วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

The Fan Club ตอนที่ 9



ตอนที่ 9 ร้องเพลงรัก(Love Song)





เช้าอันสดใสวันต่อมา มุนแชวอนกำลังง่วนกับการแต่งตัว ด้วยไม่อยากให้ใครจำเธอได้เหมือนเมื่อวานจึงต้องใส่อะไรอำพราง หากแต่ถ้ามากเกินไปเธอก็อาจจะดูไม่น่ามอง เพราะยังมีใครบางคนที่เธออยากให้เห็นว่าเธอนั้นดูดีเสมอ



“ปังๆๆ นี่แชวอนเสร็จหรือยัง เธอจะนอนในนั้นหรอ ออกมาได้แล้ว ฉันปวดฉี่นะ” ฮโยจูตะโกนเรียกพร้อมทุบประตู หากแต่ไม่มีเสียงตอบจากเพื่อนสาว เธอจึงตัดสินใจลงไปใช้ห้องน้ำชั้นล่าง ขณะเดียวกันอัญชันที่เพิ่งออกจากห้องนอนของตัวเองก็หมายจะเดินไปเรียกสองสาว ที่ห้องนอน หากแต่พอมาถึงหน้าห้องก็เห็นประตูเปิดอ้าอยู่ ร่างเล็กเคาะบอกก่อนโผล่หน้าเข้าไปแต่กลับไม่พบใคร อัญชันจึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อสำรวจให้แน่ใจ ร่างเล็กมองไปรอบๆ ก่อนที่ประตูห้องน้ำจะเปิดออก



“ชุดนี้ดูเป็นไงบ้างฮโยจู?” แชวอนที่พรวดพราดออกจากห้องน้ำเอ่ยถามทันทีโดยที่ไม่ได้มองว่าใครเป็นคู่สนทนา



“เอ่อ...มันวิเศษมากค่ะ” อัญชันตอบ นั่นจึงทำให้แชวอนรู้ว่าเธอพูดอยู่กับใคร



“อ่ะ! คุณอัญชัน!” แชวอนผงะเล็กน้อยก่อนจะกุมหน้างุดพร้อมขยับแว่นที่เธอใช้อำพรางแก้เขิน เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็ทำให้เลือดสูบฉีดไปที่ใบหน้าของทั้งสอง จึงต่างก็หลบหน้าเอียงอาย



“นี่พวกเธอทำบ้าอะไรกันเนี่ย?” เป็นฮโยจูที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยทำลายบรรยากาศขึ้น



“ยัยโรคจิตนี่เธอบุกเข้ามาหื่นใส่เพื่อนฉันถึงในห้องเชียวหรอ ห่ะ?” ร่างโปร่งถามเอาเรื่อง



“ป่ะ..เปล่านะค่ะ ฉันแค่จะมาเรียกเท่านั้น” อัญชันตอบเสียงอ้อมแอ้มและหลบสายตาด้วยความหวาดกลัว



“ฮโยจู! นี่ก็สายแล้วรีบไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่จินโฮรอนานนะ” แชวอนจึงรีบเปลี่ยนประเด็น ทำให้ร่างโปร่งคล้อยตามและรามือจากร่างเล็ก



ทั้ง สามมุ่งหน้าสู่วัดแฮอินซา (Haeinsa Temple) เป็นวัดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศเกาหลี ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติ คายาซาน แฮอินซา มีความหมายว่า ‘อารามแห่งพระสมาธิอันล้ำลึกดั่งนที’ สร้างขึ้นใน ค.ศ.802 โดยพระภิกษุสองรูป คือ ซูเนียง และอิชอง ในสมัยอาณาจักรซิลลา ที่กล่าวกันว่าเป็นยุคทองแห่งพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมของเกาหลี โดยเฉพาะด้านพุทธศิลป์ ต่อมาพระเจ้าแตโช ผู้ก่อตั้งราชวงศ์กอริโยได้กำหนดให้แฮอินซา เป็นอารามแห่งแผ่นดิน ปัจจุบันเป็นที่เก็บรักษาศิลปะวัตถุจำนวนมากในอาคารทั้งหมด 90 อาคาร (ศาลเจ้า กุฎิ และอาคารย่อยต่าง ๆ) แต่สิ่งที่ทำให้วัดนี้แตกต่างจากวัดอื่นคือ เป็นสถานที่เก็บรักษาแผ่นไม้แกะสลักสำหรับพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีหรือชา งเกียงพันจอน จำนวน 80,000 แผ่น นับเป็นการรวบรวมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุดในเอเซียตะวันออก แผ่นไม้เหล่านี้ทำขึ้นในปี ค.ศ.1251 เพื่อเป็นการร้องขอให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองประชาชนในช่วงที่กองทัพมองโกเลีย กำลังรุกรานประเทศ ในปัจจุบันแผ่นไม้เหล่านี้ยังอยู่ในสภาพดี และเป็นหลักฐานในการรวบรวมและเผยแพร่พระคัมภีร์ในพุทธศาสนาที่น่าเชื่อถือ ที่สุด และในปี ค.ศ.1995 องค์การยูเนสโก้ได้จัดให้ชางเกียงพันจอนเป็นหนึ่งในมรดกอันมีค่าของโลก

เมื่อมาถึงยังที่หมายทั้งสามก็เห็นจินโฮยืนรออยู่ข้างรถของเขาก่อนแล้ว ฮโยจูรีบเปิดประตูลงรถและวิ่งไปหาเขาทันทีที่จอด



“รอนานไหมค่ะพี่จินโฮ เพราะแชวอนนั่นละไม่รู้จะแต่งอะไรนักหนา” ร่างโปร่งรายงาน หากแต่จินโฮไม่ได้สนใจฟังเขากลับเดินตรงไปยังร่างเล็ก



“อรุณ สวัสดิ์ครับ เมื่อคืนคุณหลับสบายไหม?” ร่างสูงถามเสียงนุ่ม นั่นสร้างความขุ่นใจให้สองสาวเพื่อนซี้ทันที อัญชันรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่ร่างโปร่งแผ่มาพร้อมๆกับอาการหน้าตึงของ ดาราสาว ร่างเล็กจึงได้แต่ผงกหัวตอบจินโฮไปอย่างเสียไม่ได้



“พี่จิ นโฮเราไปตรงนั้นกันดีกว่าค่ะ ฉันอยากดูชางเกียงพันจอง ไปกันเถอะค่ะ ส่วนพวกเธอก็ไปกันเองนะ อีกสองชั่วโมงมาเจอกันตรงนี้” ร่างโปร่งจัดแจงเสร็จสัพก่อนที่จะลากร่างสูงไปตามใจตน



“อ่ะ! เดี๋ยวซิ ฮโยจู” ร่างสูงพยายามทัดทานแต่ก็สู้ความเอาแต่ใจของร่างโปร่งไม่ได้ อัญชันและแชวอนได้แต่ยืนมองทั้งสองจากไปด้วยความเห็นใจจินโฮ



“เอ่อ..งั้น เราเดินดูรอบๆกันก่อนดีกว่าไหมค่ะ?” อัญชันเสนอ ร่างบางจึงพยักหน้าตอบและเดินตามไปอย่างว่าง่าย บรรยากาศของทั้งสองคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทางฝั่งฮโยจูและจินโฮนั้นมีแต่ความน่าเบื่อและขัดแย้งกันตลอดทาง



“โอ้ยอะไรเนี่ย เดินไปที่ไหนก็มีแต่แผ่นไม้เก่าๆ” ฮโยจูร้องขึ้นอย่างเหลืออดหลังเดินดูวัดอยู่นาน



“ก็นี่วัดแฮอินซานี่ เธอจะให้มันมีร้านแบรนด์แนมหรือยังไง” จินโฮประชดประชัน



“ก็ ดีซิ มันน่าจะมีที่สุดเลย ใครจะบ้ามาเดินดูของเก่าๆได้ตั้งนานสองนานเล่า” ร่างโปร่งยิ่งส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พระเณรที่เดินผ่านไปมาหันมามองอย่างตำหนิ จินโฮจึงต้องรีบลากร่างโปร่งออกมา

ขณะเดียวกันฝั่งสองสาวกำลังเดินชมวัตถุโบราณกันอย่างตื่นตา ทั้งสองต่างชี้ชวนกันดูโน่นนี่อย่างสนุกสนาน จนแชวอนเริ่มจะเหนื่อย



