ตอนที่ 3 รักต้องสู้ (Love Fight)
“พี่จินโฮ” ร่างโปร่งร้องเรียกชายหนุ่มที่มองเธออย่างตกใจ
“นี่เธอ...มาทำอะไรที่นี่นะฮโยจู” จินโฮกล่าวทักอย่างไม่เป็นมิตร
“ทำไมพี่พูดแบบนั้นละ...ฉันก็มาหาเพื่อนฉันสิ” ร่างโปร่งตอบอย่างแงงอนและเข้าไปกอดคอเพื่อนรักของเธอ อัญชันมองภาพนั้นอย่างตื่นตา ข่าวที่ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันนั้นคงเป็นเรื่องจริง แต่ร่างเล็กก็อดสงสัยไม่ได้ว่า พวกเธอนั้นเป็นเพื่อนรักกัน...ขนาดไหน (•ิ_•ิ?)
“ถ้าอย่างงั้นพี่ขอตัวก่อนแล้วกัน” ร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินจากไปพร้อมโอบร่างเล็กให้เดินตามเขาไปด้วย นั่นทำให้ฮโยจูสังเกตเห็นร่างเล็กของอัญชันได้ เธอรีบฉุดแขนอีกข้างของจินโฮไว้ทันที และส่งสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อไปที่อัญชันให้ร่างเล็กเสียวสันหลัง
“ยัยเตี้ยนี่ใครกัน?” ฮโยจูถามเอาเรื่อง
“ฮโยจู!” จินโฮถึงกับขึ้นเสียงปรามมารยาทของเธอ
“ทำไมละ พี่ก็ตอบฉันมาสิว่ายัยเตี้ยนี่เป็นใคร?” ฮโยจูขึ้นเสียงกลับอย่างไม่น้อยหน้า
“เขาจะเป็นใครก็ช่าง แต่เธอไม่มีสิทธิ์มาเรียกเขาแบบนี้” จินโฮตอบไม่ไว้หน้า คำพูดของเขาทิ่มแทงใจของร่างโปร่งให้รั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ หมายจะเข้าไปทำร้ายอัญชัน แต่ดีที่แชวอนรู้จักเพื่อนรักของเธอดี จึงเข้ามาดึงร่างโปร่งไว้ได้ทัน
“เอ่อ...เดี๋ยวคุณอัญชันมีเรียนไม่ใช่หรือค่ะ รีบไปเถอะค่ะคุณปาร์ค” แชวอนกล่าวพรางดึงรั้งร่างโปร่งไม่ให้อาละวาด จินโฮจึงพาร่างเล็กเดินออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว อัญชันได้แต่เดินตามเขาไปอย่างงงงวย เธอไม่ค่อยเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นัก
“ผมต้องขอโทษแทนฮโยจูด้วยนะครับ เธอเป็นแบบนี้ประจำ หวังว่าคุณคงจะไม่ถือโทษโกรธเธอ” จินโฮกล่าวขณะขับรถไปส่งอัญชันที่มหาวิทยาลัย
“เอ่อ...ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่แปลกใจนะค่ะ สงสัยว่าฉันคงจะทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้า” เธอตอบเสียงอ่อย
“นั่นไม่จริงเลยครับ คุณไม่ได้ทำอะไร มันไม่ใช่ความผิดของคุณ เอ่อ..คือ ฮโยจูนะเขา........เอาเป็นว่า ไม่มีใครผิดทั้งนั้น มันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ คุณอย่าคิดมากเลยครับ” จินโฮอยากจะอธิบายให้อัญชันเข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของเขากับฮโยจู แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะมันคงไม่เป็นการดีนักหากเขาจะบอกกับผู้หญิงที่ตนหลงรักว่าตนนั้นมีผู้หญิงอื่นมาติดพันธ์อยู่
“ทำไมเธอต้องห้ามฉันด้วยแชวอน ฉันอยากจะตบยัยเตี้ยนั่นจริงๆ มันเป็นใครกัน กล้าดียังไงมายุ่งกับพี่จินโฮของฉัน” ฮโยจูแผดเสียงทันทีที่เข้ามาภายในคอนโดของแชวอน
“ฉันว่าเธอใจเย็นๆก่อนดีกว่านะ บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดก็ได้” แชวอนพยายามพูดดับอารมณ์เดือดของเพื่อนสาว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“ไม่เป็นน้อยนะสิ แค่ดูแว๊ปเดียวฉันก็รู้แล้ว ยัยเตี้ยนั่นจ้องจะจับพี่จินโฮชัดๆ” ฮโยจูไม่คล้อยตามเพื่อนสาวของตนแม้แต่น้อย ทำให้แชวอนถึงกับอ่อนใจ หากเป็นเรื่องของ ปาร์ค จินโฮ เมื่อไหร่เพื่อนสาวผู้เย่อหยิ่งและรักษาภาพลักษณ์ของเธอคนนี้ เป็นต้องน๊อตหลุดควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ร่ำไป แต่เธอก็เข้าใจหัวอกของเพื่อน ฮโยจูนั้นหลงรักปาร์ค จินโฮมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทั้งที่ฝ่ายชายไม่เคยมีท่าทีใดๆกลับมา แต่หล่อนก็ไม่เคยถอดใจ คอยตามตื้อและเล่นงานผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้ พี่จินโฮของเธอ แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่มีหวังแต่เธอก็จะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนได้ผู้ชายของเธอไปเด็ดขาด
หลังอาบน้ำเสร็จแชวอนเดินไปดูสภาพเมาแอ้ของเพื่อนสาวที่ดื่มจนนอนพับไม่ได้สติคาโต๊ะรับแขก เธอจึงจัดแจงร่างโปร่งให้นอนบนโซฟาในท่าสบาย ก่อนจะถอนหายใจกับสภาพคนตรงหน้า
“ฮโยจูเอ้ย เมื่อไหร่เธอจะตัดใจได้สักทีนะ” แชวอนกล่าวอย่างอ่อนใจ เป็นเพราะคำว่ารักคำเดียวที่ทำให้คนเราเป็นได้ถึงขนาดนี้ หากว่าเธอได้รู้จักกับคำๆนี้ เธอจะมีสภาพเช่นไรนะ ทันใดหนึ่งชื่อก็ปรากฏขึ้นกลางใจให้เจ้าของร่างอมยิ้มอย่างเป็นสุข ก่อนจะเดินไปยังห้องนอนของตน เธอเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ที่รอการใช้งานจากเจ้าของมันอยู่ เมื่อกดปุ่มเปิดเครื่องไม่ช้าหน้าจอก็ปรากฏภาพเจ้าหมีน้อยสองตัวในชุดตัวจิ๊ว Teddy boy และ Teddy girl ร่างบางส่งยิ้มให้กับภาพน่ารักตรงหน้า ก่อนจะเข้าสู่ระบบสนทนาบนอินเตอร์เน็ต ที่ใครอีกคนหนึ่งรอการมาถึงของเธออยู่
Teddy Bear – สวัสดี วันนี้คุณเป็นยังไงบ้าง? (●*∩_∩*●)
Bbong9 – วันนี้ฉันทำงานทั้งวันเลย เหนื่อยมาก <─___-)
Teddy Bear – ถ้าอย่างนั้นให้ Teddy boy นวดให้ไหม≧▽≦
Bbong9 – ∩_∩ จริงหรอ? ตัวเล็กแบบนั้นจะนวดได้หรอ อยากได้หมีตัวใหญ่ๆจัง คงนวดสบายตัว(◡‿◡✿)
Teddy Bear – ⊙0⊙
Bbong9 – ฮิฮิฮิ ล้อเล่น (◕‿-。)
Teddy Bear – \("▔□▔)/ ท่าทางคุณอารมณ์ดี มีอะไรพิเศษรึเปล่า? ^ ^
Bbong9 – (;°○°) คุณรู้ได้ยังไงเนี่ย? วันนี้ฉันได้ทำงานกับผู้ช่วยคนใหม่ละ
Teddy Bear – เขาเป็นยังไงบ้าง?
Bbong9 – เขาเก่งมากๆ ฉันทึ่งในตัวเขาจริงๆ o(≧o≦)o
Teddy Bear – ◕。◕ ขนาดนั้นเลยหรอ? แล้วเขาเป็นคนยังไงหรอ?
Bbong9 – ไม่รู้สิ ฉันยังรู้จักเขาไม่มากพอ แต่เท่าที่ดูเขาเป็นคนดีและน่ารักมากๆ\(≧ω≦)/
Teddy Bear – จริงหรอ? ดีแล้วละ หวังว่าคุณกับเขาจะทำงานเข้ากันได้ดีนะปงกู ^_^
Bbong9 – ขอบใจนะเท็ดดี้แบร์ ฉันต้องนอนแล้วละ ราตรีสวสดิ์นะ (◡‿◡✿)
Teddy Bear – ราตรีสวสดิ์ my sweet Moon \(≧3≦)/
หลังการสนทนาสิ้นสุดอัญชันยังนั่งปลื้มอยู่กับตัวอักษรบนจอที่ดาราสาวเขียนถึงเธอ เธอนั่งมองพร้อมเลื่อนหน้าจอขึ้นลงอยู่อย่างนั้นเป็นนานสองนาน จนเอื้อเฟื้อที่อาบน้ำเสร็จหมาดๆเดินมาเห็นเข้า
“นี่แกนั่งอยู่ท่านี้ตั้งแต่ฉันเข้าห้องน้ำเลยหรอ?” เอื้อเฟื้อเดินเข้ามาหาเพื่อนสาว เธอได้แต่พยักหน้าบานๆจากการยิ้มไม่หุบ ดูคล้ายกับคนบ้าจริงๆเอื้อเฟื้อคิด
“ยัยบ้าเอ้ย ไปอาบน้ำนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่หรือไง ฉันไม่ปลุกแกหรอกนะ” เอื้อเฟื้อกล่าวพร้อมดันร่างเล็กให้หลุดออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอจึงต้องทำตามที่เพื่อนบอกอย่างจำใจ
“อย่าปิดของฉันละ ฉันจะกลับมาดูอีกรอบ” ร่างเล็กยังไม่วายสั่งเพื่อนก่อนจากไป ทำให้เอื้อเฟื้อถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“อ่านก็อ่านไม่ออก ยังจะนั่งดูอยู่ได้” เอื้อเฟื้อบ่นอุบอิบในลำคอก่อนจะกดเข้าหน้าเดสทร็อป เขาจึงเห็นรูปดาราสาวโชว์หลาอยู่หน้าจอ
“มุนแชวอน เธอมีดีอะไรนักนะ ยัยบ้านี่ถึงหลงเธอขนาดนี้” เขากล่าวกับหน้าจอ ก่อนจะได้สติว่าตนเริ่มจะเพ้อตามเพื่อนสาวไปซะแล้ว เขาจึงรีบเข้านอนก่อนที่จะติดเชื้อคลั่งดารามาอีกคน
เช้าวันต่อมาจินโฮไปรอรับอัญชันที่บ้านเพื่อเป็นการแก้ตัวคราวที่แล้วและไปส่งเธอที่กองถ่ายของแชวอน เมื่อมาถึงกองร่างเล็กก็สอดส่ายสายตามองหาร่างบางทันที
“แชวอนยังมาไม่ถึงหรอกครับ ผมโทรไปถามทางนั้นดู พวกเขาออกมาหลังเรานิดนึงนะครับ อีกเดี๋ยวคงจะมา” จินโฮกล่าวเมื่อเห็นอาการหันรีหันขวางของร่างเล็ก รู้ดังนั้นอัญชันเลยเผลอทำปากมุ่ยออกมาอย่างผิดหวัง ให้คนที่มองดูอาการเธออมยิ้มไปด้วย ก่อนที่รถตู้สีขาวจะแล่นเข้ามา อัญชันจำได้ทันทีว่านั่นคือรถตู้ที่เธอขึ้นเมื่อวาน เพียงแค่เห็นรถแล่นเข้ามาหัวใจของเธอก็สูบฉีดพองโต รอยยิ้มผุดขึ้นอย่างอัตโนมัติพร้อมๆกับเท้าที่ก้าวไปหาตามความต้องการของหัวใจ เมื่อรถจอดสนิทอัญชันก็รีบไปรอยังประตูรถทันที มือน้อยค่อยๆเลื่อนประตูเปิดออก ทันใดใบหน้าที่เธอฝันถึงตลอดคืนก็ปรากฏขึ้นให้คนเปิดยิ้มหน้าบาน เมื่อมีคนส่งยิ้มให้ร่างบางที่นั่งอยู่บนรถจึงส่งยิ้มกลับ นั่นทำให้มือไม้ของคนที่จับประตูอยู่อ่อนยวบประตูรถจึงเลื่อนไหลจากมือเธอ แต่ทันใดประตูก็หยุดลงและค่อยๆเลื่อนเปิดออกอีกครั้งด้วยมือของใครบางคนในรถซึ่งนั่งอยู่แถวสอง
“นี่เธอมาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ยยัยเตี้ย!” ฮโยจูส่งเสียงเข้มมาจากหลังเบาะพร้อมมองอัญชันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ร่างเล็กตกใจกับเสียงนั้นแต่เพราะไม่เข้าใจภาษาเกาหลีเธอจึงได้แต่ยืนงง นั่นจึงยิ่งเป็นการยั่วยุอารมณ์ของฮโยจูเข้าไปใหญ่ เมื่อจินโฮได้ยินเสียงของฮโยจูเขาก็รีบเข้าไปหาอัญชันทันที
“นี่...นี่เธอมาได้ยังไงเนี่ย?” จินโฮถามอย่างสงสัย พร้อมเข้ามายืนกันอัญชันไว้ นั่นทำให้ฮโยจูรีบลงจากรถทันทีและมายืนประจันหน้ากับทั้งสอง
