกว่าหิ้งห้อยมีอายุกระพริบแสงสั้น มันจะเอาความทุกข์ของเราบินไปกับมัน และความทุกข์ของเราก็จะหายไปเมื่อหิ้งห้อยหมดแสง หลังจากนั้นพวกเราจะยิ้มได้อีกครั้ง” อัญชันเล่าพร้อมรอยยิ้มแสนเศร้า

“คุณกับพ่อคงจะสนิทกันมากซินะค่ะ” ร่างบางเอ่ยขึ้นพร้อมจับไปยังไหล่ของร่างเล็กเป็นการปลอบประโลม

“ค่ะ พวกเราสนิทกันมาก ท่านเป็นคนจริงใจและอบอุ่น แต่ว่าเด็ดเดี่ยว ลุงพวงเคยเล่าให้ฉันฟังว่า คุณปู่ของฉันท่านเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ และท่านไม่พอใจมากๆที่พ่อเลือกแม่ซึ่งเป็นเพียงแค่ลูกชาวสวนเป็นคู่ชีวิต ท่านยื่นคำขาดที่จะให้ทั้งสองเลิกกัน แต่สุดท้ายพ่อของฉันก็เลือกแม่และยอมทิ้งทุกอย่างที่ท่านเคยมี แล้วมาสร้างครอบครัวกับแม่” อัญชันเล่าด้วยความชื่นชมในตัวผู้เป็นพ่อ

“ลุงพวงเป็นพี่ชายของคุณพ่อคุณหรือค่ะ?” ร่างบางถามด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่ก็คล้ายๆจะเป็นแบบนั้น ฉันไม่เคยถามอย่างจริงจัง แต่ดูเหมือนว่าครอบครัวของลุงพวงทำหน้าที่ดูแลครอบครัวของพ่อฉันมาหลายชั่วอายุคน ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันค่ะ” ร่างเล็กตอบ

“แสดงว่าครอบครัวของพ่อคุณต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยนะค่ะ” แชวอนกล่าวเสริม

“ไม่รู้ซิค่ะ ฉันไม่เคยสงสัยหรือพยายามหาคำตอบในชาติตระกูลของฉัน ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่พ่อฉันเลือกที่จะทิ้งมัน ฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของท่านค่ะ ฉันพยายามที่จะเป็นคนเหมือนพ่อ เพื่อให้แม่ไม่รู้สึกว่าท่านจากไป” อัญชันอธิบาย

“คุณเป็นค่ะ คุณเหมือนท่าน จริงใจ อบอุ่นและเด็ดเดี่ยว เป็นคนที่ฉัน.........รัก” ร่างบางกล่าวพร้อมสบตาร่างเล็กเพื่อเปิดเผยความรู้สึกที่ตนมี อัญชันถึงกับอึ้งที่ได้ยินหากแต่มืออุ่นของเธอที่กุมมือเล็กอยู่ฉุดให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนที่อัญชันจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากบางที่หลงใหลมาตลอด ริมฝีปากเล็กสัมผัสลงไปแผ่วเบาและนุ่มนวล ร่างบางหลับตารับสัมผัสนั้นอย่างยินดี ทั้งสองเหมือนเดินวนหากันอยู่ในความมืดมาแสนนาน จนในที่สุดก็หากันพบ หิ่งห้อยนับร้อยบินว่อนทั่วบริเวณ ทำให้ท้องน้ำที่กระเพื่อมตามแรงลมระยิบระยับไปด้วยแสงกระพริบของหิ่งห้อยและดาวเดือนบนท้องฟ้า

หลายวันผ่านไปชีวิตในบ้านสวนทำให้ดาราสาวลืมความวุ่นวายและข่าวฉาวที่เธอเคยเผชิญจนหมดสิ้น เพราะความรักและความอบอุ่นที่คนบ้านนี้มอบให้กับเธอทำให้ตัวเธอเข้มแข็งอีกครั้ง และพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาแล้ว

“ที่นี่สวยงามและน่าอยู่มากเลยนะค่ะ ทำให้ฉันอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป” แชวอนเอ่ยขึ้นขณะออกมาเดินเล่นในสวนผลไม้กับอัญชัน

“ถ้าคุณต้องการ ฉันก็ยินดีค่ะ” ร่างเล็กยิ้มรับอย่างเต็มใจ หากแต่ร่างบางกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ

“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉันคือมุน แชวอน ดาราเกาหลี ที่ตอนนี้โดนข่าวฉาว ฉันจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมัน ที่ผ่านมาขอบคุณมากนะค่ะ ตอนนี้ฉัน......พร้อมแล้วค่ะ ฉันพร้อมที่จะต่อสู้กับมันแล้ว” ร่างบางตอบพร้อมกุมมืออัญชันไว้อย่างมุ่งมั่น

“ช่วยจับมือนี้ไว้ตลอดไปด้วยนะค่ะ” แชวอนกล่าวดั่งวิงวอนคนตรงหน้า

“ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือจากคุณ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นอกจาก.....คุณจะเป็นคนบอกให้ฉันปล่อยมันเองค่ะ” อัญชันตอบด้วยใบหน้าจริงจัง ร่างบางยิ้มอย่างพอใจในคำตอบของอีกฝ่าย

“ถ้าอย่างงั้น เรากลับเกาหลีกันเถอะค่ะ”