“คุณแชวอนเหนื่อยไหมค่ะ? เราพักกันตรงนี้สักครู่ดีไหมค่ะ?” ร่างเล็กถามขึ้นเมื่อเห็นอาการหน้าซีดของร่างบาง



“ไม่เป็นไรค่ะ คุณอัญชันอยากไปดูที่ไหนอีกไหมค่ะ?” ร่างบางตอบด้วยความเกรงใจ หากแต่ความจริงแล้วเธอเริ่มเหนื่อยและกระหายน้ำมาก



“อย่าฝืนซิค่ะ เดี๋ยวคุณแชวอนนั่งรอตรงนี้ก่อนนะค่ะ เดี๋ยวฉันมา” ร่างเล็กบอกก่อนจะวิ่งหายไป ไม่นานนักก็วิ่งกลับมาพร้อมขวดน้ำในมือ



“นี่ ค่ะ” อัญชันยื่นมันให้ร่างบาง แชวอนก้มขอบคุณและรับน้ำมาดื่ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรน้ำที่ดื่มถึงได้มีรสหวาน นี่ประสาทรับรสของเธอคงจะเพี้ยนไปแล้วละมั้ง เมื่อถึงเวลาตามที่นัดไว้อัญชันและแชวอนก็ตรงไปยังที่นัดหมาย ก่อนจะได้ยินเสียงเอะอะดังมาแต่ไกล



“ให้ตายเถอะวัดอะไรก็ไม่รู้น่าเบื่อชะมัดเลย” ฮโยจูบ่นเป็นหมีกินผึ้ง



“ก็เธอเองไม่ใช่หรอที่เป็นคนอยากมาที่นี่น่ะ” จินโฮโต้



“ก็ ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะเป็นแบบนี้ รู้งี้ไปเดินช้อปปิ้งดีกว่า” ร่างโปร่งตอบ ทำให้จินโฮถึงกับส่ายหน้าระอา อัญชันและแชวอนได้แต่มองทั้งคู่อย่างอ่อนใจ



“นี่ก็เที่ยงกว่าแล้วเราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะครับ” จินโฮรีบควบคุมอารมณ์ตัวเองและหันมาดูแลร่างเล็กตามเดิม



“ดี ค่ะ ไปกินที่ห้างนะค่ะ ฉันรับไม่ได้หรอกนะค่ะกับร้านข้างถนนนะ” เป็นฮโยจูอีกตามเคยที่จัดแจงทุกอย่างก่อนจะลากร่างสูงไปตามใจชอบอีกครั้ง แชวอนและอัญชันจึงต้องขับรถตามทั้งสองไปตามบัญชาของราชินี(ฮโยจู) เมื่อมาถึงที่หมายฮโยจูก็เป็นคนเลือกร้านเองอีกตามเคย



“ค่อยยังชั่ว หน่อย นึกว่าในห้างก็จะดูไม่ได้ไปด้วย แบบนี้ค่อยรู้สึกเหมือนอยู่ในเกาหลีใต้หน่อย” ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นขณะรออาหารยกมาเสริฟ



“พูดเว่อร์ไป ถึงจะบ้านนอกยังไง แต่ถ้าเป็นในห้างมันก็เหมือนกันทุกที่ละ” แชวอนรู้สึกหมันไส้คำพูดเพื่อนสาวจึงสวนกลับ



“ใคร ว่าละ ที่นี่ไม่ได้ครึ่งห้างในโซลเลย ไม่สิ ไม่ถึงเศษเสี้ยวเลยด้วยซ้ำ” ร่างโปร่งยังต่อปากต่อคำ ทำให้ทั้งแชวอนและจินโฮระอาไปตามๆกัน เมื่ออาหารยกมาเสริฟจินโฮก็เอาแต่ตักอาหารให้อัญชันจนร่างเล็กหน้าเจื่อน ด้วยกลัวสายตาอาฆาตของฮโยจูและเกรงต่ออาการหน้าตึงของคนข้างๆ จนในที่สุดการทานอาหารอันน่าอึดอัดก็จบลงโดยไม่มีใครทานอิ่มสักคน



“เพิ่งบ่ายโมงเอง จะไปไหนกันต่อดีค่ะ?” แชวอนถามขึ้น แต่ไม่ทันที่อัญชันและจินโฮจะเสนอ ร่างโปร่งก็โพล่งขึ้นก่อน



“ฉันคิดเอาไว้แล้ว ไปคาราโอเกะกัน!” ฮโยจูโพล่งขึ้นให้ทุกคนแทบล้มทั้งยืน



“คาราโอเกะเนี่ยนะ เธอคิดได้ยังไงเนี่ย?” จินโฮค้าน



“ก็...ฟัง เข้าท่าดีนะค่ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปไหนด้วย ในห้างนี่น่าจะมี” อัญชันเห็นท่าจะเกิดสงครามน้ำลายอีกแน่ จึงเอ่ยสมทบร่างโปร่ง นั่นจึงทำให้จินโฮคล้อยตามความคิดไม่เข้าท่าของฮโยจูอย่างจำใจ เมื่อตกลงกันได้ทุกคนจึงมุ่งไปยังคาราโอเกะ แต่พอเข้าไปในห้องทั้งสามก็สังเกตได้ว่าร่างโปร่งไม่ได้ตามเข้ามาด้วย



“อ้าว แล้วนี่ตัวต้นคิดเขาหายไปไหนของเขาละเนี่ย?” จินโฮถามขึ้น หากแต่อัญชันและแชวอนเองก็ไม่ทราบเช่นกันจึงได้แต่ส่ายศีรษะก่อนที่เสียง ดนตรีเพลง Oh! จะดังขึ้น



(คลิ๊กเปิดและปิดด้วยจ้า)



ทั้ง สามต่างมองหน้ากันเลิกลั่กเพราะยังไม่มีใครกดเลือกเพลง ทันใดร่างโปร่งในชุดเชียร์ลีดเดอร์พร้อมวิกผมสีบลอนด์ก็ปรากฏตัวขึ้นและวาด ลวดลายตามอย่างเอ็มวีเป๊ะๆ เหมือนกับว่า เจสสิก้าแห่ง SNSD ออกมาจากจอก็ไม่ปาน ร่างโปร่งทั้งร้องทั้งเต้นได้ตรงตามสเต็ปทุกอย่าง เมื่อถึงท่อนฮุคเธอก็ยังหันไปส่งสายตาปิ๊งๆให้จินโฮอีกด้วย

Oh! Oh! Oh! Oh! ปา-รึล ซา-รัง-แฮ(Oh! Oh! Oh! Oh! พี่คะ ฉันรักพี่)

Ah! Ah! Ah! Ah! มา-นี มา-นี แฮ(Ah! Ah! Ah! Ah! มากๆเลยล่ะ)

ซู-จู-บือ-นี เช-บัล อุช-จี มา-โย(ได้โปรดอย่าหัวเราะสิ ฉันอายนะ)

ชิน-ซี-มี-นี นล-รี-ชี-โด มา-รา-โย (มันเป็นความรู้สึกของฉันจริงๆ โปรดอย่าล้อฉันนะ)

โต พา-โบ-คา-ทึล มัล ปู-นยา(อีกแล้ว...คำพูดบ้าๆเหล่านั้น)

ชอ-เน อัล-ดอน เน-กา อา-นยา Brand New Sound(ฉันไม่ใช่คนที่พี่เคยรู้จักนะ)

แซ-โร วอ-ชิน นา-วา ฮัม-เก One More Round(มาทำบางสิ่งกับฉันคนใหม่ อีกสักครั้ง)

Dance Dance Dance You'll be wrong This Time

โอ-ป้า โอ-ป้า I'll Be I'll Be Down Down Down Down



อัญชันและจินโฮต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้าจนถึงกับอ้าปากค้าง ในขณะที่แชวอนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีที่มีเพื่อนใจกล้าหน้าสวยแบบนี้



“ยัย บ้าทำอะไรไม่ปรึกษากันเลย” แชวอนบ่นอุบอิบกับตัวเอง เมื่อเพลงหยุดลงฮโยจูก็จบด้วยท่าสวย อัญชันและจินโฮยังคงอ้าปากค้างอยู่ จนแชวอนต้องรีบดึงเพื่อนสาวให้ลงมานั่งและหาอะไรคลุมให้