“พอดีเมื่อคืนฮโยจูมานอนที่คอนโดของฉันนะค่ะ” แชวอนอธิบายเป็นภาษาอังกฤษแทนเพื่อนสาวพร้อมๆกับก้าวลงรถ อัญชันถึงกับหูผึ่งกับคำว่า “นอนที่คอนโดของฉัน”
“ทำไมเธอต้องพูดภาษาอังกฤษด้วย?” ฮโยจูถามเพื่อนอย่างสงสัย แชวอนจึงหันไปทางอัญชันก่อนจะตอบ
“นี่คุณอัญชัน เธอเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณจาง คุณอัญชันเป็นคนไทยนะ” แชวอนอธิบายพร้อมแนะนำอัญชันกับเพื่อนสาว ฮโยจูนิ่งฟังอย่างครุ่นคิด
“โธ่...ที่แท้ก็เบ้นี่เอง” ฮโยจูเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษด้วยเสียงเย้ยหยัน
“ฮโยจู! ถึงเขาจะเป็นอะไรก็ตาม เธอก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกเขาแบบนี้” จินโฮขึ้นเสียงปราม ร่างโปร่งถึงกับค้อนใส่
“เอ่อ..ไม่เป็นไรค่ะคุณปาร์ค แล้วแต่คุณฮโยจูเขาเถอะค่ะ” อัญชันเอ่ยขึ้นเสียงอ่อย
“ใครอนุญาตให้เธอเรียกชื่อฉันมิทราบ อย่าซะเออะ ยัยเตี้ย!” ฮโยจูข่มเสียงใส่ร่างเล็กถึงกับหงอ
“ฮโยจู! ถ้าเธอพูดดีๆกับคนอื่นเขาไม่ได้ละก็ อย่าพูดดีกว่า กลับไปเถอะ!” จินโฮเอ่ยอย่างระอา
“นี่พี่ไล่ฉันหรอ พี่เห็นยัยเตี้ยนั่นดีกว่านั้นงั้นหรอ!” ฮโยจูขึ้นเสียงอย่างเอาเรื่อง แชวอนเห็นท่าไม่ดีจึงเข้ามารั้งร่างโปร่งไว้ จินโฮจึงได้โอกาสจูงอัญชันออกมา โดยมีเสียงฮโยจูร้องเรียกตามหลัง
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่มันเกิดเรื่องแบบนี้อีก” จินโฮกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะฉันเองก็ได้ ถึงได้เป็นแบบนี้” อัญชันเอ่ยขึ้นให้จินโฮสงสัย
“คุณฮโย....ฉันหมายถึงคุณฮันนะค่ะ เขาคงจะไม่ชอบฉัน คงเพราะฉันทึ่มเกินไปมั้งค่ะ” เธออธิบายเสียงอ่อย
“นั่นไม่จริงเลยครับ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นจริง เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาทำกับคุณแบบนี้” จินโฮตอบอย่างหนักแน่น
“ฮึๆๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้เอง แต่ก่อนฉันก็เคยโดนล้อหนักกว่านี้อีก โดนแกล้งก็มี สมัยเด็กๆนะค่ะ ฉันน่ะ......” อัญชันตอบอย่างอารมณ์ดี
“แต่ผมไม่ชอบนี่ครับ และผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม” จินโฮกล่าวขึงขัง นั่นทำให้อัญชันมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ร่างสูงก้มมองใบหน้าน้อยๆพลางยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ลงมาปิดหน้าเธออยู่อย่างเอ็นดู ทุกอิริยาบถถูกจับจ้องโดยดวงตาริษยาของหญิงสาวในร่างโปร่ง เธอมองทั้งสองด้วยดวงตาแดงกล่ำที่คลั่งไปด้วยน้ำใส หัวใจของเธอเหมือนโดนควักออกไป เธอจะทำอย่างไรเพื่อจะได้ดวงใจของเธอกลับมา
ขณะที่ทีมงานกำลังเตรียมฉากเพื่อถ่ายทำ นักแสดงคนอื่นๆจึงนั่งท่องบทของตนอย่างขะมักเขม้น ร่างเล็กของอัญชันนั่งเฝ้าดาราสาวท่องบทอยู่ไม่วางตา โดยมีร่างสูงของจินโฮยืนประกบเป็นองครักษ์อยู่ใกล้ๆ ด้วยกลัวว่าหากคลาดสายตาไป แม่เสื้อใจร้ายที่นั่งจ้องร่างเล็กอยู่ไม่ไกลจะเข้ามาฉีกร่างเธอออกเป็นชิ้นๆ
“นี่เธอไม่มีถ่ายละครหรือไงฮโยจู ถึงได้มานั่งกองของคนอื่นเขาแบบนี้” จินโฮเอ่ยขึ้น
“ไม่มี ถึงมีฉันก็ไม่ไป ไม่มีอารมณ์” ฮโยจูตอบอย่างไม่แคร์ ให้จินโฮส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของเธอ
“เฮ้อ...หิวน้ำจัง หิวจริงๆ” ฮโยจูเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แชวอนและจินโฮจึงหันไปมองเธออย่างสงสัย
“เฮ้นี่ยัย.....เธอ ไปเอาน้ำให้ฉันหน่อยสิ” ฮโยจูพูดกับร่างเล็ก อัญชันถึงกับตกใจที่ร่างโปร่งคุยกับเธอ
“เธอก็ไปเอาเองสิ นี่ไม่ใช่กองของเธอนะ” จินโฮแย้งขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันไปเอาให้ คอยก่อนนะค่ะ” ร่างเล็กรีบทำตามอย่างดีใจ ด้วยคิดว่าอีกคนคงญาติดีกับเธอแล้ว จินโฮจึงเดินตามอัญชันไปเพื่อช่วยอีกแรง ทำให้คนออกปากขอน้ำอยากจะกลืนคำตัวเอง แต่ก็ทำได้แค่เพียงมองตามอย่างเคืองๆ
ร่างเล็กและจินโฮเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำล้นถาด เขาอาสาที่จะถือถาดให้โดยเธอเป็นคนเสริฟให้กับคนอื่นๆตลอดทางที่มา แต่ก็ไม่ลืมที่จะเก็บไว้ให้กับฮโยจูและแชวอน เมื่อเดินมาถึงอัญชันหยิบแก้วส่งให้แชวอนด้วยมือไม้สั่นเช่นเคย มันไม่ชินจริงๆที่ได้อยู่ใกล้กับคนคนนี้
“นี่ฉันจะได้กินเมื่อไหร่เนี่ย” ฮโยจูเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กยื่นให้แชวอนก่อน อัญชันจึงรีบหยิบอีกแก้วส่งให้เธอทันที
“ขอโทษค่ะ” ร่างเล็กกล่าวขอโทษลนลาน ร่างโปร่งยืนขึ้นรับน้ำจากอัญชันก่อนจะราดน้ำใส่ศีรษะของร่างเล็กจนเปียกปอน แชวอนและจินโฮตกตะลึงกับภาพที่เห็น
“นี่เธอทำบ้าอะไรเนี่ย!” จินโฮเข้าไปกระชากแขนร่างโปร่งทันที
“ทำไมละ ยัยนี่มันสมควรโดนแล้ว!” ร่างโปร่งสวนกลับอย่างไม่สำนึก
“ฮโยจู!” จินโฮตะคอกใส่สุดเสียง
“แชวอนฝากดูคุณอึนชันด้วย” เขาฝากฝั่งก่อนจะลากร่างโปร่งออกจากกองไป แชวอนและอัญชันมองตามร่างทั้งสองจากไปด้วยอาการอึ้ง ก่อนที่ดาราสาวจะเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ร่างเล็ก
“นี่ค่ะ.....ขอโทษนะค่ะคุณอัญชัน” แชวอนส่งผ้าเช็ดตัวยื่นให้ร่างเล็กพร้อมกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด
“เอ่อ....มันไม่ใช่ความผิดของคุณนี่ค่ะ” อัญชันตอบอย่างเกรงใจ
“แต่ฉันเป็นคนพาฮโยจูมา แล้วอีกอย่างเขาก็เป็นเพื่อนฉัน ฉันขอโทษแทนเขาด้วยนะค่ะ” ร่างบางยังคงรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่ช็อคนิดหน่อย” อัญชันตอบ
“จริงๆแล้ว ฮโยจูนะ เขาเป็นคนดีมากนะค่ะ ถึงแม้จะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่เขาก็...เป็นคนจิตใจดี” แชวอนพยายามอธิบายแต่มันยากที่จะพูดให้เห็นภาพได้ อัญชันมองภาพที่ดาราสาวพยายามแก้ต่างให้เพื่อนแล้วก็รู้สึกประทับใจ แม้มันจะฟังดูไร้เหตุผลแต่เธอก็รับรู้ได้ถึงความหวังดีที่หล่อนมีต่อเพื่อน ก่อนที่แชวอนจะสังเกตเห็นว่าร่างเล็กไม่จัดการกับผมที่เปียกปอนของเธอสักที ร่างบางจึงลงมือทำเอง
“อย่าปล่อยไว้นานสิค่ะ อากาศเย็นๆแบบนี้ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะค่ะ” ร่างบางเอื้อมมือไปเช็ดผมของคนตัวเล็ก อัญชันได้แต่ยืนแข็งทื่อทันทีที่ร่างบางเข้ามาใกล้ และเผลอคิดในใจว่า “อืม...มันก็คุ้มนะเนี่ย” <( ̄︶ ̄)/
ขณะเดียวกันจินโฮที่ลากฮโยจูขึ้นรถออกมาก็โมโหยกใหญ่และต่อว่าเธอมาตลอดทาง
“นี่เธอเป็นบ้าอะไร ทำไมถึงทำแบบนั้น?” จินโฮตะคอกใส่
“ทำไมหรอ พี่ถามฉันหรอว่าเพราะอะไร พี่ไม่รู้จริงๆอย่างนั้นหรอ?” ฮโยจูสวนกลับ
“ใช่ พี่ไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงเลิกนิสัยแย่ๆพวกนี้ไม่ได้สักที เธอทำแบบนี้เพื่ออะไ?” จินโฮตอบ
“เพื่อพี่ยังไงล่ะ เพราะพี่ฉันถึงเป็นบ้าแบบนี้!” ฮโยจูกล่าวทั้งน้ำตา จินโฮได้ยินดังนั้นถึงกับเบือนหน้าหนีอย่างระอา
“จอดรถ ฉันจะลง!” ฮโยจูเอ่ยขึ้นพร้อมกดเปิดล็อคประตู ทำให้จินโฮต้องรีบจอดรถทันที ร่างโปร่งเดินลงจากรถพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม จินโฮถอนหายใจให้กับความเอาแต่ใจของเธอ ก่อนจะเดินตามลงไปและรั้งแขนเธอไว้
“เธอจะไปไหน?” เขาถาม
“ปล่อยฉัน ฉันไม่อยากเห็นหน้าพี่แล้ว!” ฮโยจูซะบัดแขนหนี
“แล้วเธอจะไปยังไง?” เขายังรั้งแขนเธอเอาไว้อยู่
“เรื่องของฉัน!” เธอสลัดแขนเขาออกอีกครั้ง จินโฮได้แต่ถอนใจให้กับความเอาแต่ใจนี้
“ถ้าอย่างงั้นก็เอารถพี่ไปแล้วกัน” เขายัดกุญแจรถใส่มือเธอ ก่อนจะเดินออกไปโปกแท็กซี่ที่ข้างถนน ฮโยจูมองกุญแจในมือและแผ่นหลังพี่จินโฮของเธอ ทั้งที่เขาโกรธเธอมากแต่ก็ยังเป็นห่วงเธอ แล้วแบบนี้จะให้เธอตัดใจจากผู้ชายแสนดีคนนี้ได้ยังไง ร่างโปร่งจึงเข้าไปสวมกอดเขาไว้
“พี่ต้องไปส่งฉันสิ” เธอบอกกับแผ่นหลังร่างสูง เขาได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“เธอนี่มัน...เอาแต่ใจจริงๆ” เขากล่าวอย่างระอา แม้ว่าจะเบื่อหน่ายกับนิสัยของเธอคนนี้เช่นไร แต่เขาก็ไม่สามารถทอดทิ้งเธอได้สักที นั่นคงเป็นเพราะหล่อนเปรียบเสมือนน้องสาวตัวน้อยๆของเขาเสมอมา
ตกเย็นหลังกองถ่ายเลิกอัญชันก็มายืนรอดาราสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่รถตู้ตามเดิม ก่อนที่ร่างบางจะเดินกลับมาที่รถ
“ไปค่ะ ฉันเสร็จแล้ว” เธอบอกกับร่างเล็ก อัญชันจึงยิ้มรับหน้าบานก่อนจะเปิดประตูให้ร่างบางขึ้นไปก่อน สองสาวจึงนั่งรถกลับมาที่บริษัทสตาร์เคย์
“นี่คุณอัญชันมีธุระไปที่ไหนหรือเปล่าค่ะ?” แชวอนถามขึ้นเมื่อทั้งสองลงจากรถ
“เอ่อ..ไม่ค่ะ มีอีกทีก็ตอนทุ่มกว่าๆต้องไปเรียนนะค่ะ” อัญชันตอบงงๆ
“ดีเลย งั้นไปทานข้าวกันนะค่ะ” แชวอนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าดีใจ อัญชันได้ยินถึงกับหูผึ่งอยากจะกระโดดโลดเต้นมันเสียตรงนี้แต่ต้องเก็บอาการเอาไว้
“เอ่อ ถ้าไม่ลำบากคุณนะค่ะ” อัญชันพูดเก็บอาการ
“ไม่หรอกค่ะ” แชวอนตอบพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ให้คนมองแทบเพ้อตาม ก่อนจะเดินตามร่างบางไปยังรถของเธอ หัวใจของอัญชันเต้นไม่เป็นส่ำตลอดทางที่นั่งมาในรถร่างเล็กก้มหน้างุด เพราะไม่อยากให้คนข้างๆเห็นใบหน้าบานๆที่ยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้านี้ของตัวเอง
“คุณอัญชันเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ เงียบจังเลย” แชวอนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนข้างๆไม่พูดไม่จา
“เอ่อ...ม่ะ...ไม่เป็นอะไรค่ะ” ร่างเล็กตอบตะกุกตะกักทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
“ไม่สบายหรือเปล่าค่ะ?” ร่างบางยังถามต่อด้วยความเป็นห่วงเมื่ออีกคนยังคงหลบหน้า
“เปล่าๆค่ะ” ร่างเล็กตอบ แต่ก็ยังไม่กล้ามองหน้าคนข้างๆ
“ถ้าคุณอัญชันไม่อยากไปก็บอกฉันได้นะค่ะ” แชวอนเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจ อัญชันจึงรีบลนลานตอบ
“ไม่..ไม่นะค่ะฉันอยากไปค่ะ อยากไปมากที่สุดในโลกเลย” ร่างเล็กโพล่งขึ้นให้อีกคนตกใจ ก่อนจะหัวเราะคิกคักที่แกล้งคนตัวเล็กได้อีกแล้ว อัญชันจึงได้แต่อายม้วนที่หลงกลคนชอบแกล้งเข้าอีกจนได้ ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงยังร้านเป้าหมาย แชวอนเป็นคนเลือกร้านนี้ด้วยตัวเอง เธอเดินนำร่างเล็กเข้าไปในร้านและเลือกนั่งโต๊ะติดกับเคาร์เตอร์แคชเชียร์
“คุณอัญชันจะทานอะไรดีค่ะ” แชวอนถามขึ้นเสียงหวานเมื่อดูเมนูอาหารไปได้สักพัก
“เอ่อ.....” ร่างเล็กได้แต่ลากเสียงยาวไม่รู้จะตอบยังไงเพราะตนไม่สันทัดกับเรื่องเมนูอาหาร อัญชันก้มมองเมนูอย่างเคร่งเครียดทำให้คนที่รอคำตอบอยู่ถึงกับหลุดขำออกมา
“ฮึๆๆ ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้ค่ะ นี่เมนูอาหารนะค่ะไม่ใช่หนังสือเรียน” แชวอนพูดเหย้าขึ้นให้ร่างเล็กรู้สึกผ่อนคลาย
“ถ้าคุณอัญชันไม่รู้ว่าจะทานอะไรให้ฉันแนะนำให้ไหมค่ะ....ลองอันนี้ดีไหม สปาเก็ตตี้ซีฟู๊ดเส้นดำ อร่อยนะค่ะลองแล้วจะติดใจเลย” แชวอนเสนอพร้อมเปิดเมนูให้ร่างเล็กดู อัญชันจึงพยักหน้าตอบรับ ไม่นานนักอาหารก็ถูกนำมาวางตรงหน้าพร้อมกับเครื่องดื่มที่ดาราสาวตั้งใจสั่งเป็นพิเศษ
“คุณอัญชันเคยดื่มโซจูหรือยังค่ะ?” แชวอนถามขณะรินน้ำใสๆใส่แก้วให้อีกคน
“อ่ะ..ค่ะก็เคยดื่มบ้าง” ร่างเล็กตอบรักษาภาพพจน์ ทั้งที่ความจริงมันคือของโปรดของเธอ แชวอนจึงยื่นแก้วใบเล็กให้กับเธอ และชวนให้เธอชนแก้วกับตน แล้วจึงกระดกโซจูพร้อมๆกัน
“วันนี้ฉันต้องขอโทษคุณจริงๆนะค่ะ ที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น” แชวอนยังคงรู้สึกผิดกับเหตุการณ์เมื่อเช้าอยู่
“ไม่ต้องขอโทษฉันก็ได้ค่ะ ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรและมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณด้วย” อัญชันตอบให้อีกฝ่ายเลิกกังวล
“ถึงงั้นก็เถอะค่ะ ยังไงฮโยจูก็เป็นเพื่อนฉัน” ร่างบางกล่าวพร้อมถอนหายใจด้วยความหนักใจ คำพูดของเธอทำให้ร่างเล็กรู้สึกอิจฉาเพื่อนที่เธอปกป้องเหลือเกิน ทั้งคู่คงจะสนิทสนมกันมาก เมื่อคิดดังนี้ร่างเล็กก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจที่ตนเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเธอ หลังทานอาหารเสร็จแชวอนอาสาที่จะขับรถไปส่งอัญชันที่มหาวิทยาลัย
“ขอโทษนะค่ะที่ต้องลำบากคุณแชวอน” อัญชันเอ่ยเสียงอ่อย
“พูดอะไรอย่างงั้นค่ะ ฉันเป็นคนอาสามาเองต่างหาก แล้วมันก็ไม่ลำบากด้วย” แชวอนตอบ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ร่างเล็กหายรู้สึกผิด
“เอาไว้ถ้าฉันไปเมืองไทย รบกวนคุณอัญชันขับรถให้ฉันด้วยนะค่ะ” แชวอนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาการจ้อยของคนข้างๆ จึงทำให้ร่างเล็กหันมามองเธออย่างแปลกใจก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
“แน่นอนค่ะ ฉันจะขับไปส่งคุณแชวอนทุกที่เลยค่ะ” อัญชันตอบหนักแน่นให้ดาราสาวหัวเราะคิกคักอย่างพอใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะลาจากกันตรงหน้ามหาวิทยาของอัญชัน แม้จะผละจากร่างเล็กมาแล้ว แต่ความรู้สึกอิ่มเอมใจยังไม่จางหายไป ทำให้ร่างบางอยากจะแบ่งปันความสุขนี้กับใครสักคน และมีเพียงหนึ่งชื่อที่ผุดขึ้นกลางใจ มือเรียวจึงหยิบมือถือเครื่องน้อยออกมาจากกระเป๋าและเข้าสู่ระบบสนทนาผ่านอินเตอร์ หากแต่ก็ต้องผิดหวังที่คนที่เธออยากคุยกลับไม่อยู่ในสถานะออนไลน์
“เธออยู่ไหนนะเท็ดดี้แบร์ ตอนนี้ฉัน...อยากคุยกับเธอจัง” (≧ω≦)
วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Thunder and the wind: The After war 2
ตอนที่2 ประกาศสงคราม
ผ่านไปหลายวัน เสน่ห์จันทรากลับมาเปิดบริการตามเดิม สิ่งที่แปลกตาไปคือบริกรหน้าใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับหน้าที่นัก
“เพล้ง! นี่เจ้าจะทำจานข้าแตกอีกสักกี่ใบถึงจะพอใจเนี่ยเจ้าคุณชาย” ยายเฒ่าแกลิมร้องขึ้นอย่างขุ่นเคือง
“ขอ...ขอโทษครับท่านป้า เดี๋ยวข้าจะชดใช้ให้ครับ” บริกรหน้าใหม่หรืออินอุกกล่าวเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด
“พอๆ เจ้าไม่ต้องช่วยแล้ว ข้าว่ายิ่งช่วยยิ่งเจ๊ง” นางกล่าวอย่างระอา ทำให้เขาถึงกับหน้าเสีย ก่อนที่จองฮยางจะเดินเข้ามา
“ท่านป้าค่ะ ท่านยังไม่หายดี ออกมาตากแดดตากลมแบบนี้ จะไม่ดีต่อสุขภาพนะค่ะ มาค่ะเดี๋ยวข้าจะพาท่านไปพักผ่อนนะค่ะ” จองฮยางกล่าวเสียงหวาน นั่นช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของยายเฒ่าไปได้มาก นางคล้อยตามเสียงของจองฮยางและเดินตามอย่างว่าง่าย จองฮยางจึงหันมาส่งยิ้มให้อินอุกเพื่อปลอบใจเขาเรื่องที่ถูกดุ เขาจึงยิ้มรับหน้าบานให้คนที่แอบมองอยู่นานหมันไส้จนทนไม่ไหว
“นั่นเจ้าจะเก็บหรือเปล่า หรือจะปล่อยให้มันบาดเท้าลูกค้า” เป็นยุนบกนั่นเองที่เดินเข้ามาเอ็ดใส่ อินอุกจึงตื่นจากภวังค์ก้มลงไปเก็บเศษจานชามที่ตนทำแตกอย่างลนลาน เลยบาดมือตัวเองเข้า
“ฮึ...เจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ มา..ข้าทำเอง ข้าว่าเจ้าอยู่เฉยๆอย่างที่ท่านป้าบอกดีกว่านะ คุณชาย!” ยุนบกพูดเย้ยหยันและเข้าไปเบียดอินอุกที่กำลังเก็บเศษชามอยู่จนล้มหงาย อินอุกรู้สึกแปลกใจระคนโกรธ จึงกระแทกร่างกลับไป ยุนบกถึงกลับหงายหลัง ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะแย่งกันเก็บเศษชามจ้าละหวั่น
“นั่นพวกเขาทำอะไรนะ?” ฟ้าคำรามที่เดินมาเสิร์ฟเหล้าให้ลูกค้าเห็นการแข่งขันเก็บเศษชาม ก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจกับภรรยาของตน
“คงจะ...ประกาศสงครามละมั้งค่ะ” จานตอบสามีอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับมองบุรุษทั้งสองอย่างเอ็นดู แต่ฟ้าคำรามที่ได้คำตอบกลับยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เขาจึงเกาศีรษะด้วยความงงงวย
ฝั่งจองฮยางหลังจากพายายเฒ่าเกลิมไปพักผ่อนแล้วนางก็หมายจะเดินกลับไปช่วยทุกคนที่หน้าร้าน แต่ระหว่างทางนางพบเข้ากับฮงโด นางจึงโค้งทักทายตามมารยาทด้วยใบหน้านิ่ว ก่อนจะรีบเดินจากไป
“เดี๊ยวสิ หน้าข้ามันแสลงตาเจ้านักหรือไง” ฮงโดเอ่ยพร้อมก้าวเข้าไปดักหน้านางไว้ นางจึงหยุดฝีเท้าและเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“มิได้ค่ะ เพียงแต่ข้ารีบร้อนจะกลับไปช่วยงานที่หน้าร้าน โบราณท่านว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย จะให้ข้ามาเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในบ้านผู้อื่น เห็นทีคงจะทำไม่ได้” นางพูดเสียดสีเขาด้วยใบหน้านิ่ง ฮงโดถึงกับอารมณ์เดือดทันทีที่ถูกพูดใส่
“นี่..นี่เจ้าว่าข้าอย่างนั้นหรือ?” เขาถามอย่างเอาเรื่อง
“มิได้ค่ะ หญิงต่ำต้อยอย่างข้า มิบังอาจตำหนิช่างเขียนใหญ่แห่งโชซอนหรอกค่ะ” นางตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยันผิดกับคำพูด นั่นยิ่งทำให้ฮงโดโมโหหนัก
“นี่เจ้า!...” เขาจะตอบโต้เธอกลับ หากแต่ชิลเดินผ่านมาเสียก่อน
“อ้าวแม่นางจองฮยาง มาอยู่นี่เอง เจ๊จานเรียกหาท่านอยู่น่ะ” ชิลผู้ไม่ล่วงรู้สถานการณ์เดินเข้ามาหาทั้งสอง ก่อนที่จะสังเกตอาการฉุนเฉียวของฮงโดได้
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะค่ะ” จองฮยางจึงได้โอกาสจากมาอย่างผู้มีชัย ฮงโดได้แต่มองตามนางอย่างแค้นเคือง บัดนี้เสียงกลองแห่งสงครามได้ลั่นขึ้นแล้ว ใครกันจะเป็นผู้กำชัยชนะศึกรักครั้งนี้
หลังศึกยกแรกสงบลงทุกคนจึงมานั่งทานอาหารเที่ยงร่วมกันในเรือนของฟ้าคำราม หากแต่บรรยากาศยังคงคุกรุ่นไปด้วยรังสีกดดันที่แต่ละคนปล่อยออกมา ทั้งสี่ฟาดฟันกันด้วยสายตาอย่างไม่ลดละ ทำให้จาน ชิลและฟ้าคำรามรู้สึกอึดอัดไปตามๆกัน ก่อนที่ยุนบกจะเอื้อมมือไปคีบอาหารจานหนึ่ง แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อถูกอินอุกมือไวคีบตัดหน้าไปก่อน เขาหันไปมองอินอุกอย่างแค้นเคือง หากแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างผู้มีชัยเย้ยหยันใส่ ยุนบกได้แต่ทำปากขมุบขมิบกล่นด่าอินอุกอยู่ในใจ ก่อนจะคิดแผนเอาคืนได้ขึ้นมา เขาจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วแกล้งทำหล่นใส่ชามข้าวของอินอุก
“โอ้ๆ...ขอโทษที มือมันลื่นนะ” ยุนบกเอ่ยขอโทษแต่ใบหน้ากลับตรงกันข้าม สร้างความขุ่นเคืองให้อินอุกยิ่งนัก เขาจึงโต้กลับด้วยการทำชามข้าวน้ำล้นของตนหกใส่ยุนบกบ้าง
“โอ้...ข้าก็มือลื่นเหมือนกัน” อินอุกกล่าวด้วยใบหน้าสะใจ เมื่อเห็นเสื้อของยุนบกเปียกปอนไปด้วยน้ำข้าว ก่อนทียุนบกจะลุกขึ้นอย่างเหลืออด
“เฮ้ยนี่เจ้า! จงใจใช่ไหมอินอุก?” ยุนบกตะโกนใส่เสียงเขียว อินอุกเองก็ไม่น้อยหน้าลุกขึ้นประจันหน้าสวนกลับ
“ใครกันแน่ เจ้าเป็นคนเริ่มก่อนนะยุนบก” อินอุกโต้ตอบไม่แพ้กัน
“นี่พวกเจ้าจะทะเลาะกันทำไมเนี่ย!” ฟ้าคำรามแผดเสียงขึ้น นั่นจึงทำให้อารมณ์ของทั้งสองเย็นลงได้ด้วยความเกรงใจเจ้าของบ้าน และนั่งลงทานอาหารดังเดิม แต่ก็ไม่วายส่งสายตาฟาดฟันกัน เมื่อศึกคู่แรกสงบลงก็ถึงคราวคู่ต่อไป
“เจ้าบ้าเอ้ย เรื่องแค่นี้ก็ทำเป็นโวยวายไปได้ เสียชื่อช่างเขียนหลวงหมด” ฮงโดกระซิบเอ็ดยุนบก หากแต่ก็ไม่พ้นสายตาเหยี่ยวของจองฮยางไปได้
“เป็นถึงช่างเขียนหลวงก็ควรสำรวมตัว ไม่ทำอะไรเลย....ที่เสื่อมเสีย” จองฮยางพูดเว้นคำ ค่อนคอดฮงโด เขาจึงหันมามองนางอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะสวนกลับ
“เฮอะ...คนเราย่อมรู้ตัวดีว่าเราเป็นใคร หรือเคยเป็นอะไร” ฮงโดสวนกลับได้ถึงทรวง จนจองฮยางแทบอยากจะร้องไห้ที่ถูกเย้ยหยันว่าตนเป็นเพียงนางโลมชั้นต่ำ หากแต่นางต้องกลืนก้อนสะอื้นนั้นและได้แต่กัดฟันพร้อมทั้งจับชามข้าวของตนไว้แน่นเพื่อระงับอารมณ์ ฮงโดจึงยิ้มอย่างมีชัยในขณะที่ยุนบกกับอินอุกยังคงแย่งกันคีบอาหารอยู่ไม่เลิก โดยที่ไม่ล่วงรู้ถึงความช้ำใจของจองฮยางแม้แต่น้อย
ตกบ่ายยุนบกก็ง่วนอยู่กับการสอนศิลปะให้เด็กๆและเด็กโข่งอย่างฟ้าคำราม ณ ศาลาเขียนภาพที่ฟ้าคำรามจัดเป็นสถานที่เรียนศิลปะโดยเฉพาะ
“นี่ท่านยังแยกพู่กันกับแปรงไม่ได้อีกหรือครับพี่ฟ้าคำราม?” ยุนบกเอ็ดขึ้นเมื่อเห็นฟ้าคำรามหยิบแปรงขึ้นมา
“ใครบอกเจ้าละ นี่คือแปรง...ข้ารู้ เพราะข้าจะทำแบบนี้” ฟ้าคำรามหยิบแปรงขึ้นและจุ่มหมึกจนโชก ก่อนจะทาลงกระดาษเขียนภาพในทีเดียว
“ฮ่าๆๆ แบบนี้ประหยัดเวลาไปได้เยอะ ไม่ต้องมานั่งเขียนด้วยพู่กันเล็กๆแบบนั้น” ฟ้าคำรามหัวเราะชอบใจกับผลงานทางลัดของตน แต่คนสอนถึงกับกุมขมับเพราะขนาดและน้ำหนักของแปรงทำให้หมึกเลอะภาพเขียนจนดูไม่ได้
“ท่านจะบ้าหรือไง ใช้แปรงแทนพู่กันได้ยังไง ดูสิภาพเลอะหมดแล้ว” ยุนบกเอ็ดใส่นักเรียนมักง่ายยกใหญ่ ก่อนที่ฮงโดจะเดินเข้ามาดู
“ฮ่าๆๆๆๆ ฝีมือๆจริงๆ ยุนบก เจ้านี่มีพรสวรรค์ในการสอนศิลปะจริงๆ” ฮงโดหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นภาพเขียนของฟ้าคำรามที่ยุนบกนั่งเคร่งสอนมาหลายชั่วโมง เขาจึงหันไปค้อนใส่อาจารย์ของตนอย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่เพราะการสอนของข้าสักหน่อย พี่ฟ้าคำรามสมองทึบเกินไปต่างหากถึงเรียนช้าแบบนี้ ดูเด็กคนอื่นๆสิ ขนาดลูกท่านยังเขียนภาพทิวทัศน์ได้แล้วเลย” ยุนบกพูดแก้ต่างพร้อมกับชี้ไปยังลูกชายหัวแก้วของจานและฟ้าคำรามที่ตอนนี้ฝีมือเขียนภาพเก่งเกินหน้าพ่อไปหลายขุม
“นี่เจ้าว่าข้าหรอยุนบก เจ้าตาย!” ฟ้าคำรามจะโจนใส่ยุนบกด้วยท่าล็อคคอ แต่ยุนบกแก้ทางได้จึงสวนกลับด้วยศอกให้คนจู่โจมถึงกับจุกลงไปกองกับพื้น ทำท่าชี้มือชี้ไม้มาที่เขาแต่ไม่อาจส่งเสียงใดๆได้ ฮงโดมองภาพทั้งสองก็หัวเราะชอบใจจึงจะเดินเข้าไปลูบศีรษะยุนบกอย่างเอ็นดู หากแต่เจ้าตัวเกิดระแวงขึ้นรีบสะบัดตัวหนี
“อย่านะอาจารย์ ถึงเป็นท่านข้าก็ไม่ออมมือนะ” ยุนบกได้ทีเก๊กท่าขึงขังใส่
“นี่เจ้ากล้าทำข้าหรือ เจ้าศิษย์อกตัญญู” ฮงโดหมันไส้จึงเข้าไปขยี้ผมยุนบกอย่างมันมือ ทั้งสองต่างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีสายตาเศร้าสร้อยของจองฮยางแอบมองอยู่ไกลๆ หัวใจของนางดั่งเหมือนโดนอุ้มมือใหญ่บีบเค้นให้นางแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา แม้จะเตรียมใจสู้แต่ก็ไม่พร้อมที่จะรับมือกับความเจ็บช้ำ ภาพบาดตาตรงหน้าจึงเหมือนกับคมมีดที่กีดลงกลางใจ
“แม่นางจองฮยางๆ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง เห็นเจ๊จานว่าเจ้ามาซักผ้า แต่ข้าไปที่ลำธารก็ไม่เห็นเจ้า” เป็นอินอุกนั่นเองที่ร้องเรียก นั่นทำให้จองฮยางหลุดจากภวังศ์แห่งความเศร้าหมองได้
“พอดีข้ามองทิวทัศน์แถวนี้เพลินไปหน่อยนะค่ะ ข้ากำลังจะไปพอดี” นางถอนสายตาจากศาลาเขียนภาพและตอบกลับอินอุกด้วยเสียงนุ่ม
“มา..เดี๋ยวข้าถือให้” อินอุกอาสาถือถังไม้ใส่เสื้อผ้าที่จองฮยางถืออยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าถือเองได้ ลำธารใกล้แค่นี้เอง” นางกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“เช่นนั้นก็ให้ข้าถือเถอะ หากมันใกล้แค่นี้ เพราะคงไม่ลำบากข้านักหรอก” อินอุกเล่นลิ้นและเอือมมือไปคว้าถังไม้มา จองฮยางจึงต้องจำยอมอย่างเกรงใจ ทั้งสองเดินพูดคุยกันไปตามทางสู่ลำธารโดยมีสายตาขุ่นเคืองของยุนบกมองอยู่จนทั้งสองหายลับไป แม้จะรู้ว่าตนไม่มีสิทธิไปแค้นเคือง แต่ก็ไม่สามารถบังคับจิตใจที่พัดไหวไปตามอารมณ์นี้ได้ เพียงแค่เห็นทั้งสองใกล้กันเขาก็แทบอยากจะคุ้มคลั่งเหมือนดั่งพายุร้ายให้ทุกสิ่งพินาศไปต่อตา
“ยุนบก..เจ้ามองอะไรนะ?” ฮงโดเห็นอาการนิ่งมองของศิษย์อยู่นานจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เอ่อ...ลำธารน่ะครับ ข้ามองหาลำธาร” ยุนบกตอบส่งๆ
“ลำธารก็อยู่ไม่ไกลจากนี่ไปยังไงละ เจ้าอยากไปหรอ....ดี งั้นเรามาเปลี่ยนบรรยากาศไปเขียนรูปที่ลำธารกัน” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นอย่างเสร็จสับโดยไม่ฟังความเห็นใคร เด็กทั้งหลายเมื่อได้ยินคำว่าลำธารก็ดีใจยกใหญ่ต่างเก็บเครื่องเขียนของตนเตรียมเดินทางทันที
“เดี๋ยวๆข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย” ยุนบกรีบท้วงขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ
“ข้าว่าไม่ทันแล้วล่ะ” ฮงโดกระซิบบอก แล้วทั้งหมดจึงพากันย้ายห้องเรียนไปที่ลำธารตามความคิดที่ไม่ตั้งใจของยุนบกและความต้องการที่ไม่ฟังเสียงใครของฟ้าคำราม
ฝั่งจองฮยางกับอินอุกที่ตอนนี้มาถึงลำธารได้สักพักแล้ว แต่จองฮยางก็ยังไม่มีท่าทีจะเริ่มซักผ้าแต่อย่างใด นั่นก็เป็นเพราะนางไม่สะดวกนักหากจะมีบุรุษอยู่ในขณะที่นางซักผ้าแต่ก็ไม่สามารถบอกอินอุกได้
“คุณชายฮงค่ะ ขอบคุณท่านจริงๆค่ะที่ถือถังมาให้ข้า เดี๋ยวข้าซักผ้าสักครู่แล้วก็จะกลับไปที่เรือน ท่านล่วงหน้ากลับไปก่อนก็ได้นะค่ะ” จองฮยางพยายามพูดไล่ทางอ้อม แต่ด้วยความไม่รู้และอยากใกล้ชิดของอินอุกทำให้เขาไม่เข้าใจความหมายที่นางสื่อ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะอยู่ช่วยเจ้า” อินอุกเสนอตัว จองฮยางถึงกับตกใจ นั่นทำให้อินอุกเริ่มเอะใจว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือไม่
“เอ่อ..คุณชายฮงค่ะ ท่านรู้หรือไม่ว่า การซักผ้านั้นเขาทำอย่างไร” จองฮยางเอ่ยถามอย่างละล่ำละลัก อินอุกจึงนิ่งคิดตามคำถาม ก่อนจะส่ายหน้าอย่างอายๆที่ตนไม่รู้เรื่องงานบ้านงานเรือนเลยเพราะอยู่สบายมาตั้งแต่เกิด
“แต่เจ้าสอนข้าได้นะ ข้าจะทำตามทุกอย่าง ให้ข้าช่วยเถอะ” อินอุกอ้อนวอนด้วยยังไม่เข้าใจสิ่งที่จองฮยางสื่อ
“ฮิๆ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คือ...เรื่องแบบนี้ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของสตรี และมันก็ไม่เหมาะเท่าไหร่” จองฮยางอธิบายอย่างอายๆ อินอุกจึงยังไม่หายสงสัย
“คือ...ในการซักผ้าข้าอาจจะต้อง ถอดเสื้อผ้าบางส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการซักและไม่ให้มันเปียกน้ำนะค่ะ” จองฮยางกลั้นใจบอกออกไปด้วยความเขินอาย นั่นจึงทำให้คุณชายสำอางถึงบางอ้อ และเผลอจินตนาการถึงนางในชุดน้อยชิ้นจึงทำให้ใบหน้าเขาแดงก่ำขึ้น
“อ้า!...ข้า...ข้าขอโทษ งั้นข้าขอตัวก่อน เชิญเจ้าตามสบายเถอะนะ” อินอุกจึงรีบเดินจากไปทันที
ทางด้านยุนบกเมื่อมาถึงลำธารทุกคนก็ต่างจับจองที่เขียนภาพกันตามชอบ มีเพียงยุนบกที่ยืนมองซ้ายแลขวาอยู่ไม่เลือกที่เสียที
“นั่นเจ้ามองหาอะไรของเจ้า?” ฮงโดถามขึ้นเมื่อเห็นอาการศิษย์
“เอ่อ...ข้า...ข้าก็มองหาแรงบันดาลใจไงครับอาจารย์ เพื่อเอามาเขียนภาพยังไงละ” ยุนบกเฉไปเรื่องอื่นทั้งที่จริงเขามองหาร่างบางของใครบางคนต่างหาก
“แรงบันดาลใจ? ฮึทำเป็นพูดจาใหญ่โต เจ้านี่จริงๆเลย เจ้าอยากจะวาดอะไรก็เลือกเอามาสักอย่างเถอะ” ฮงโดเอ่ยอย่างหมันไส้
“ครับ งั้นเดี๋ยวข้ามานะครับ” ยุนบกจึงขานรับและออกไปตามหาแรง (บันดาล) ใจของเขา เขาเดินเลาะขึ้นไปตามลำธารเรื่อยๆก็แว่วเสียงหวานฮัมเพลงลอยมาตามลม เขารู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของนาง จองฮยางของเขา เขาจึงรีบสาวเท้าเดินไปตามเสียงนั่นก่อนจะหยุดลงเมื่อพบเข้ากับอินอุกที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ซอกโขดหินใหญ่ อินอุกเองก็ตกใจเช่นกันที่พบเข้ากับยุนบก
“นะ..นี่เจ้ามาได้ยังไงเนี่ย?” อินอุกพูดลนลาน
“เจ้านั่นแหละมาทำอะไรตรงนี้?” ยุนบกถามกลับและสังเกตอาการแปลกๆของอินอุก