“นี่เธอทำบ้าอะเนี่ย? แล้วไปเอาชุดบ้านี่มาจากไหน?” แชวอนเอ็ดใส่ด้วยเสียงกระซิบ



“อะไร ก็ร้องคาราโอเกะนะสิ เลิศใช่ไหมล่ะ ฉันฝึกตั้งนานแนะ” ฮโยจูตอบอย่างภาคภูมิใจ แชวอนได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับความมั่นไม่แคร์สื่อของเพื่อนสาว ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน(ชุดด้วย)



“เอ่อ ใครจะร้องต่อดีค่ะ?” ร่างบางถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและเรียกขวัญของจินโฮกับอัญชัน



“ยัยเตี้ย เธอไปร้อง” ฮโยจูเอ่ยขึ้นพร้อมจิกตาไปที่ร่างเล็กเป็นการบังคับ



“ฮโยจู!” แชวอนจึงปรามเพื่อน



“ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันร้องก็ได้ค่ะ” อัญชันจึงต้องลุกขึ้นอย่างจำใจ ร่างเล็กกดเลือกเพลง Just the way you are





(คลิ๊กเปิดและปิดด้วยจ้า)



ทั้ง สามต่างนิ่งฟังอย่างตั้งใจ อัญชันมีท่าทีเขินอายเล็กน้อย เธอจับไมล์ไว้แน่น สายตามองตรงไปยังร่างบางเหมือนจะสื่อสารกับหล่อน แชวอนที่ถูกดวงตากลมใสนั้นจ้องมองก็เกิดอาการเขินอาย แต่เธอก็ไม่หลบสายตากลับมองตอบอย่างตั้งใจ



Oh her eyes, her eyes make the stars look like they're not shining.(ดวงตาของเธอทำให้ดวงดาวเหมือนไม่ทอแสง)

Her hair, her hair falls perfectly without her trying.(เส้นผมของเธอนั้นสลวยโดยที่เธอไม่ต้องจัดแต่ง)

She's so beautiful, and I tell her everyday.(เธอช่างงดงามและฉันบอกกับเธอทุกวัน)

Yeaaa. I know, I know when I compliment her she won't believe me.(ฉันรู้ว่าเธอคงไม่เชื่อเมื่อฉันชมเธอ)

And it's so, it's so sad to think that she don't see what i see.(มันช่างน่าเศร้าเมื่อคิดว่าเธอนั้นไม่เห็นอย่างที่ฉันเห็น)

But everytime she ask me 'Do I look okay?' I say.(แต่ทุกครั้งที่เธอถามว่า “ฉันดูโอเคไหม” ฉันตอบว่า)

When I see your face (face, face) there's not a thing that I would change.(เมื่อฉันเห็นหน้าเธอมัน ไม่มีสักสิ่งที่ฉันอยากจะเปลี่ยนแปลง)

Cause you're amazing just the way you are.(เพราะเธอนั้นช่างน่าอัศจรรย์ในแบบที่เธอเป็น)

And when you smile (smile, smile) the whole world stops and stares for a while. (และเมื่อเธอยิ้ม ทั้งโลกต่างหยุดและหันมามองชั่วขณะหนึ่ง)

Cause girl, you're amazing just the way you are.(เพราะเธอนั้นช่างน่าอัศจรรย์ในแบบที่เธอเป็น)



ฮโย จูที่เห็นท่าทางของทั้งสองก็รีบเขย่าร่างเพื่อนสาวและหันไปส่งตาเขียวใส่ ร่างเล็ก อัญชันจึงต้องหลบตามองไปทางอื่น ก่อนจะหันกลับไปมองสบตาร่างบางตามเดิม แชวอนเองแม้จะโดนเพื่อนตัวดีเบียดบังเส้นทางสายตา แต่เธอก็พยายามเบี่ยงตัวหลบจนสบตากับร่างเล็กจนได้ ส่วนจินโฮนั้นได้แต่นั่งนิ่งด้วยความเศร้าใจ ท่าทีของทั้งสองมันช่างเด่นชัด แต่ความรู้สึกที่มีต่อร่างเล็กมันก็ยังไม่จางหายไป เขาคงทำได้แค่เพียงรักเธอข้างเดียว เมื่อเพลงจบลงแชวอนอยากจะตบมือให้แต่ก็โดนฮโยจูรวบมือเอาไว้เสียก่อน



“นี่อย่านะ ไปตบให้ทำไม ร้องก็ห่วย” ฮโยจูว่า อัญชันจึงเดินเข้ามานั่งอย่างเจี๋ยมเจี้ยม



“งั้นเดี๋ยวฉันร้อง...” แชวอนเตรียมจะลุกร้องต่อแต่จินโฮกลับลุกพรวดขึ้นก่อน



“ผมขอร้องก็แล้วกัน” ร่างสูงเดินตรงไปกดเพลง Because I'm Stupid (acoustic version)ทันที





(คลิ๊กเปิดและปิดด้วยจ้า)



เขา ร้องมันด้วยเสียงที่เศร้าสร้อยและมองตรงมาที่อัญชัน แม้ร่างเล็กจะฟังไม่เข้าใจแต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่จินโฮส่งมา มันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจจนต้องเบือนหน้าหนี ฮโยจูที่มองเหตุการณ์อยู่ก็ถึงกับควันออกหูแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองร่างเล็กด้วยความริษยา ผิดกับแชวอนที่มองทั้งสองอย่างหวาดหวั่นใจ ในช่วงสุดท้ายของเพลงเขายังเดินมาหาร่างเล็กพร้อมก้มมองเธออย่างเศร้า

นี กา นอ มู แซง กัก นา นึน นึล เลน(ในวันที่ฉันคิดถึงเธอมาก)

กา ซึม ซี ลี โก ซึล พึน นัล เล นึน(วันที่ฉันเศร้าและหัวใจสั่นสะท้าน)

นี กา โพ โก ซิพ ดา อิบ กา เอ แมม โดล ลา(คำว่าคิดถึงเธอยังคงติดอยู่ที่ปากของฉัน)

ฮน จา ดา ซี โต๊ะ crying for you(ฉันต้องร้องไห้เพื่อเธออีกครั้งเพียงลำพัง)

ฮน จา ดา ซี โต๊ะ missing for you(ฉันต้องคิดถึงเธออีกครั้งเพียงลำพัง)

Baby! I love you! I`m waiting for you! (ที่รัก! ฉันรักเธอและฉันกำลังรอเธออยู่)



“พอที!” ร่างโปร่งร้องขึ้นอย่างเหลืออด



“ฮโย จู” แชวอนต้องรีบเข้าไปห้ามไว้และปลอบเพื่อนสาวให้สงบลง ฮโยจูจึงยอมกลับมานั่งตามเดิม เมื่อทั้งสามได้ร้องไปแล้วก็ถึงคราวของร่างบาง เธอเดินฝ่าบรรยากาศมาคุออกไปยืนหน้าจอพร้อมกดเพลง If you love me






(คลิ๊กเปิดและปิดด้วยจ้า)



มัน เป็นเพลงที่ค่อนข้างเก่าทุกคนถึงกับขมวดคิ้วสงสัยเมื่อดนตรีขึ้นด้วยไม่รู้ ว่าเป็นเพลงอะไร แต่ก็มานึกออกเมื่อร่างบางเริ่มเปล่งเสียง เธอร้องด้วยเสียงหวานนุ่มและมองมาที่ร่างเล็ก อัญชันถึงกับตกตะลึงตาค้าง พร้อมนิ่งฟังทุกเนื้อร้องที่เธอเปล่งออกมา ท่อนฮุคนั้นทำให้ร่างเล็กเผยยิ้มออกมา ทั้งสองต่างสบตากันอย่างหวานซึ้ง ในขณะที่ฮโยจูส่ายหน้าอย่างระอา

Shall I catch a shooting star(จะให้ฉันไปเก็บดาวตกไหม)

Shall I bring it where you are(จะให้ฉันเอาไปให้เธอไหม)

If you want me to, I will(ถ้าเธอต้องการฉันจะทำ)

You can set me any task(เธอสั่งมาได้ทุกอย่าง)

I'll do anything you ask(ฉันจะทำทุกอย่างตามที่เธอขอ)

If you'll only say you love me still(ถ้าเธอเพียงแค่จะบอกว่ายังรักฉัน)

When at last our life on earth is through(ในท้ายที่สุดเมื่อชีวิตบนโลกของเราผันผ่าน)

I will share eternity with you(ฉันจะร่วมแบ่งปันชั่วนิรันดร์กับเธอ)

If you love me really love me(ถ้าเธอรักฉันรักฉันจริงๆ)

Let it happen I won't care(ให้มันเกิดขึ้นเถอะ ฉันไม่สนสิ่งใด)

If you love me really love me(ถ้าเธอรักฉันรักฉันจริงๆ)

Let it happen darling I won't care(ให้มันเกิดขึ้นเถอะที่รัก ฉันไม่สนสิ่งใด)



“ฮึ ยัยเพื่อนบ้า” ร่างโปร่งบ่นอุบอิบกับตัวเอง ส่วนจินโฮนั้นได้แต่เบือนหน้าหนีอย่างขุ่นใจ ทันทีที่เพลงจบร่างโปร่งก็ลุกพรวด



“พอ แล้ว ฉันเบื่อแล้ว กลับบ้าน!” ฮโยจูบอกก่อนจะเดินออกจากห้อง ให้ทั้งสามมองตามอย่างอ่อนใจ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนต้นคิดแถมยังซื้อชั่วโมงไปตั้งสามชั่วโมง แต่กลับเปลี่ยนใจเอาดื้อๆ ทริปนี้จึงต้องจบแบบกะทันหันตามใจคนเอาแต่ใจไปโดยปริยาย สามสาวจึงกลับถึงบ้านในเวลาบ่ายแก่ๆ เลยตัดสินใจเดินทางกลับโซลกันในวันนี้เสียเลยจะได้เหลือเวลาพักผ่อนต่อที่โซ ลอีกวันสองวันก่อนจะกลับไปทำงาน


วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

Thunder and the wind: The After war 7


ตอนที่ 7 ยุทธวิธี


เมื่อได้ข้อสรุปในการตัดสินใจของจองฮยางแล้ว อินอุกก็จัดเตรียมข้าวของของตนเพื่อเดินทางกลับฮันฮยางในวันพรุ่งนี้

“ท่าน ทันวอน ท่านช่วยกลับไปเป็นเพื่อนคุณชายฮงหน่อยได้ไหม ข้ามีเรื่องที่ต้องให้ท่านทำ” พระเจ้าจองโจซึ่งตอนนี้ได้ถูกเชิญให้เข้ามาประทับในเรือนของฟ้าคำรามด้วย ความไม่เต็มใจนักของเจ้าบ้านเอ่ยขึ้นกับฮงโด

“หม่อนฉันรึพระยะค่ะ” ฮงโดตอบอย่างไม่มั่นใจ

“ใช่ ข้าอยากจะอยู่ที่มาโปนี่อีกสักระยะหนึ่ง และจำเป็นต้องให้ใต้เท้าฮงอยู่ด้วย ข้าจึงอยากที่จะได้คนที่ไว้ใจได้ฝากดูแลเรื่องในวังแทนข้าและท่านเองก็เป็น คนที่ข้าไว้วางใจ” พระองค์อธิบาย

“หม่อนฉันมิบังอาจ คนต้อยต่ำอย่างหม่อนฉันคงไม่สามารถ...” ฮงโดรีบท้วงขึ้น

“ไม่ จริงหรอก ท่านเป็นขุนนางที่ตรงฉินอีกทั้งยังมีศักยภาพในหลายด้าน ข้ามั่นใจว่าท่านสามารถทำได้ ยังไงก็ฝากด้วยนะท่านทันวอน” หากแต่ฝ่าบาทยืนยันที่จะให้เขารับหน้าที่ ฮงโดจึงต้องรับพระบัญชาอย่างจำใจ ทั้งที่ตนยังไม่อยากไปจากมาโป

“ฮึ..ใช้อำนาจบาดใหญ่” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นด้วยความหมันไส้ นั่นทำให้ใต้เท้าฮงถึงกับเดือดดาล

“เจ้าคนสามห้าว กล้าหมิ่นพระเกียรติต่อหน้าพระพักตร์เชียวรึ!” ใต้เท้าฮงกล่าวด้วยเสียงเกรี้ยวกราด

“เอาน่าๆ มันก็เป็นเรื่องจริง” พระเจ้าจองโจตรัส

“ฝ่าบาท!” ใต้เท้าฮงรีบท้วงขึ้น

“เพราะ งั้น ข้าจะขอใช้อำนาจบาดใหญ่ของข้า บังคับให้เจ้าต้อนรับข้าในฐานะเจ้าบ้านที่ดี เพราะข้าจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานเชียวละ” ทรงเฉลยให้ทุกคนอ้าปากค้าง


ตกดึกคืนนั้นฮงโดไปหายุนบกที่ห้อง

“อาจารย์ ท่านมีอะไรหรือครับ?” ยุนบกถามขณะเปิดประตูออกมา

“ในเมื่อข้าต้องไปจากมาโปแล้ว ข้าก็อยากที่จะเก็บความทรงจำของเราไว้” ฮงโดเอ่ยพร้อมกับผลักร่างยุนบกเข้าไปในห้อง

“อา..อาจารย์ท่านจะทำอะไรครับเนี่ย?” ยุนบกถามด้วยความสงสัย

“มา เขียนภาพกันเถอะ!” ฮงโดเฉลย เมื่อได้ยินดังนั้นยุนบกก็เผยยิ้มออกมาและพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นศิษย์และอาจารย์ก็ร่วมกันเขียนภาพแห่งความทรงจำของพวกเขาขึ้น นานเท่าไหร่แล้วที่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนี้ มันเหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลาแห่งความสุขในอดีต

เมื่อ รุ่งอรุณมาเยือนภาพเขียนก็เสร็จสมบูรณ์ ยุนบกและฮงโดนั่งมองภาพนั้นด้วยความพอใจ เขาทั้งคู่ต่างหมดแรงไปกับการเขียนภาพนี้ หากแต่เมื่อได้เห็นผลสำเร็จของมันก็ทำให้พวกเขาหายเหนื่อย

“เจ้าเก็บมันเอาไว้เถอะนะ” ฮงโดเอ่ยขึ้น

“เอ๋ ข้าหรือครับ? ข้าคิดว่าท่านจะเอามันกลับไปฮันฮยางซะอีก” ยุนบกถามด้วยความแปลกใจ

“ข้า มีภาพของเจ้าแล้วนี่ และข้าก็อยากให้เจ้าเก็บความทรงจำของเราติดตัวเจ้าไว้ เจ้าจะได้ไม่ลืมว่า...ข้าเป็นใคร” ฮงโดกล่าวอย่างเศร้าสร้อย

“พูด อะไรอย่างนั้นละครับ ต่อให้ไม่มีภาพนี้ข้าก็ไม่มีวันลืมท่านหรอกครับ อาจารย์” ยุนบกตอบด้วยความจริงใจ ฮงโดจึงยิ้มรับกับคำพูดนั้นและสวมกอดศิษย์รักสุดดวงใจ

“เอาล่ะ พวกเจ้าพร้อมเดินทางแล้วนะ” พระเจ้าจองโจตรัสขณะออกมาส่งฮงโดและอินอุกหน้าบ้าน ทั้งสองจึงคุกเข่าลงทำความเคารพ

“ขอ ให้พวกเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดนะ” พระองค์อวยพร ทั้งสองจึงโค้งรับอย่างนอบน้อม ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าของตน อินอุกหันมามองจองฮยาง สตรีที่ตราตรึงในใจเขาด้วยความอาลัย เช่นเดียวกับฮงโดที่หันมามองลูกศิษย์อย่างอาลัยรัก ยุนบกยิ้มรับและโค้งส่งผู้เป็นอาจารย์ ก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบแก้มของเขา เขายืนมองจนม้าของทั้งสองหายไปลับตา จึงได้เดินเข้าประตูบ้าน โดยไม่รู้เลยว่าจองฮยางเฝ้ามองท่าทีของเขาด้วยความรู้สึกเช่นไร

“ทำไมท่านไม่ตามเขาไปเสียเลยล่ะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ก่อนจะเดินหน้านิ่วจากไป ยุนบกได้แต่มองตามด้วยความงุนงง

“นี่นางโมโหอะไรข้ากันเนี่ย?” ยุนบกเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา

“นั่นคืออาการหึงหวงนะซิ” ฟ้าคำรามบอกพร้อมเข้ามากอดคอน้องรัก

“หะ..หึง?!” ยุนบกอุทานด้วยความแปลกใจ

“ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีนะ แสดงว่านางยังมีใจให้เจ้าอยู่” ฟ้าคำรามเสริม