“นี่เจ้าเป็นอะไรเนี่ย ทำไมหน้าเจ้าถึงแดงก่ำเช่นนี้?” ยุนบกถามขึ้น อินอุกถึงกับสะดุ้ง
“ม่ะ...ไม่ใช่เรื่องของเจ้าสักหน่อย” อินอุกตอบเสียงสั่น ยุนบกสงสัยในท่าทีนั้นยิ่งนัก
“นั่นใครน่ะ?” เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นอีกฝั่งของโขดหินใหญ่
“จองฮยาง?” ยุนบกอุทานออกมาอย่างแปลกใจที่นางอยู่ไม่ไกล จึงคิดจะปีนโขดหินไปหานาง แต่ถูกอินอุกห้ามไว้
“ปล่อยข้านะเจ้าบ้าอินอุก” ยุนบกพยายามปีนขึ้นไปบนโขดหิน แต่ด้วยแรงฉุดกระชากของอินอุกทำให้เขาพลัดตกลงไปในลำธาร
“อ้ากกกกกกกก” ตูม! เสียงร่างกระแทกน้ำและเสียงอุทานของยุนบกดังไปไกลจนคนที่เดินตามหลังเขามารีบวิ่งมาดู
“ยุนบก!” ฮงโดร้องขึ้นเมื่อเห็นร่างศิษย์รักหล่นลงลำธาร เขารีบกระโจนลงน้ำทันที จองฮยางเองเมื่อได้ยินเสียงของยุนบกก็รีบชะโงกหน้าจากโขดหินมาตามเสียง นางแทบสิ้นใจเมื่อเห็นร่างคนรักจมหายไปในน้ำ
“ช่างเขียน!” จองฮยางร้องอุทานเสียงหลง ตอนนี้นางไม่สนใจสิ่งใดนอกจากร่างที่ดิ้นรนอยู่ในน้ำ นางรีบลงจากโขดหินทั้งที่ตนใส่เพียงชุดขาวบาง อินอุกได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทำอะไรไม่ถูก
“ช่างเขียนๆๆๆ!” จองฮยางร้องเรียกยุนบกปานจะขาดใจ น้ำตาเธอไหลพรากเมื่อไม่เห็นร่างของยุนบก ทันใดนั้นฮงโดที่ว่ายลงไปช่วยยุนบกก็ผุดขึ้นจากน้ำพร้อมกับอีกหนึ่งร่างที่คนบนฝั่งร้องเรียก เขาเกี่ยวร่างหมดสติว่ายขึ้นฝั่งมา จองฮยางเอามือปิดปากตนไว้อย่างพยายามกลั้นเมื่อเห็นยุนบกนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ฮงโดเขย่าร่างยุนบกและร้องเรียกเขา แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลก่อนจะตัดสินใจผายปอดให้กับเขา จองฮยางมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง ไม่นานนักยุนบกก็สำลักน้ำออกมา ฮงโดยิ้มรับกับการตอบสนองนั้นก่อนจะอุ้มร่างยุนบกแบกกลับไปยังเรือนของฟ้าคำราม จองฮยางได้แต่ยืนมองภาพฮงโดอุ้มคนรักจากไป และหดหู่ใจที่ตนไม่สามารถทำอะไรเพื่อเขาได้เลย หากไม่มีฮงโดยุนบกคงตายไปต่อหน้าต่อตานางเป็นแน่
ผ่านไปหลายวัน เสน่ห์จันทรากลับมาเปิดบริการตามเดิม สิ่งที่แปลกตาไปคือบริกรหน้าใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับหน้าที่นัก
“เพล้ง! นี่เจ้าจะทำจานข้าแตกอีกสักกี่ใบถึงจะพอใจเนี่ยเจ้าคุณชาย” ยายเฒ่าแกลิมร้องขึ้นอย่างขุ่นเคือง
“ขอ...ขอโทษครับท่านป้า เดี๋ยวข้าจะชดใช้ให้ครับ” บริกรหน้าใหม่หรืออินอุกกล่าวเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด
“พอๆ เจ้าไม่ต้องช่วยแล้ว ข้าว่ายิ่งช่วยยิ่งเจ๊ง” นางกล่าวอย่างระอา ทำให้เขาถึงกับหน้าเสีย ก่อนที่จองฮยางจะเดินเข้ามา
“ท่านป้าค่ะ ท่านยังไม่หายดี ออกมาตากแดดตากลมแบบนี้ จะไม่ดีต่อสุขภาพนะค่ะ มาค่ะเดี๋ยวข้าจะพาท่านไปพักผ่อนนะค่ะ” จองฮยางกล่าวเสียงหวาน นั่นช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของยายเฒ่าไปได้มาก นางคล้อยตามเสียงของจองฮยางและเดินตามอย่างว่าง่าย จองฮยางจึงหันมาส่งยิ้มให้อินอุกเพื่อปลอบใจเขาเรื่องที่ถูกดุ เขาจึงยิ้มรับหน้าบานให้คนที่แอบมองอยู่นานหมันไส้จนทนไม่ไหว
“นั่นเจ้าจะเก็บหรือเปล่า หรือจะปล่อยให้มันบาดเท้าลูกค้า” เป็นยุนบกนั่นเองที่เดินเข้ามาเอ็ดใส่ อินอุกจึงตื่นจากภวังค์ก้มลงไปเก็บเศษจานชามที่ตนทำแตกอย่างลนลาน เลยบาดมือตัวเองเข้า
“ฮึ...เจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ มา..ข้าทำเอง ข้าว่าเจ้าอยู่เฉยๆอย่างที่ท่านป้าบอกดีกว่านะ คุณชาย!” ยุนบกพูดเย้ยหยันและเข้าไปเบียดอินอุกที่กำลังเก็บเศษชามอยู่จนล้มหงาย อินอุกรู้สึกแปลกใจระคนโกรธ จึงกระแทกร่างกลับไป ยุนบกถึงกลับหงายหลัง ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะแย่งกันเก็บเศษชามจ้าละหวั่น
“นั่นพวกเขาทำอะไรนะ?” ฟ้าคำรามที่เดินมาเสิร์ฟเหล้าให้ลูกค้าเห็นการแข่งขันเก็บเศษชาม ก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจกับภรรยาของตน
“คงจะ...ประกาศสงครามละมั้งค่ะ” จานตอบสามีอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับมองบุรุษทั้งสองอย่างเอ็นดู แต่ฟ้าคำรามที่ได้คำตอบกลับยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เขาจึงเกาศีรษะด้วยความงงงวย
ฝั่งจองฮยางหลังจากพายายเฒ่าเกลิมไปพักผ่อนแล้วนางก็หมายจะเดินกลับไปช่วยทุกคนที่หน้าร้าน แต่ระหว่างทางนางพบเข้ากับฮงโด นางจึงโค้งทักทายตามมารยาทด้วยใบหน้านิ่ว ก่อนจะรีบเดินจากไป
“เดี๊ยวสิ หน้าข้ามันแสลงตาเจ้านักหรือไง” ฮงโดเอ่ยพร้อมก้าวเข้าไปดักหน้านางไว้ นางจึงหยุดฝีเท้าและเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“มิได้ค่ะ เพียงแต่ข้ารีบร้อนจะกลับไปช่วยงานที่หน้าร้าน โบราณท่านว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย จะให้ข้ามาเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในบ้านผู้อื่น เห็นทีคงจะทำไม่ได้” นางพูดเสียดสีเขาด้วยใบหน้านิ่ง ฮงโดถึงกับอารมณ์เดือดทันทีที่ถูกพูดใส่
“นี่..นี่เจ้าว่าข้าอย่างนั้นหรือ?” เขาถามอย่างเอาเรื่อง
“มิได้ค่ะ หญิงต่ำต้อยอย่างข้า มิบังอาจตำหนิช่างเขียนใหญ่แห่งโชซอนหรอกค่ะ” นางตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยันผิดกับคำพูด นั่นยิ่งทำให้ฮงโดโมโหหนัก
“นี่เจ้า!...” เขาจะตอบโต้เธอกลับ หากแต่ชิลเดินผ่านมาเสียก่อน
“อ้าวแม่นางจองฮยาง มาอยู่นี่เอง เจ๊จานเรียกหาท่านอยู่น่ะ” ชิลผู้ไม่ล่วงรู้สถานการณ์เดินเข้ามาหาทั้งสอง ก่อนที่จะสังเกตอาการฉุนเฉียวของฮงโดได้
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะค่ะ” จองฮยางจึงได้โอกาสจากมาอย่างผู้มีชัย ฮงโดได้แต่มองตามนางอย่างแค้นเคือง บัดนี้เสียงกลองแห่งสงครามได้ลั่นขึ้นแล้ว ใครกันจะเป็นผู้กำชัยชนะศึกรักครั้งนี้
หลังศึกยกแรกสงบลงทุกคนจึงมานั่งทานอาหารเที่ยงร่วมกันในเรือนของฟ้าคำราม หากแต่บรรยากาศยังคงคุกรุ่นไปด้วยรังสีกดดันที่แต่ละคนปล่อยออกมา ทั้งสี่ฟาดฟันกันด้วยสายตาอย่างไม่ลดละ ทำให้จาน ชิลและฟ้าคำรามรู้สึกอึดอัดไปตามๆกัน ก่อนที่ยุนบกจะเอื้อมมือไปคีบอาหารจานหนึ่ง แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อถูกอินอุกมือไวคีบตัดหน้าไปก่อน เขาหันไปมองอินอุกอย่างแค้นเคือง หากแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างผู้มีชัยเย้ยหยันใส่ ยุนบกได้แต่ทำปากขมุบขมิบกล่นด่าอินอุกอยู่ในใจ ก่อนจะคิดแผนเอาคืนได้ขึ้นมา เขาจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วแกล้งทำหล่นใส่ชามข้าวของอินอุก
“โอ้ๆ...ขอโทษที มือมันลื่นนะ” ยุนบกเอ่ยขอโทษแต่ใบหน้ากลับตรงกันข้าม สร้างความขุ่นเคืองให้อินอุกยิ่งนัก เขาจึงโต้กลับด้วยการทำชามข้าวน้ำล้นของตนหกใส่ยุนบกบ้าง
“โอ้...ข้าก็มือลื่นเหมือนกัน” อินอุกกล่าวด้วยใบหน้าสะใจ เมื่อเห็นเสื้อของยุนบกเปียกปอนไปด้วยน้ำข้าว ก่อนทียุนบกจะลุกขึ้นอย่างเหลืออด
“เฮ้ยนี่เจ้า! จงใจใช่ไหมอินอุก?” ยุนบกตะโกนใส่เสียงเขียว อินอุกเองก็ไม่น้อยหน้าลุกขึ้นประจันหน้าสวนกลับ
“ใครกันแน่ เจ้าเป็นคนเริ่มก่อนนะยุนบก” อินอุกโต้ตอบไม่แพ้กัน
“นี่พวกเจ้าจะทะเลาะกันทำไมเนี่ย!” ฟ้าคำรามแผดเสียงขึ้น นั่นจึงทำให้อารมณ์ของทั้งสองเย็นลงได้ด้วยความเกรงใจเจ้าของบ้าน และนั่งลงทานอาหารดังเดิม แต่ก็ไม่วายส่งสายตาฟาดฟันกัน เมื่อศึกคู่แรกสงบลงก็ถึงคราวคู่ต่อไป
“เจ้าบ้าเอ้ย เรื่องแค่นี้ก็ทำเป็นโวยวายไปได้ เสียชื่อช่างเขียนหลวงหมด” ฮงโดกระซิบเอ็ดยุนบก หากแต่ก็ไม่พ้นสายตาเหยี่ยวของจองฮยางไปได้
“เป็นถึงช่างเขียนหลวงก็ควรสำรวมตัว ไม่ทำอะไรเลย....ที่เสื่อมเสีย” จองฮยางพูดเว้นคำ ค่อนคอดฮงโด เขาจึงหันมามองนางอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะสวนกลับ
“เฮอะ...คนเราย่อมรู้ตัวดีว่าเราเป็นใคร หรือเคยเป็นอะไร” ฮงโดสวนกลับได้ถึงทรวง จนจองฮยางแทบอยากจะร้องไห้ที่ถูกเย้ยหยันว่าตนเป็นเพียงนางโลมชั้นต่ำ หากแต่นางต้องกลืนก้อนสะอื้นนั้นและได้แต่กัดฟันพร้อมทั้งจับชามข้าวของตนไว้แน่นเพื่อระงับอารมณ์ ฮงโดจึงยิ้มอย่างมีชัยในขณะที่ยุนบกกับอินอุกยังคงแย่งกันคีบอาหารอยู่ไม่เลิก โดยที่ไม่ล่วงรู้ถึงความช้ำใจของจองฮยางแม้แต่น้อย
ตกบ่ายยุนบกก็ง่วนอยู่กับการสอนศิลปะให้เด็กๆและเด็กโข่งอย่างฟ้าคำราม ณ ศาลาเขียนภาพที่ฟ้าคำรามจัดเป็นสถานที่เรียนศิลปะโดยเฉพาะ
“นี่ท่านยังแยกพู่กันกับแปรงไม่ได้อีกหรือครับพี่ฟ้าคำราม?” ยุนบกเอ็ดขึ้นเมื่อเห็นฟ้าคำรามหยิบแปรงขึ้นมา
“ใครบอกเจ้าละ นี่คือแปรง...ข้ารู้ เพราะข้าจะทำแบบนี้” ฟ้าคำรามหยิบแปรงขึ้นและจุ่มหมึกจนโชก ก่อนจะทาลงกระดาษเขียนภาพในทีเดียว
“ฮ่าๆๆ แบบนี้ประหยัดเวลาไปได้เยอะ ไม่ต้องมานั่งเขียนด้วยพู่กันเล็กๆแบบนั้น” ฟ้าคำรามหัวเราะชอบใจกับผลงานทางลัดของตน แต่คนสอนถึงกับกุมขมับเพราะขนาดและน้ำหนักของแปรงทำให้หมึกเลอะภาพเขียนจนดูไม่ได้