“ท่านคิดอย่างงั้นหรือครับ ทั้งที่นางตัดรอนข้าอย่างไม่เหลือเยื่อใย” ยุนบกกล่าวอย่างเศร้าสร้อย

“โธ่ เอ้ย แค่โดนปฏิเสธครั้งสองครั้ง เจ้าก็ถึงกับถอดใจแล้วหรือนี่ จำเอาไว้ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก” ฟ้าคำรามกล่าว หากแต่ยุนบกไม่ค่อยอยากจะเชื่อในน้ำคำของเขานัก

“โฮ่ แต่บางทีผู้หญิงก็ด่าเพราะเกลียดจริงๆนะ” พระเจ้าจองโจที่ยืนมองทั้งสองอยู่นานตรัสแทรกขึ้น

“นี่....มือไม่พายอย่าเอาเท้าราน้ำซิ” ฟ้าคำรามเอ็ดใส่พระองค์

“บังอาจเจ้าคนสามห้าว กล้ากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์หรือนี่!” ใต้ฮงกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“นั่น สิ ข้าไม่อยากโดนคนอย่างเจ้าว่าหรอกนะฟ้าคำราม อีกอย่างข้าก็พายมาจนเกือบจะถึงฝั่งอยู่แล้ว เหลือแค่เพียงน้องของเจ้าจะกล้าโดดขึ้นฝั่งไหมเท่านั้น” พระองค์สวนกลับอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเสด็จเข้าเรือน ฟ้าคำรามได้แต่มองตามอย่างขัดอารมณ์

คืนวันนั้นฟ้าคำรามลากยุนบกไปยังร้านเหล้าเจ้าประจำกลางตลาด พร้อมด้วยชิลลูกน้องคนสนิทที่ต้องตามมาอย่างจำใจ

“ข้าว่าถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเอาจริงแล้ว” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นพลางกระดกเหล้า

“เอาจริง?” ยุนบกเอ่ยด้วยความสงสัย

“ใช่! เจ้าเห็นนั่นไหม ดวงจันทร์ที่งดงามบนท้องฟ้า” ฟ้าคำรามชี้ไปที่ดวงจันทร์ ยุนบกจึงเงยหน้ามองตามมือ

“จัน ทรานั้นมีเพียงหนึ่ง มิได้ดาษดื่นเหมือนดวงดาวมากมาย หากนางเป็นดั่งจันทราของเจ้า จงเอื้อมไปให้สุดมือและคว้านางมาไว้ในหัวใจ” ฟ้าคำรามทำท่าประกอบเอื้อมมือไปคว้าดวงจันทร์มาแนบอกตัวเอง แม้ยุนบกจะไม่ค่อยเข้าใจว่าพี่ของตนทำอะไร แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ฟ้าคำรามคว้าดวงจันทร์ของเขาไปแนบอก เขาจึงดึงมือฟ้าคำรามและแย่งเอาดวงจันทร์มาไว้กับตน

“ข้าเข้าใจแล้ว” ยุนบกกล่าว ฟ้าคำรามได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ ในขณะที่ชิลได้แต่ส่ายหน้าให้กับความบ้าของพี่น้องคู่นี้

“เอาล่ะเรามาเริ่มแผนแรกกันเลย” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้น

“เอ๊ะ? ผะ..แผน? แล้วข้าต้องทำยังไงหรือครับ?” ยุนบกถามด้วยความฉงน

“ฮ่าๆๆ ง่ายมาก สตรีทุกนางนั้นย่อมอ่อนระทวยเมื่อพานพบกับยอดชายอาชา” ฟ้าคำรามตอบหากแต่นั่นไม่ได้ทำให้ยุนบกเข้าใจขึ้นเลย

“ยอดชายอาชา?” ยุนบกเอ่ยด้วยความสงสัย

“ข้า และชิลจะช่วยเจ้าเองน้องชาย!” ฟ้าคำรามกล่าวก่อนจะตบไปที่ไหล่ยุนบกด้วยความพอใจและกระดกเหล้าเข้าปาก ในขณะที่ชิลได้แต่นั่งถอนหายใจที่จู่ๆก็โดนลากมาร่วมวง

แผนที่ 1 ยอดชายอาชา
ขณะที่จองฮยางกำลังเดินไปซักผ้าที่น้ำตกระหว่างทางนางพบกับชายฉกรรย์สองคน พวกเขาอำพรางใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำ

“พวกท่านเป็นใคร? ต้องการอะไร?” จองฮยางถามหากแต่พวกเขาไม่ตอบ และตรงเข้ามาจับตัวนางไว้

“กรี๊ด! ปล่อยนะ พวกท่านต้องการอะไร?” จองฮยางร้องด้วยความตกใจ

“หยุด นะเจ้าโจรใจทราม ปล่อยนางเดี๋ยวนี้” ยุนบกปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่าวกับโจรอย่างห้าวหาญ ทันใดนั้นโจรคนหนึ่งก็ตรงเข้าไปทำร้ายเขาทันที แต่ด้วยฝีมือของยุนบกจึงทำให้สามารถต่อกรกับมันได้อย่างสูสี ก่อนที่เขาจะได้ทีต่อยเข้าไปที่ท้องของมันเต็มแรงจนล้มทั้งยืน ยุนบกผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายล้มลง แต่โจรก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์มันลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง คราวนี้มันตรงเข้าคลุกวงใน

“เจ้าบ้าเบามือหน่อยได้ไหม จะฆ่าข้าหรือไง?” โจรกระซิบบอกกับยุนบก

“ข้า ขอโทษครับพี่” ยุนบกจึงกระซิบตอบ ก่อนจะทำท่าต่อยไปที่หน้าโจร นั่นทำให้จองฮยางจับอาการแปลกๆของคนทั้งคู่ได้ นางจึงฉวยโอกาสในขณะที่โจรอีกคนเผลอดิ้นหลุดจนมือนางเป็นอิสระ จากนั้นนางก็กระชากผ้าคลุมหน้าของโจรออก ก็พบว่าโจรที่จับนางคือชิลนั่นเอง

“นี่ พวกท่านเล่นอะไรกันค่ะเนี่ย?” นางถามด้วนน้ำเสียงเอาเรื่อง ทำให้ยุนบกและโจรที่กำลังต่อสู้อยู่รู้ว่าแผนแตกเสียแล้ว นางจึงเดินตรงไปยังโจรอีกคนหนึ่งและดึงผ้าคลุมหน้าออกเช่นกัน จึงรู้ว่าอีกคนคือฟ้าคำรามนั่นเอง

“พวกท่านว่างกันนักหรือค่ะ?” จองฮยางกล่าวเสียงเข้มพร้อมจ้องเขม็งไปที่ยุนบก ก่อนจะเดินจากไปอย่างโกรธเคือง บุรุษทั้งสามได้แต่ยืนหน้าจ้อย แผนที่ 1 จึงล้มไม่เป็นท่า

“เอาน่าๆ ลูกผู้ชายล้มร้อยครั้งก็ต้องลุกร้อยครั้ง ในเมื่อยอดชายอาชาไม่สามารถเอาชนะใจนางได้ งั้นต้องใช้กลยุทธ์ขั้นสูง” ฟ้าคำรามปลอบใจน้องชายก่อนจะเสนอแผนต่อไป ยุนบกและชิลได้แต่ส่ายหน้าให้กับความหนาของหน้าเขา

“แล้วกลยุทธ์ขั้นสูงของท่านมันคืออะไรกันล่ะ?” แม้จะไม่อยากรู้แต่ยุนบกก็จำใจถาม ฟ้าคำรามจึงแสยะยิ้ม

“บุรุษเจ้าสำราญ” ฟ้าคำรามเฉลย

แผนที่ 2 บุรุษเจ้าสำราญ
ขณะที่จองฮยางกำลังเดินชมตลาดอยู่นั้น นางได้เดินผ่านร้านขายผ้าแพรร้านหนึ่ง นางหยุดดูอย่างสนใจ

“แพร พรรณนวลเนื้อผืนเรียบ มิอาจเทียบเทียมโฉมนาง” ยุนบกในชุดขาวดูสง่าราวชนชั้นสูง กล่าวพร้อมกางพัดในมือออก และส่งยิ้มที่คิดว่าทรงเสน่ห์ให้กับนาง จองฮยางมองเขาด้วยความแปลกใจก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอา

“ฟังหูไว้หูดูเป็นกลาง คำพูดนั้นยังห่างการกระทำ” นางตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ยุนบกถึงกับหน้าจ้อย

“คน จริงจริงใจในทุกคำ ใช่พูดพร่ำเพียงเพื่อแค่เกี้ยวพา” เขายังทำใจดีสู้เสื้อต่อกลอนนางกลับ นั่นทำให้นางถึงกับหันหน้ามามองเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ยุนบกสะดุ้งโหยงเมื่อถูกสายตานางจ้องมอง

“คำพูดของท่านมันเชื่อไม่ ได้อีกแล้ว ข้าจะไม่มีวันหลงคารมคนอย่างท่านอีก!” นางกล่าวก่อนจะเดินจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ยุนบกได้แต่มองตามคอตก แผนที่2 ก็ไม่เป็นผลอีกตามเคย

“เอาน่าๆ อย่างที่เขาว่าไว้ละนะ ความรักนะมันยากกว่าการเขียนภาพ” ฟ้าคำรามปลอบใจผู้เป็นน้อง

“ใครกล่าวเช่นนั้นกัน ข้าไม่เคยได้ยิน” ชิลแทรกขึ้นด้วยความสงสัย ฟ้าคำรามจึงหันไปแยกเขี้ยวใส่เขาไม่ให้ขัดจังหวะ

“ข้าว่าเห็นทีเราคงต้องใช้ไม้ตาย” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้น นั่นทำให้ยุนบกหันมาสนใจได้

“อะไรหรือครับ?” เขาถามด้วยความตื่นเต้นด้วยยังแอบหวังอยู่

“พ่อบุญทุ่ม” ฟ้าคำรามเฉลยพร้อมหัวเราะอย่างชอบใจ

แผนที่ 3 (แผนสุดท้าย ไม้ตาย) พ่อบุญทุ่ม
เช้าตรู่อันสดใสจองฮยางเปิดประตูออกมารับอรุณอย่างสำราญใจ นางก็ต้องแปลกใจที่เห็นผ้าแพรกองหนึ่งวางอยู่หน้าห้อง นางจึงก้มลงไปดู

“ข้า เห็นว่าเจ้าจับมันอยู่ที่ตลาด เจ้าคงชอบมันซินะ ข้าก็เลยซื้อมาให้” ยุนบกปรากฏตัวขึ้น จองฮยางได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าเอือมระอาทันที

“ไม่ เป็นไร เสื้อผ้าของข้าก็มีเยอะอยู่ หาได้ต้องการเพิ่มไม่ ท่านเก็บไว้เองเถอะ” นางกล่าวก่อนจะวางมันลงที่เดิม และเดินตรงไปหน้าร้าน ยุนบกเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามนาง

“โอ้...ข้าบังเอิญเจอปิ่นปักผมนี่ที่ตลาด มันเหมาะกับเจ้ามาก” เขากล่าวพร้อมยื่นปิ่นให้นาง

“ขอบ ใจแต่ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องใส่เครื่องประดับมากมายอีกแล้ว ที่มีอยู่ก็มากพอ หากจะมีมาเพิ่มคงจะเป็นภาระแก่ข้าเปล่าๆ อีกอย่างมันก็ทำให้ข้ารู้สึกไม่ถนัดเวลาทำงาน” นางกล่าวปฏิเสธพร้อมเร่งฝีเท้าหนีเขา แต่ยุนบกก็ยังไม่ลดละ เขาจึงวิ่งตามนางไปอีก ก่อนที่นางจะเดินมาถึงครัวหน้าร้านที่ที่นางทำหน้าที่อยู่ ก็พบเข้ากับดอกไม้มากมายวางเรียงรายอยู่ในนั้น ยุนบกส่งยิ้มให้นาง

“หวังว่าเจ้าคงจะชอบ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากแต่นางกลับชักสีหน้าด้วยความโกรธเกี้ยว

“ท่าน พอสักทีเถอะ การที่ท่านทำเช่นนี้มันเป็นการรบกวน ข้าไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งหรือยินดีแม้แต่น้อย” นางกล่าวอย่างเหลืออด ก่อนจะเดินฝ่าดงดอกไม้เข้าครัวไป แผนที่3 จึงจบลงด้วยความล้มเหลว ยุนบกรู้สึกท้อแท้ใจเป็นที่สุด

“เอาน่ายุนบก ลูกผู้ชายนะ...” ฟ้าคำรามพยายามจะปลอบน้องของตนเหมือนเคยแต่ไม่ทันพูดจบก็โดนยุนบกสวนขึ้น

“พอ ทีเถอะ แผนของท่านมันไม่มีทางเป็นจริงได้หรอก ข้าไม่มีวันเอาชนะใจนางได้อีกแล้ว” ยุนบกกล่าวอย่างสิ้นหวัง ชิลที่นิ่งฟังอยู่ลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาเขา

“ทุกปัญหาย่อมมีทางออก เสมอยุนบก ในเมื่อแผนการต่างๆไม่สามารถเอาชนะใจนางได้ ทำไมเจ้าไม่เลิกใช้แผนโง่ๆพวกนั้นและเปลี่ยนมาใช้หัวใจของเจ้าล่ะ” ชิลกล่าวขึ้นพร้อมจับไปที่ไหล่ของยุนบก นั่นทำให้ยุนบกที่กำลังนั่งคอตกอยู่เงยหน้ามองบุรุษผู้นี้อย่างเลื่อมใส

“จง ทำในแบบของเจ้า ใช้หัวใจของเจ้าทำให้นางประจักษ์ในรักแท้” ชิลกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นั่นทำให้ฟ้าคำรามถึงกับอ้าปากค้างที่ลูกน้องตัวโตดั่งหมีกลับมีความลึกซึ้ง ในเรื่องรักได้ถึงเพียงนี้ คำพูดของชิลช่วยทำให้ยุนบกฮึดสู้อีกครั้ง

แผนที่ 4 ซึ่งไม่ใช่แผนแต่เป็นความรักจากหัวใจ
เช้าตรู่วันหนึ่งยุนบกมายืนรอจองฮยางอยู่หน้าประตูอย่างใจจดจ่อ เมื่อนางเปิดประตูออกมาก็ถึงกับแปลกใจที่เห็นเขา

“ท่านมีธุระอะไร?” นางถามด้วยน้ำเสียงไม่ยินดีนัก

“เอ่อ...ขะ ...ข้า...ข้าแค่อยากจะมากล่าวอรุณสวัสดิ์กับเจ้านะ ข้าไปละ” ยุนบกกล่าวจบก็เดินตรงไปหน้าร้าน จองฮยางได้แต่ยืนงุนงงต่อท่าทีของเขา ก่อนจะเดินตามไปช่วยที่หน้าร้านเช่นกัน ยุนบกกลับมาทำหน้าที่บริกรตามเดิมด้วยความแข็งขัน เขาต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มและความสดใสเช่นเคย

“โต๊ะสองขอข้าวกับ น้ำแกงสองที่นะ” เขาเดินมาบอกจองฮยางผู้เป็นแม่ครัวด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะเดินไปสั่งเหล้ากับฟ้าคำรามที่ทำหน้าที่อุ่นเหล้าอยู่ จองฮยางรู้สึกแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา แต่ขณะเดียวกันก็โล่งใจที่เขากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ดื่มเหล้าเมามายอีก

“ข้าว กับน้ำแกงโต๊ะสองได้หรือยังจองฮยาง?” ยุนบกเดินมาทวงรายการอาหาร จองฮยางจึงรีบลนลานทำให้ ก่อนที่เขาจะยกไปให้ลูกค้า นางมองท่าทางแข็งขันนั้นแล้วก็ยิ้มอย่างชื่นชม รอยยิ้มนั้นหาได้พ้นสายตาแหลมคมของพระเจ้าจองโจผู้ปรีชาไม่ พระองค์รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ดีขึ้นของทั้งสอง

“คงถึงเวลาที่ข้าจะออกโรงแล้วกระมัง” พระองค์ตรัสอย่างมีนัยพร้อมแย้มพระสรวล


วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

Thunder and the wind: The After war 6


ตอนที่6 กองหนุน

หลังจากโดนจองฮยางตัดรอน ยุนบกก็เอาแต่เมาหัวราน้ำทุกวัน เขาไม่แม้แต่จะไปสอนศิลปะได้แต่นั่งดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านเหล้าในตลาด ทุกคนต่างเป็นห่วงเขาโดยเฉพาะฮงโด แม้เขาจะไม่สามารถบอกให้ยุนบกหยุดดื่มได้แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ศิษย์รักนั่งดื่มคนเดียว เขาจะมานั่งเป็นเพื่อนยุนบกและคอยแบกร่างที่เมาพับของลูกศิษย์กลับบ้านทุกคืน วันนี้ก็เช่นกัน