“ท่านจะบ้าหรือไง ใช้แปรงแทนพู่กันได้ยังไง ดูสิภาพเลอะหมดแล้ว” ยุนบกเอ็ดใส่นักเรียนมักง่ายยกใหญ่ ก่อนที่ฮงโดจะเดินเข้ามาดู
“ฮ่าๆๆๆๆ ฝีมือๆจริงๆ ยุนบก เจ้านี่มีพรสวรรค์ในการสอนศิลปะจริงๆ” ฮงโดหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นภาพเขียนของฟ้าคำรามที่ยุนบกนั่งเคร่งสอนมาหลายชั่วโมง เขาจึงหันไปค้อนใส่อาจารย์ของตนอย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่เพราะการสอนของข้าสักหน่อย พี่ฟ้าคำรามสมองทึบเกินไปต่างหากถึงเรียนช้าแบบนี้ ดูเด็กคนอื่นๆสิ ขนาดลูกท่านยังเขียนภาพทิวทัศน์ได้แล้วเลย” ยุนบกพูดแก้ต่างพร้อมกับชี้ไปยังลูกชายหัวแก้วของจานและฟ้าคำรามที่ตอนนี้ฝีมือเขียนภาพเก่งเกินหน้าพ่อไปหลายขุม
“นี่เจ้าว่าข้าหรอยุนบก เจ้าตาย!” ฟ้าคำรามจะโจนใส่ยุนบกด้วยท่าล็อคคอ แต่ยุนบกแก้ทางได้จึงสวนกลับด้วยศอกให้คนจู่โจมถึงกับจุกลงไปกองกับพื้น ทำท่าชี้มือชี้ไม้มาที่เขาแต่ไม่อาจส่งเสียงใดๆได้ ฮงโดมองภาพทั้งสองก็หัวเราะชอบใจจึงจะเดินเข้าไปลูบศีรษะยุนบกอย่างเอ็นดู หากแต่เจ้าตัวเกิดระแวงขึ้นรีบสะบัดตัวหนี
“อย่านะอาจารย์ ถึงเป็นท่านข้าก็ไม่ออมมือนะ” ยุนบกได้ทีเก๊กท่าขึงขังใส่
“นี่เจ้ากล้าทำข้าหรือ เจ้าศิษย์อกตัญญู” ฮงโดหมันไส้จึงเข้าไปขยี้ผมยุนบกอย่างมันมือ ทั้งสองต่างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีสายตาเศร้าสร้อยของจองฮยางแอบมองอยู่ไกลๆ หัวใจของนางดั่งเหมือนโดนอุ้มมือใหญ่บีบเค้นให้นางแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา แม้จะเตรียมใจสู้แต่ก็ไม่พร้อมที่จะรับมือกับความเจ็บช้ำ ภาพบาดตาตรงหน้าจึงเหมือนกับคมมีดที่กีดลงกลางใจ
“แม่นางจองฮยางๆ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง เห็นเจ๊จานว่าเจ้ามาซักผ้า แต่ข้าไปที่ลำธารก็ไม่เห็นเจ้า” เป็นอินอุกนั่นเองที่ร้องเรียก นั่นทำให้จองฮยางหลุดจากภวังศ์แห่งความเศร้าหมองได้
“พอดีข้ามองทิวทัศน์แถวนี้เพลินไปหน่อยนะค่ะ ข้ากำลังจะไปพอดี” นางถอนสายตาจากศาลาเขียนภาพและตอบกลับอินอุกด้วยเสียงนุ่ม
“มา..เดี๋ยวข้าถือให้” อินอุกอาสาถือถังไม้ใส่เสื้อผ้าที่จองฮยางถืออยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าถือเองได้ ลำธารใกล้แค่นี้เอง” นางกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“เช่นนั้นก็ให้ข้าถือเถอะ หากมันใกล้แค่นี้ เพราะคงไม่ลำบากข้านักหรอก” อินอุกเล่นลิ้นและเอือมมือไปคว้าถังไม้มา จองฮยางจึงต้องจำยอมอย่างเกรงใจ ทั้งสองเดินพูดคุยกันไปตามทางสู่ลำธารโดยมีสายตาขุ่นเคืองของยุนบกมองอยู่จนทั้งสองหายลับไป แม้จะรู้ว่าตนไม่มีสิทธิไปแค้นเคือง แต่ก็ไม่สามารถบังคับจิตใจที่พัดไหวไปตามอารมณ์นี้ได้ เพียงแค่เห็นทั้งสองใกล้กันเขาก็แทบอยากจะคุ้มคลั่งเหมือนดั่งพายุร้ายให้ทุกสิ่งพินาศไปต่อตา
“ยุนบก..เจ้ามองอะไรนะ?” ฮงโดเห็นอาการนิ่งมองของศิษย์อยู่นานจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เอ่อ...ลำธารน่ะครับ ข้ามองหาลำธาร” ยุนบกตอบส่งๆ
“ลำธารก็อยู่ไม่ไกลจากนี่ไปยังไงละ เจ้าอยากไปหรอ....ดี งั้นเรามาเปลี่ยนบรรยากาศไปเขียนรูปที่ลำธารกัน” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นอย่างเสร็จสับโดยไม่ฟังความเห็นใคร เด็กทั้งหลายเมื่อได้ยินคำว่าลำธารก็ดีใจยกใหญ่ต่างเก็บเครื่องเขียนของตนเตรียมเดินทางทันที
“เดี๋ยวๆข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย” ยุนบกรีบท้วงขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ
“ข้าว่าไม่ทันแล้วล่ะ” ฮงโดกระซิบบอก แล้วทั้งหมดจึงพากันย้ายห้องเรียนไปที่ลำธารตามความคิดที่ไม่ตั้งใจของยุนบกและความต้องการที่ไม่ฟังเสียงใครของฟ้าคำราม
ฝั่งจองฮยางกับอินอุกที่ตอนนี้มาถึงลำธารได้สักพักแล้ว แต่จองฮยางก็ยังไม่มีท่าทีจะเริ่มซักผ้าแต่อย่างใด นั่นก็เป็นเพราะนางไม่สะดวกนักหากจะมีบุรุษอยู่ในขณะที่นางซักผ้าแต่ก็ไม่สามารถบอกอินอุกได้
“คุณชายฮงค่ะ ขอบคุณท่านจริงๆค่ะที่ถือถังมาให้ข้า เดี๋ยวข้าซักผ้าสักครู่แล้วก็จะกลับไปที่เรือน ท่านล่วงหน้ากลับไปก่อนก็ได้นะค่ะ” จองฮยางพยายามพูดไล่ทางอ้อม แต่ด้วยความไม่รู้และอยากใกล้ชิดของอินอุกทำให้เขาไม่เข้าใจความหมายที่นางสื่อ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะอยู่ช่วยเจ้า” อินอุกเสนอตัว จองฮยางถึงกับตกใจ นั่นทำให้อินอุกเริ่มเอะใจว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือไม่
“เอ่อ..คุณชายฮงค่ะ ท่านรู้หรือไม่ว่า การซักผ้านั้นเขาทำอย่างไร” จองฮยางเอ่ยถามอย่างละล่ำละลัก อินอุกจึงนิ่งคิดตามคำถาม ก่อนจะส่ายหน้าอย่างอายๆที่ตนไม่รู้เรื่องงานบ้านงานเรือนเลยเพราะอยู่สบายมาตั้งแต่เกิด
“แต่เจ้าสอนข้าได้นะ ข้าจะทำตามทุกอย่าง ให้ข้าช่วยเถอะ” อินอุกอ้อนวอนด้วยยังไม่เข้าใจสิ่งที่จองฮยางสื่อ
“ฮิๆ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คือ...เรื่องแบบนี้ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของสตรี และมันก็ไม่เหมาะเท่าไหร่” จองฮยางอธิบายอย่างอายๆ อินอุกจึงยังไม่หายสงสัย
“คือ...ในการซักผ้าข้าอาจจะต้อง ถอดเสื้อผ้าบางส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการซักและไม่ให้มันเปียกน้ำนะค่ะ” จองฮยางกลั้นใจบอกออกไปด้วยความเขินอาย นั่นจึงทำให้คุณชายสำอางถึงบางอ้อ และเผลอจินตนาการถึงนางในชุดน้อยชิ้นจึงทำให้ใบหน้าเขาแดงก่ำขึ้น
“อ้า!...ข้า...ข้าขอโทษ งั้นข้าขอตัวก่อน เชิญเจ้าตามสบายเถอะนะ” อินอุกจึงรีบเดินจากไปทันที
ทางด้านยุนบกเมื่อมาถึงลำธารทุกคนก็ต่างจับจองที่เขียนภาพกันตามชอบ มีเพียงยุนบกที่ยืนมองซ้ายแลขวาอยู่ไม่เลือกที่เสียที
“นั่นเจ้ามองหาอะไรของเจ้า?” ฮงโดถามขึ้นเมื่อเห็นอาการศิษย์
“เอ่อ...ข้า...ข้าก็มองหาแรงบันดาลใจไงครับอาจารย์ เพื่อเอามาเขียนภาพยังไงละ” ยุนบกเฉไปเรื่องอื่นทั้งที่จริงเขามองหาร่างบางของใครบางคนต่างหาก
“แรงบันดาลใจ? ฮึทำเป็นพูดจาใหญ่โต เจ้านี่จริงๆเลย เจ้าอยากจะวาดอะไรก็เลือกเอามาสักอย่างเถอะ” ฮงโดเอ่ยอย่างหมันไส้
“ครับ งั้นเดี๋ยวข้ามานะครับ” ยุนบกจึงขานรับและออกไปตามหาแรง (บันดาล) ใจของเขา เขาเดินเลาะขึ้นไปตามลำธารเรื่อยๆก็แว่วเสียงหวานฮัมเพลงลอยมาตามลม เขารู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของนาง จองฮยางของเขา เขาจึงรีบสาวเท้าเดินไปตามเสียงนั่นก่อนจะหยุดลงเมื่อพบเข้ากับอินอุกที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ซอกโขดหินใหญ่ อินอุกเองก็ตกใจเช่นกันที่พบเข้ากับยุนบก
“นะ..นี่เจ้ามาได้ยังไงเนี่ย?” อินอุกพูดลนลาน
“เจ้านั่นแหละมาทำอะไรตรงนี้?” ยุนบกถามกลับและสังเกตอาการแปลกๆของอินอุก
“นี่เจ้าเป็นอะไรเนี่ย ทำไมหน้าเจ้าถึงแดงก่ำเช่นนี้?” ยุนบกถามขึ้น อินอุกถึงกับสะดุ้ง
“ม่ะ...ไม่ใช่เรื่องของเจ้าสักหน่อย” อินอุกตอบเสียงสั่น ยุนบกสงสัยในท่าทีนั้นยิ่งนัก
“นั่นใครน่ะ?” เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นอีกฝั่งของโขดหินใหญ่
“จองฮยาง?” ยุนบกอุทานออกมาอย่างแปลกใจที่นางอยู่ไม่ไกล จึงคิดจะปีนโขดหินไปหานาง แต่ถูกอินอุกห้ามไว้
“ปล่อยข้านะเจ้าบ้าอินอุก” ยุนบกพยายามปีนขึ้นไปบนโขดหิน แต่ด้วยแรงฉุดกระชากของอินอุกทำให้เขาพลัดตกลงไปในลำธาร
“อ้ากกกกกกกก” ตูม! เสียงร่างกระแทกน้ำและเสียงอุทานของยุนบกดังไปไกลจนคนที่เดินตามหลังเขามารีบวิ่งมาดู
“ยุนบก!” ฮงโดร้องขึ้นเมื่อเห็นร่างศิษย์รักหล่นลงลำธาร เขารีบกระโจนลงน้ำทันที จองฮยางเองเมื่อได้ยินเสียงของยุนบกก็รีบชะโงกหน้าจากโขดหินมาตามเสียง นางแทบสิ้นใจเมื่อเห็นร่างคนรักจมหายไปในน้ำ
“ช่างเขียน!” จองฮยางร้องอุทานเสียงหลง ตอนนี้นางไม่สนใจสิ่งใดนอกจากร่างที่ดิ้นรนอยู่ในน้ำ นางรีบลงจากโขดหินทั้งที่ตนใส่เพียงชุดขาวบาง อินอุกได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทำอะไรไม่ถูก
“ช่างเขียนๆๆๆ!” จองฮยางร้องเรียกยุนบกปานจะขาดใจ น้ำตาเธอไหลพรากเมื่อไม่เห็นร่างของยุนบก ทันใดนั้นฮงโดที่ว่ายลงไปช่วยยุนบกก็ผุดขึ้นจากน้ำพร้อมกับอีกหนึ่งร่างที่คนบนฝั่งร้องเรียก เขาเกี่ยวร่างหมดสติว่ายขึ้นฝั่งมา จองฮยางเอามือปิดปากตนไว้อย่างพยายามกลั้นเมื่อเห็นยุนบกนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ฮงโดเขย่าร่างยุนบกและร้องเรียกเขา แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลก่อนจะตัดสินใจผายปอดให้กับเขา จองฮยางมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง ไม่นานนักยุนบกก็สำลักน้ำออกมา ฮงโดยิ้มรับกับการตอบสนองนั้นก่อนจะอุ้มร่างยุนบกแบกกลับไปยังเรือนของฟ้าคำราม จองฮยางได้แต่ยืนมองภาพฮงโดอุ้มคนรักจากไป และหดหู่ใจที่ตนไม่สามารถทำอะไรเพื่อเขาได้เลย หากไม่มีฮงโดยุนบกคงตายไปต่อหน้าต่อตานางเป็นแน่
ป้ายกำกับ:
Thunder and The Wind
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
The Fan Club ตอนที่2
ตอนที่2 หลง รัก (Lost and Love)
“คุณอึนชัน! คุณอึนชัน!”