“พอได้แล้วมั้ง ข้าว่าวันนี้เจ้าดื่มมากแล้วนะ” ฮงโดเอ่ยขึ้น หากแต่ยุนบกกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขายังคงกระดกเหล้าเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เป็นอาจารย์ถึงกับทอดถอนใจ

“ท่านครับๆ พี่ฟ้าคำรามให้ข้ามาตามท่านไปพบด่วนครับ” เด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาฮงโดอย่างรีบร้อนและบอกกับเขาด้วยเสียงหอบเหนื่อย

“ท่านฟ้าคำรามรึ? มีเรื่องอะไรด่วนนักหนา?” ฮงโดถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ข้าไม่ทราบครับ เขาบอกแค่ให้ข้ามาตามท่านไปพบด่วน” เด็กชายตอบโดยยังมีอาการหอบอยู่ ฮงโดรู้สึกฉงนหากแต่ก็ต้องไปตามที่เด็กชายบอก

“ยุนบกเดี๋ยวข้ากลับมานะ เจ้าอย่าไปไหนละ” ฮงโดหันมาบอกกับลูกศิษย์ก่อนจะเดินจากไปอย่างรีบร้อน ไม่นานนักชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขาใส่เสื้อผ้าด้วยชุดหรูหราดูภูมิฐานและมีท่าทางงามสง่า

“โอ้...เจ้าหนุ่มนั่งดื่มคนเดียวแบบนี้ไม่เหงารึ มาเดี๋ยวข้าจะนั่งเป็นเพื่อนเจ้าเอง” เขาเอ่ยขึ้นพลางเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับยุนบก ยุนบกเองรับรู้ถึงแขกที่ไม่ได้รับเชิญจึงเงยหน้าขึ้นมองก็รู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายเหลือเกิน

“ท่านเป็นใครกัน หน้าคุ้นๆชอบกล” ยุนบกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เนื่องจากฤทธิ์เหล้า หากแต่อีกคนกลับหัวเราะร่า

“ฮ่าๆๆ คงเพราะข้าหน้าโหลกระมัง ถึงทำให้เจ้าคิดแบบนั้น” เขาตอบ เมื่อได้ฟังคำตอบดังกล่าวยุนบกจึงหมดความสนใจและหันกลับมารินเหล้าดื่มตามเดิม

“โอ้...อะไรกันที่ทำให้คนหนุ่มอย่างเจ้าต้องดื่มเหล้าเมามายถึงเพียงนี้กันนะ.....คงจะหนีไม่พ้นเรื่องผู้หญิงละซิ” ชายท่าทางภูมิฐานนั้นเอ่ยขึ้นจี้ใจยุนบกยิ่งนัก เขาถึงกับกระแทกจองเหล้ากับโต๊ะอย่างแรง

“ใจเย็นๆ ข้าไม่ได้จะซ้ำเติมเจ้า เพียงแต่อยากจะช่วยเจ้าเท่านั้น ข้าเข้าใจเจ้าดี ข้าเองก็เป็นบุรุษคนหนึ่งย่อมเคยมีเรื่องทุกข์ใจเพราะสตรีมาก่อน ไหนเจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม” ชายท่าทางภูมิฐานพูดกล่อมจนยุนบกยอมเปิดใจและเล่าความทุกข์ที่เกิดจากปัญหารักสามเศร้าของเขาให้ฟัง

“ข้ารู้ดีว่าข้าไม่คู่ควรกับนาง แต่ข้า...แต่ข้าก็รักนางไม่แพ้ชายใด ข้าทนไม่ได้ที่นางจะเป็นของคนอื่น” ยุนบกคร่ำครวญ

“ข้าเข้าใจๆ เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะ ให้ข้าช่วยเจ้าดีไหม?” ชายท่าทางภูมิฐานเสนอขึ้น ยุนบกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งก่อนจะหัวเราะชอบใจ

“ฮ่าๆๆ ขอบใจพี่ชาย แต่แค่ท่านรับฟังความทุกข์ของข้า ข้าก็ขอบใจท่านมากแล้ว ข้าขอบใจมากจริงๆ ขอบใจๆๆๆ.....” ยุนบกกล่าวก่อนจะฟุบไปกับโต๊ะ โดยมีสายตาของผู้ร่วมโต๊ะมองเขาอย่างเอ็นดูพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

ไม่นานนักฮงโดก็กลับมายังร้านเหล้าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวหลังจากที่ไปตามคำบอกของเด็กชายคนนั้น หากแต่พอไปพบฟ้าคำรามเขากลับไม่รู้เรื่องดังกล่าว ฮงโดจึงต้องเหนื่อยเดินกลับไปกลับมา

“ให้ตายเถอะเจ้าเด็กบ้า ถ้าข้าเจอเจ้าอีกนะพ่อจะตีให้ก้นแตกเลย” ฮงโดกล่าวอย่างอาฆาต ก่อนจะหันไปมองร่างของลูกศิษย์ที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะ

”ยุนบกเอ้ยกลับกันเถอะ” เขาเอ่ยก่อนจะเข้าไปแบกร่างยุนบกขึ้นบ่าและพากลับเสน่ห์จันทรา

วันต่อมาเสน่ห์จันทรายังคร่าคร่ำไปด้วยลูกค้าเหมือนเดิม หากแต่คนเมาค้างอย่างยุนบกยังนอนไม่ตื่น เลยมีเพียงอินอุกที่มาทำหน้าที่บริกร แต่นั่นกลับทำให้อินอุกสุขใจกว่าเสียอีกเพราะไม่มีมารหัวใจมาทำให้รำคาญตา เมื่อเข้าช่วงสายก็ถึงเวลาปิดร้าน แต่กลับมีชายคนหนึ่งเดินเข้าร้านมา อินอุกที่กำลังเช็ดถูโต๊ะอยู่จึงเงยหน้าขึ้นบอก

“ขอโทษครับ ร้านปิดละ.....” เขาถึงกับอึ้งเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นเป็นใคร

“ท่าน....ท่านพ่อ!” เขาอุทานด้วยความตกใจ

“นี่คือสิ่งที่ทำให้เจ้าไม่อยากกลับฮันฮยางรึ?” ฮง กุกยอง หรือบิดาของอินอุกเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ หากแต่สร้างความกดดันให้ผู้เป็นลูกยิ่งนัก

“คุณชายฮงค่ะ ไปทานอาหารได้แล้วค่ะ” เสียงจองฮยางเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหาทั้งสอง ก็สังเกตอาการหน้าซีดของอินอุกได้

“คุณชายฮงท่านเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ ไม่สบายหรือค่ะ?” นางถามด้วยความเป็นห่วง

“หรือจะเป็นเพราะนางผู้นี้?” ฮง กุกยองหันไปสบตาจองฮยาง นั่นจึงทำให้นางสังเกตได้ถึงผู้มาเยือน

“ท่านเป็นใครกัน?” นางถามขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนที่อินอุกจะคุกเข่าลงต่อหน้าผู้เป็นพ่อ

“ได้โปรดเถอะครับท่านพ่อ ข้าขอเวลาอีกหน่อย ข้าสัญญาว่าจะกลับไปอย่างแน่นอน ข้าสัญญาว่าจะเป็นช่างเขียนหลวงอย่างที่ท่านตั้งใจได้อย่างแน่นอนครับ” อินอุกเอ่ยขึ้นอย่างลนลาน จึงทำให้จองฮยางรู้ว่าคนผู้นี้คือบิดาของเขานั่นเอง

ขณะเดียวกันยุนบกที่พึ่งตื่นก็พยายามหอบร่างของตัวเองให้ลุกจากที่นอนอย่างทุลักทุเล และค่อยๆคลานไปเปิดประตูห้องของตัวเองช้าๆ พอดีกับที่ฮงโดเดินมาดูเขา จึงได้เห็นสภาพน่าสมเพชของลูกศิษย์เข้าเต็มๆ