ร่างเล็กสลึมสลือขึ้นตามเสียงเรียก ภาพเลือนรางของร่างบางที่ชะโงกหน้ามาดูเธออย่างเป็นห่วงค่อยๆชัดขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นยังไงบ้างค่ะ” แชวอนก้มถามร่างเล็กที่นอนหนุนตักอยู่อย่างห่วงใย
อัญชันที่ตอนนี้รู้สึกตัวอย่างเต็มที่ เบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เห็นใบหน้าดาราสาวขวัญใจของตัวเองตรงหน้า ก่อนจะรีบลุกขึ้นพรวดพราดอย่างลนลานจนศีรษะของเธอเกือบจะชนเข้ากับของแชวอน
“คุณอึนชัน คุณเป็นยังไงบ้าง?” จินโฮที่เห็นอาการตื่นตกใจของเธอเอ่ยถามขึ้น
“เอ่อ.......” อัญชันพยายามรวบรวมสติอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้สมองเธอจะ Error ไปซะแล้ว เธอทำได้แต่เพียงทำปากพะงาบๆอยู่อย่างนั้น ทุกคนต่างมองดูเธออย่างเป็นห่วงและเกรงว่าเธอจะเป็นอะไรร้ายแรง ก่อนที่โทรศัพท์ของคุณจางจะดังขึ้น
“ตายแล้วได้เวลาแล้วละจ๊ะ แชวอนรีบไปเร็ว เดี้ยวต้องไปแต่งหน้าอีก คุณปาร์คเดี๊ยนว่าให้แม่หนูนี่เริ่มงานวันหลังแล้วกันนะฮ้า วันนี้ดูท่าหล่อนจะไม่ไหว” คุณจางเสนอขึ้น
“แบบนั้นก็ดีครับ พวกคุณรีบไปเถอะครับ เดี้ยวทางนี้ผมดูแลเอง” จินโฮตอบรับข้อเสนอนั้นและหันมามองอัญชันอย่างเป็นห่วง ก่อนที่คุณจางจะเดินนำแชวอนออกไป
“ไว้พบกันใหม่นะค่ะ” แชวอนกล่าวลาด้วยรอยยิ้มที่แฝงความห่วงใย ก่อนจะเดินจากไปให้ร่างเล็กมองตามตาละห้อย
“นี่คุณ....ไม่ได้ทานข้าวมาอีกแล้วเหรอครับ?” จินโฮถามขึ้นเมื่อยังเห็นอาการแปลกๆของเธออยู่
“เอ๋อ!...โอ้! ค่ะ?” อัญชันตอบไม่เป็นภาษาเพราะใจลอยตามร่างบางออกไป จินโฮได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจให้อาการ เอ๋อเหรอ ของคนร่างเล็ก แม้เขาจะมองว่ามันน่ารักก็ตาม
“ผมพาคุณไปทานข้าวดีกว่า มาครับ” จินโฮส่งมือของเขาให้กับอัญชัน เธอมองมือนั้นอย่างงงๆ หากก็ยอมรับมันแต่โดยดี ร่างสูงจับมือน้อยไว้อย่างทนุถนอมและค่อยๆประคองร่างเล็กขึ้น
จินโฮพาอัญชันมาส่งที่บ้านของเธอตามเดิมหลังจากทานอาหารเสร็จ เขายังคงกังวลกับอาการเมื่อเช้าของเธออยู่ไม่น้อย
“คุณแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร ผมว่าไปหาหมอดูหน่อยดีไหม?” เขาถามขึ้นระหว่างเดินไปส่งเธอเข้าบ้าน
“ฉันโอเคค่ะ ไม่เป็นอะไรจริงๆ” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น จนชายหนุ่มต้องยอมรับอย่างจำใจแม้จะเป็นห่วงเธออยู่มากก็ตาม
“ก็ได้ แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีอีกละก็ โทรหาผมได้ตลอดเลย ผมจะรีบมาทันที” เขาตอบรับอย่างอ่อนโยน หากแต่อัญชันกลับรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยที่เขาเสนอตัวเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะตอนนี้สมองเธอเต็มไปด้วยเรื่องของดาราสาวที่เธอพบเมื่อเช้า
“แล้ว...เรื่องทำงานละค่ะ?” เธอถามขึ้นหยั่งเชิง
“ทำงาน? ผมว่าคุณพักสักสองสามวันดีไหมครับ แล้วค่อยเริ่มงาน” จินโฮเสนอขึ้น ให้อัญชันรีบลนลานตอบ
“ไม่ต้องค่ะ! ฉันแข็งแรงมาก แล้วก็อยากจะทำงานแล้วด้วย” เธอกล่าวยืนยันเสียงสูงพร้อมทำท่าเบ่งกล้ามประกอบ จินโฮตกใจเล็กน้อยกับท่าทางเธอ
“คุณแน่ใจนะครับ?” เขาถามยืนยันอีกครั้ง เธอจึงพยักหน้ารับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนหายใจอย่างอ่อนใจ
“ก็ได้ครับ งั้นเริ่มงานพรุ่งนี้ เดี้ยวผมมารับนะ” เขาบอก เธอถึงกับยิ้มหน้าบานให้คนมองหัวใจพองโตตามรอยยิ้มนั้นไปด้วย
“รับทราบค่ะ บอส” เธอตอบหนักแน่นพร้อมทำท่าวันทยหัตถ์ จินโฮถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางน่ารักน่าชังของคนตรงหน้า
__________________________________
Bbong9 -- วันนี้ดูคุณจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีเรื่องอะไรน่ายินดีหรอค่ะ? (◕‿◕✿)
Teddy Bear -- วันนี้ฉันได้พบคนคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ฉันอยากพบมากที่สุดในโลก (≧▽≦)
Bbong9 -- (;°○°) ใครหรอค่ะ?
Teddy Bear – ความลับ (◕‿-。)
Bbong9 -- (づ ̄³ ̄)
__________________________________
รุ่งเช้าที่อัญชันรอคอย วันนี้เธอตื่นขึ้นก่อนเวลานาฬิกาปลุกเสียอีก ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำและฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์แล้วจึงมาสวมชุดที่เธอใช้เวลาเลือกทั้งคืน เธอสวมใส่โค้ทสีน้ำตาลครีมตัวใหญ่ทับเสื้อยืดสีเขียวเข้มที่เข้ากันได้ดีกับกางเกงยีนสีซีดดูทะมัดทะแมง เสริมด้วยผ้าพันคอลายตารางผืนยาว เธอส่องกระจกดูความเรียบร้อยอีกครั้งและหัวเราะ ฮิฮิ อย่างชอบใจกับการแต่งตัวในครั้งนี้ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายผ้าถักใบเดิม แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือเธอก็ดังขึ้น
“ขอโทษนะ ผมมีประชุมด่วน คงไปรับคุณไม่ทัน” เป็นจินโฮนั่นเองที่โทรมา
“เอ๋?....เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะงั้นเดี้ยวฉันไปเองก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะค่ะ” เธอตอบรับอย่างเข้าใจ
“งั้นเดี้ยวผมให้คนไปรับคุณแล้วกันครับ” เขาเสนอ
“อ่ะ! ไม่ต้องค่ะ ฉันไปเองได้ค่ะ ไม่เป็นไร สบายมากค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างหนักแน่น จนเขาต้องจำใจทำตาม ทั้งที่ความจริงอยากจะยกเลิกประชุมและไปรับด้วยตนเอง หากแต่หน้าที่ก็ทำให้นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้
“ก็ได้ครับ ถ้ามีปัญหาอะไร ก็โทรหาผมได้ตลอดนะครับ” เขาตอบรับอย่างจำใจ
หลังจบการสนทนาอัญชันก็ยืนเครียดอยู่หน้ากระจก ไม่รู้ว่าตนจะเดินทางไปยังไง เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยออกไปไหนโดยไม่มีคนไปด้วย ก่อนที่เอื้อเฟื้อจะเดินเข้ามาในห้องเพราะคิดว่าเพื่อนสาวยังไม่ตื่น
“อ้าวแต่งตัวเสร็จแล้วหรอ นึกว่ายังไม่ตื่นสะอีก” เขากล่าวขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวในชุดเตรียมพร้อม อัญชันค่อยๆหันไปหาเพื่อนรักช้าๆพร้อมส่งสายตาปลิบๆ เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ
“อะไร?” เขาถามอย่างสงสัย เธอจึงเล่าให้เขาฟังว่าต้องเดินทางไปทำงานเองคนเดียว เอื้อเฟื้อได้ยินก็ถึงกับกุมขมับ ด้วยรู้จักความโก๊ะของเพื่อนสาวคนนี้ดี เขาจึงเขียนแผนที่ให้เธออย่างละเอียดบอกสายรถเมล์ที่เธอต้องขึ้น และจุดหมายที่เธอต้องลง พร้อมทั้งสัญลักษณ์ต่างๆที่เธอควรรู้ เขาทวนให้เธอฟังอยู่หลายรอบ ก่อนจะมั่นใจว่าเธอจำได้แน่จึงยอมให้เธอออกจากบ้านไป หากว่าเขาลางานได้ก็คงจะลางานและไปส่งเพื่อนสาวแล้ว แต่นี่ดูจะกะทันหันไปเขาคงไม่สามารถทำได้ จึงได้แต่ภาวนาให้เธอไปถึงจุดหมายให้ได้อย่างปลอดภัย
อัญชันขึ้นรถเมล์สายที่เพื่อนบอกได้อย่างถูกต้อง เธอตื่นเต้นกับการเดินทางเองคนเดียวครั้งแรกมาก ทุกอย่างดูตื่นตาไปหมด ร่างเล็กสอดส่องส่ายสายตามองสองข้างทางตลอดเวลา หากแต่จุดหมายก็ยังไม่ถึงเสียที การนั่งอยู่เฉยๆนานๆจึงทำให้เธอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีในสถานที่ที่ไม่ตรงกับที่เอื้อเฟื้อบอก เธอรีบลนลานลงรถทันทีและมองซ้ายมองขวาอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะรู้ตัวว่า “หลง” ร่างเล็กยืนสับสันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะนึกถึงเพื่อนขึ้นมา เธอจึงรีบโทรศัพท์ไปหาเขาทันที
“ช่วยฉันด้วย! ฉันหลงทางอ่ะ” ร่างเล็กส่งเสียงอ้อนวอนไปตามสาย
“แกอยู่ไหนเนี่ย?” เอื้อเฟื้อได้ยินดังนั้นจึงถามกลับไปอย่างเป็นห่วง
“ฉ้านม่ายรู้” เธอตอบเสียงอ่อย ปลายสายถึงกับอ่อนใจในคำตอบ
“แกลองดูดีๆซิ มีอะไรเป็นจุดเด่นมั่ง ป้ายหรือตึก อะไรก็ได้” เขาพยายามให้เธอตั้งสติ
“เอ่อ....มีตึกอ่ะ แต่มันมีเต็มไปหมดเลย ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นตึกอะไร” เธอตอบเหมือนคนสติแตก
“ใจเย็นๆ ดูป้ายสิ ป้ายนะ” เขาพยายามไม่ให้เธอสติหลุดไปมากกว่านี้ อัญชันจึงหันไปหาป้ายตามคำบอกเพื่อน แต่มันกลับเป็นภาษาเกาหลีที่เธออ่านไม่ออก นั่นยิ่งทำให้เธอสติแตกไปใหญ่
“ฉันอ่านไม่ออก!” เธอขึ้นเสียงสูง
“โอเคๆ งั้นอธิบายที่ๆแกอยู่มา” เขาพยายามปลอบเธอ
“เออ....มัน เป็นแยกอ่ะ สามแยก” เธออธิบาย
“แยกหรอ?....ดีมาก แกเห็นตำรวจไหม” เขาถามขึ้นให้เธอสงสัย
“หะ? อืมเห็น ทำไมหรอ?” เธอเริ่มงงกับเพื่อนคนนี้แล้ว
“เดินเข้าไป ไปหาตำรวจแล้วให้เขาไปส่งแก” เขาเฉลยเรื่องที่เธอคาดไม่ถึง
“แกจะบ้าหรอ ให้ฉันเดินไปบอกให้เขาไปส่งเนี่ยนะ” เธอถามย้ำ
“ใช่ แกมีวิธีดีกว่านี้ไหมละ” เขาถามกวนกลับ อัญชันจึงต้องทำตามอย่างจำใจ
“ยื่นแผนที่ที่ฉันเขียนให้เขา แล้วก็อย่าลืม ทำท่าโง่ๆ บอกว่าแกหลงทางด้วยละ เขาจะได้สงสาร” เอื้อเฟื้อพูดประชดแทงใจ จนคนฟังอยากจะมุดโทรศัพท์ตามไปตีปากเสียๆให้บาดเจ็บไปหลายวัน
เมื่อตัดสินใจได้อัญชันจึงเดินตรงเข้าไปยังนายตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แถวนั้น เขามองเธออย่างแปลกใจ
“เอ่อ...ฉันโล่งทั่งค่ะ” เธอพยายามพูดภาษาเกาหลีที่เอื้อเฟื้อบอก แต่ด้วยสำเนียงที่ไม่ให้ ทำให้นายตำรวจฟังไม่เข้าใจ
“โล่งทั่ง?” นายตำรวจทวนคำ
“โนๆๆ โล่งทั่ง โล้งทั่ง....” เธอพยายามพูดให้เขาเข้าใจแต่มันกลับแย่กว่าเดิม เธอจึงหยิบแผนที่ให้เขา
“ฉันหลงทาง!” เธอตัดสินใจพูดออกไปเป็นภาษาอังกฤษ
“อ้อ! หลงทาง แล้วก็ไม่บอก” นายตำรวจกลับพูดภาษาอังกฤษได้ (สะงั้น) เขาจึงรับแผนที่มาดูและอาสาพาเธอไปส่ง
ขณะเดียวกันหน้าบริษัทสตาร์เคย์ คุณจางและแชวอนที่รอการมาถึงของอัญชันก็ยืนรออย่างกระวนกระวายใจด้วยเวลาล่วงเลยมามากแล้ว
“ไม่ไหวแล้วนะ นี่อีกห้านาทีถ้าไม่มา เราไปกันเลยดีกว่า” คุณจางพูดขึ้น
“ใจเย็นๆเถอะค่ะคุณจาง ฉันว่าเธอต้องมาแน่ค่ะ” แชวอนพยายามพูดดับอารมณ์เดือดของผู้จัดการใจหญิง ก่อนจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามา ทั้งสองจึงหันไปตามเสียงนั้นแล้ว