“ให้ตายเถอะ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เจ้าขี้เมา” ฮงโดเข้าไปกระชากร่างของยุนบกให้ยืนขึ้นและเดินอย่างมนุษย์ทั่วไป เขาอิดออดในตอนแรกแต่ก็พยายามลุกเดินแม้หัวเขาจะปวดจนแทบระเบิด ทั้งสองหมายจะเดินไปร่วมวงทานอาหารกับฟ้าคำรามซึ่งต้องผ่านไปหน้าร้าน จึงได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่เข้า ยุนบกมองภาพที่อินอุกคุกเข่าอ้อนวอนผู้เป็นพ่อก็ถึงกับฉุนเฉียว

“ได้โปรดเถอะครับท่านพ่อให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อเถอะครับ” อินอุกยังคงอ้อนวอนต่อผู้เป็นพ่อ

“ให้ตายเถอะ เจ้านี่มันดื้อด้านจริงๆนะ คิดว่าให้พ่อของเจ้าออกมาพูดแล้วจะทำให้เจ้ายอมกลับฮันฮยางเสียอีก แย่จัง ข้าขอโทษด้วยนะยุนบก” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างของชายท่าทางภูมิฐานที่ทำให้ทุกคนถึงกับตกใจ

“ฝ่าบาท!” ฮงโดอุทานด้วยความตกใจก่อนจะเข้าไปคุกเข่าทำความเคารพพร้อมๆกับคนอื่นๆ นั่นจึงทำให้ยุนบกนึกได้ว่าชายคนนี้คือคนคนเดียวกันกับที่เข้ามาคุยกับเขาเมื่อคืน

“ข้าน้อยสมควรตายที่ล่วงเกินฝ่าบาท หากแต่ข้าไม่ทราบจริงๆว่าเป็นพระองค์ด้วยเพราะด้อยปัญญา ได้โปรดทรงประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ” ยุนบกคุกเข่าลงและก้มศีรษะจนโขกกับพื้น

“ฮ่าๆๆ นั่นเป็นเพราะข้าจงใจให้เจ้าจำไม่ได้นะซิแฮวอน” ชายท่าทางภูมิฐานหรือพระเจ้าจองโจตรัสขึ้นอย่างอารมณ์ดี

“เอาล่ะแฮวอนเงยหน้าขึ้นเถอะ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะทำตามที่ข้าได้บอกกับเจ้าไว้ เพราะฉะนั้น เจ้า ฮง อินอุก ข้าขอสั่งให้เจ้ากลับฮันฮยางเพื่อไปสอบเป็นช่างเขียนหลวงตามที่พ่อของเจ้าหวังไว้เดี๋ยวนี้” พระเจ้าจองโจตรัสกับยุนบกก่อนจะหันมาทางอินอุกด้วยท่าทางจริงจัง อินอุกได้ยินรับสั่งก็ถึงกับตัวสั่นเทา

“ระ...รับได้เกล้าพะยะค่ะ” เขาตอบรับอย่างลนลาน

“อืมดี...” พระเจ้าจองโจตรัสอย่างพอพระทัย นั่นทำให้ยุนบกถึงกับแอบยิ้ม

“หากแต่ ข้าน้อยขอความเป็นธรรมด้วยพะยะค่ะ” อินอุกท้วงขึ้น

“อินอุกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้พูดแบบนี้กับฝ่าบาท!” ฮง กุกยองกล่าวตำหนิลูกของตน

“หามิได้พะยะค่ะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาและเที่ยงธรรมทั่วทั้งแผ่นดินนั้นประจักษ์ดี ข้าจึงอยากจะขอความเที่ยงธรรมของพระองค์ ข้าน้อยจะกลับฮันฮยางภายในวันนี้อย่างแน่นอน แต่ก็อยากจะพาแม่นางจองฮยางไปด้วย ขอได้โปรดทรงอนุญาตด้วยพระยะค่ะ” อินอุกอธิบาย นั่นทำให้ยุนบกถึงกับเดือดดาล

“นี่เจ้า!” ยุนบกหมายจะเข้าไปทำร้ายอินอุกแต่ได้ฮงโดห้ามไว้ก่อน พระเจ้าจองโจที่ได้ฟังคำขอจากอินอุกก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตรัสขึ้น

“ได้ข้าอนุญาต และจะเป็นเจ้าภาพในงานมงคลของเจ้าด้วย” พระองค์ตรัสอย่างจริงจัง

“ฝ่าบาท!” ยุนบกร้องท้วงขึ้น

“หากว่านางยอมไปนะ......ว่ายังไงล่ะ แม่นาง?” พระองค์หันมาตรัสถามกับจองฮยางที่เงียบฟังทุกคนพูดมาตั้งแต่ต้น นางก้มรับคำถามอย่างนอบน้อม แม้จะไม่เคยเข้าเฝ้ามาก่อนแต่นางก็เก็บอาการและสำรวมกายได้อย่างงดงามราวกับธิดาของขุนนางใหญ่ พระเจ้าจองโจมองนางอย่างสำรวจ

“นี่น่ะรึ สตรีที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด อืม....ควรค่าแก่การแย่งชิงยิ่งนัก” พระเจ้าจองโจทรงตรัสอยู่ภายในใจ

“ว่าอย่างไรล่ะ?” พระองค์ทรงตรัสถามอีกครั้ง จองฮยางก้มหน้าอย่างครุ่นคิดโดยมีสายตาของทุกคนจับจ้องนางอย่างลุ้นระทึก

“ทูลฝ่าบาท หม่อนฉัน....ไม่คิดที่จะกลับไปฮันฮยางอีกเพค่ะ........คุณชายฮง ข้าขอบคุณท่านมากที่ท่านให้เกียรติผู้หญิงอย่างข้าถึงเพียงนี้ หากแต่...ข้าไม่เคยคิดกับท่านฉันท์ชู้สาว ข้า...ข้าขอโทษจริงๆ” นางตอบฝ่าบาทก่อนจะหันมาพูดกับอินอุกและก้มศีรษะขอโทษเขาอย่างสุดซึ้ง นั่นทำให้อินอุกถึงกับพูดอะไรไม่ออก

“เอาล่ะ...เจ้าก็ได้คำตอบแล้วนะ คงกลับได้แล้วละซิ” พระเจ้าจองโจตรัส อินอุกจึงน้อมรับบัญชาอย่างแสนเศร้า โดยมียุนบกแอบยิ้มด้วยหัวใจพองโต

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ทำไมพวกเจ้าไม่เข้าไปกินข้าวสักที ข้าหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว!” เป็นฟ้าคำรามนั่นเองที่โผล่พราดออกมาจากบ้านด้วยความโมโหหิว ก่อนจะสังเกตเห็นบุรุษคุ้นตาที่ยืนสง่าอยู่ท่ามกลางพวกของยุนบก

“เจ้า! เจ้าๆ มาได้ยังไง? เจ้ามาทำไมที่นี่เนี่ย?” ฟ้าคำรามถามลิ้นรัวด้วยความตกใจ

“ท่านพี่ใครมารึค่ะ?” เสียงจานเอ่ยถามพลางเดินออกมาดูเหตุการณ์ก็ต้องตกใจไม่แพ้ผู้เป็นสามี

“โอ้จาน เจ้ายังงดงามเหมือนเดิมน่ะ” พระเจ้าจองโจเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี

“ท่าน!” จานอุทานด้วยความตกใจ

“พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้เรียกพระราชาแห่งโชซอนเช่นนี้” ฮง กุกยองตำหนิขึ้นอย่างไม่พอใจทำให้เกิดการโต้เถียงขึ้นยกใหญ ขณะนั้นเองที่อินอุกกระซิบถามจองฮยางขึ้น

“เป็นเพราะเขาใช่ไหม? เป็นเพราะยุนบก” อินอุกถาม หากแต่จองฮยางไม่ตอบใดๆได้แต่ยิ้มรับหน้าเศร้า ก่อนที่นางจะเดินหนีออกมาโดยมียุนบกวิ่งตามหลังนางมาติดๆ เขาเข้าไปขวางทางนางไว้

“ข้า...ข้าดีใจจริงๆ ที่เจ้าไม่ไปกับมัน” ยุนบกเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหอบจากการวิ่ง นางจึงมองหน้าเขาด้วยดวงตาดุ

“ท่านอย่าได้ดีใจไปเลย ที่ข้าไม่ไปนั้น หาใช่เพราะท่านไม่” นางตอบเสียงแข็งก่อนจะเดินจากไป ยุนบกได้แต่มองตามหลังนางด้วยความงุนงงและเป็นกังวล นี่เขาหมดหวังแล้วจริงๆหรือ?