พบกับภาพที่น่าแปลกใจ ร่างเล็กคุ้นตาสวมหมวกกันน็อคอยู่กำลังก้มขอบคุณนายตำรวจยกใหญ่ก่อนจะวิ่งมาทางทั้งสอง แต่ก็ต้องวิ่งกลับไปอีกครั้งเพราะเธอลืมถอดหมวกกันน๊อคคืนนายตำรวจใจดีคนนั้น เธอจึงต้องก้มขอโทษเขาอีกที แล้วจึงวิ่งมายังทั้งสอง ร่างเล็กมาหยุดตรงหน้าแชวอนด้วยความเหนื่อยหอบ เธอก้มหน้าหอบหายใจพลางปาดเหงื่อ
“ขอโทษค่ะที่มาสาย” อัญชันก้มหน้าขอโทษ แชวอนและคุณจางได้แต่มองหน้ากัน
“เอาเถอะๆ มาแล้วก็รีบขึ้นรถเถอะ”คุณจางเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปจัดการสัมภาระ
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะค่ะ” แชวอนกล่าวทักทายขึ้น อัญชันที่ยังคงก้มศีรษะขอโทษอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทักช้าๆ ก่อนจะพบกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้เธอลืมหายใจ
“ขึ้นรถได้แล้วจ๊ะสาวๆ” คุณจางเอ่ยขึ้น ทำให้อัญชันได้สติ ก่อนจะเดินตามแชวอนขึ้นรถตู้ไป เมื่อสองสาวขึ้นมาบนรถแล้วคุณจางที่รอปิดประตูอยู่ด้านนอกก็พูดขึ้น
“เอาล่ะ อึนชันใช่ไหม? ฝากแชวอนด้วยนะจ๊ะ นี่เป็นตารางงานของวันนี้ โชคดีจ๊ะ” คุณจางยื่นตารางงานให้อัญชันก่อนจะปิดประตู อัญชันถึงได้รู้ว่า เธอต้องไปกับแชวอนเพียงแค่สองคน! ⊙▂⊙
รถตู้สีขาวขับไปตามท้องถนนผ่านตัวเมืองของกรุงโซลอย่างราบเรียบ ความเย็นสบายของฤดูใบไม่ร่วงทำให้บรรยากาศดีจนอยากผล็อยหลับ หากแต่สาวร่างเล็กในรถกลับนั่งเกร็งเหงื่อแตกพลั่ก จนคนข้างๆสังเกตอาการแปลกๆของเธอได้
“เอ่อ...เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?” แชวอนถามขึ้นเมื่อหันมาเจออัญชันนั่งตัวลีบติดประตูรถจนเกือบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกคนทักขึ้น หากแต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะหันไปมองคนข้างๆ ร่างบางจึงต้องเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหาร่างเล็กเสียเอง
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?” เธอยื่นหน้าเข้าไปถามร่างเล็ก อัญชันหลับตาปี๋กำมือแน่นก่อนจะตอบอีกคนออกไป
“ม่ะ...ม่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ร่างเล็กก้มหน้างุด ให้อีกคนมองอย่างสงสัย
“เอ๋?...นี่ฉันน่ารังเกลียดขนาดที่คุณไม่อยากมองหน้าเชียวหรอค่ะ?” แชวอนเอ่ยขึ้นให้อีกคนใจหาย
“ไม่ใช่นะค่ะ!” ร่างเล็กโพล่งออกมาพร้อมหันไปยังคนข้างๆ ก่อนจะพบกับรอยยิ้มที่เธอหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
“ฮิๆ ยอมหันมาจนได้” แชวอนเฉลยให้อีกคนถึงบางอ้อ ว่าเธอเพียงพูดเล่นเพื่อดึงความสนใจเท่านั้น ร่างเล็กจึงได้แต่ทำหน้าเจื่อนอย่างอายๆ
“อืม...คุณชื่ออึนชันจริงๆหรอค่ะ?” แชวอนเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างเล็กจึงทำหน้าเหวอ
“คือเห็นคุณเป็นคนต่างชาติ แต่กลับมีชื่อเหมือนคนเกาหลีเลย...ก็แค่สงสัยนะค่ะ” ร่างบางอธิบาย
“อ้อ...มันเป็นชื่อที่เพื่อนฉันตั้งให้นะค่ะ เพื่อให้คนเกาหลีเรียกฉันง่ายๆ” ร่างเล็กตอบอ้อมแอ้มในลำคอ จนแชวอนต้องขยับเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อเงี่ยหูฟัง ร่างเล็กจึงยิ่งพยายามทำตัวลีบเข้าไปใหญ่
“แล้วชื่อจริงๆของคุณคืออะไรหรอค่ะ?” แชวอนถามต่อ
“อัญ...อัญชันค่ะ” ร่างเล็กตอบพลางก้มหน้างุด
“อัญชัน อืม...ชื่อน่ารักดีนะค่ะ ถึงฉันจะไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรก็เถอะ แล้วคุณจะให้ฉันเรียกว่าอะไรดีละค่ะ?” แชวอนยังคงถามต่อให้อีกคนเริ่มล้ากับการควบคุมจังหวะหัวใจ
“เรียกอะไรก็ได้ค่ะ อึนชันก็ได้” ร่างเล็กยังคงตอบเสียงอ่อน
“ไม่ได้สิค่ะ เราควรเรียกชื่อของคนอื่นด้วยชื่อที่เขายินดีให้คนอื่นเรียกนะค่ะ นั่นถือเป็นการให้เกียรติเขาค่ะ” แชวอนอธิบายอย่างจริงจัง ร่างเล็กที่ได้ยินก็ถึงกับทึ่งในความคิดของอีกคน จนเธอเผลออมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“แล้วตกลงจะให้ฉันเรียกว่าอะไรค่ะ?” แชวอนถามย้ำรอคำตอบ จึงทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัว
“เอ่อ..ถ้าไม่ลำบากมาก ได้โปรดเรียกฉันว่า อัญชันค่ะ” เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอร้อง ร่างบางยิ้มให้กับคนตรงหน้าอย่างพอใจ
“ถ้ายังงั้นก็ เรียกฉันว่า แชวอน นะค่ะ” ร่างบางจึงก้มศีรษะลงเช่นกันให้อีกคนแปลกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ร่างเล็กพร้อมหัวเราะคิกคักกับการสานสัมพันธ์ใหม่ในครั้งนี้
รถตู้สีขาวแล่นมาถึงที่หมาย ณ กองถ่ายซีรี่เรื่องหนึ่ง ทีมงานทุกคนต่างวิ่งวุ่นกันพัลวัน อัญชันมองการทำงานของทุกคนอย่างตื่นตาเมื่อลงมาจากรถ ก่อนที่สาวร่างท้วมจะวิ่งเข้ามาหาแชวอนแล้วลากร่างบางไป อัญชันได้แต่มองตามอย่างเอ๋อๆ ร่างเล็กจึงรีบวิ่งตามไปทันที สาวท้วมพาแชวอนมาแต่งหน้าที่เต๊นท์แต่งตัวนักแสดง ภายในมีนักแสดงนำนั่งแต่งตัวอยู่ก่อนหน้าแล้ว แชวอนกล่าวทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองก่อนจะนั่งลงแต่งหน้า อัญชันมองดาราคนอื่นๆอย่างตื่นเต้น เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เจอดาราเกาหลีหลายๆคนพร้อมกันแบบนี้ เธอพยายามนึกชื่อดาราแต่ละคนว่าชื่ออะไรกันบ้าง โดยไม่รู้ตัวว่าตนนั้นเผลอทำอาการครุ่นคิดนับมือนับไม้อยู่ แชวอนมองอาการนั้นของคนร่างเล็กแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ
เมื่อแต่งตัวเสร็จร่างบางก็หยิบบทของตนขึ้นมาอ่านทวนอย่างตั้งใจ โดยมีสายตาของสาวร่างเล็กจ้องมองอยู่ เธออยากจะหยิบกล้องที่ตนพกติดตัวขึ้นมากดชัตเตอร์แทบใจจะขาด แต่ก็พยายามห้ามใจไว้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นการรบกวนและไม่อยากให้หล่อนรู้ว่าเธอนั้นคลั่งไคล้หล่อนมากขนาดไหน อัญชันแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือความจริง มุน แชวอน ดาราสาวขวัญใจของเธอนั้นอยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้พบตัวเป็นๆ แถมยังได้มาทำงานกับเธออีก ทุกอย่างอย่างกับความฝัน อัญชันได้แต่นั่งมองดาราสาวตาเยิ้ม ก่อนที่สาวร่างท้วมคนเดิมจะเข้ามาเรียกแชวอนไปเข้าฉาก นั่นจึงทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัวและเดินตามแชวอนไป
แม้จะเป็นฉากสั้นๆ แต่ด้วยความเนี๊ยบของผู้กำกับ ทำให้ต้องถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าผู้กำกับจะพอใจ แม้จะรู้ว่าการถ่ายทำนั้นยากขนาดไหนเพราะเคยเรียนมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อัญชันมีโอกาสได้มาเห็นการถ่ายทำระดับมืออาชีพแบบนี้ เธอรู้สึกทึ่งกับทุกๆคนที่มีส่วนร่วมในการทำงาน เมื่อเห็นว่าตัวเองนั้นไร้ประโยชน์เสียจริงที่นั่งอยู่เฉยๆ จึงมองหาสิ่งที่ตนพอจะช่วยได้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆเก็บอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ อัญชันจึงเดินเข้าไปหาและพยายามสื่อสารกับชายคนนั้น ว่าเธอจะช่วยเขายกของ แม้ตอนแรกทั้งคู่จะสับสันกันเล็กน้อยแต่ในที่สุดก็เข้าใจกันจนได้ อัญชันจึงกลายเป็นเด็กยกของคนใหม่ของกองถ่ายไป
“เอ๊ะนั่น เด็กใหม่หรอค่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย หน้าตาน่ารักจัง แต่เอ๋ทำไมเขาจ้างเด็กตัวแค่นี้มาทำงานแบบนี้นะ?” ช่างแต่งหน้าที่มาซับหน้าให้แชวอนเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็น เด็กยกของคนใหม่ที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำให้ดาราสาวหันไปมองตาม เธอถึงกับงงที่อยู่ๆผู้ช่วยผู้จัดการของเธอกลายไปเป็นเด็กยกของกองถ่ายสะได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังและตั้งใจของคนตัวเล็กเธอก็หัวเราะออกมาน้อยๆ
“เธอเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของฉันค่ะ ไม่ใช่เด็กยกของหรอก” แชวอนเอ่ยขึ้นกับช่างแต่งหน้าและอมยิ้มมองไปยังร่างเล็ก
หลังจากยกของเสร็จอัญชันยังช่วยเสิร์ฟน้ำให้กับคนในกองอีก ทุกคนในกองต่างเอ็นดูเด็กเสิร์ฟน้ำร่างเล็กหน้าใหม่คนนี้น่าดู แต่เมื่อเดินเสิร์ฟมาถึงเต๊นท์แต่งตัวนักแสดงมือไม้ของอัญชันก็เริ่มสั่น เพราะเข้าใกล้รัศมีของแชวอน อัญชันค่อยๆเดินเสิร์ฟไปเรื่อยๆจนในถาดเหลือน้ำแก้วสุดท้าย เธอค่อยๆเดินเข้าไปหาแชวอนอย่างกล้าๆกลัวๆ ร่างบางที่ง่วนอยู่กับมือถือตัวเองก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามาหา จึงหันหน้ามาทางอัญชันและเห็นแก้วน้ำที่ร่างเล็กยื่นมาให้บนถาด เธอยิ้มให้และหยิบแก้วน้ำมา
“ขอบคุณนะค่ะ คุณอัญชัน” แชวอนขอบคุณเสียงหวาน ร่างเล็กที่เพิ่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองครั้งแรกก็ดีใจจนอยากจะคลั่งแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ ทำได้เพียงยืนบิดกอดถาดน้ำอมยิ้มอยู่อย่างนั้น แต่ภายในใจ กรี๊ดดดดดดดดดดดด \(≧▽≦)/
เมื่อถ่ายละครเสร็จก็เป็นช่วงบ่ายกว่าๆพอดี ในขณะที่อัญชันกำลังยืนรอแชวอนเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นี้กระเพาะเจ้าปัญหาก็เริ่มอาละวาดอีกครั้ง เสียงโครกครากของเจ้ากระเพาะน้อยดังผิดกับขนาดของมันทำให้เจ้าของร่างยืนเครียดว่าจะจัดการกับมันยังไงดี หากแชวอนมาได้ยินเข้าเธอคงไม่กล้าสู้หน้าดาราสาวอีกต่อไปเป็นแน่ โครกครากกก!
“เสียงมันยังดังดีเหมือนเดิมนะครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้านหลังร่างเล็ก เธอจึงหันกลับไปหาต้นเสียงนั้น
“คุณปาร์ค!” อัญชันอุทานด้วยไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่
“ผมซื้อขนมมาฝากครับ คงพอทำให้มันหายร้องไปได้พักหนึ่ง” เขายื่นถุงขนมปังให้เธอและทำท่าชี้ไปที่ท้องของร่างเล็ก เธอทำหน้าอายก่อนจะรับถุงขนมมาและรีบเปิดกินทันที ร่างเล็กเดินไปนั่งที่ทางขึ้นของรถตู้และนั่งกินขนมปังที่จินโฮตั้งใจหอบมาให้อย่างเอร็ดอร่อย ร่างสูงยืนมองอย่างเอ็นดูเขามีความสุขทุกครั้งที่เห็นร่างเล็กในอิริยาบทแบบนี้ ร่างเล็กที่ก้มหน้าก้มตากินอยู่เหมือนจะรู้สึกถึงสายตาของจินโฮได้ เธอจึงหยุดและเงยหน้าขึ้น
“คุณปาร์ค ทานด้วยกันไหมค่ะ?” เธอส่งขนมครัวซองที่ตนกินค้างอยู่ยื่นให้เขา ด้วยคิดว่าคงเป็นการเสียมารยาทหากจะกินโดยไม่แบ่งใคร จินโฮมองอย่างงงๆ ก่อนจะขำเล็กน้อย
“คุณทานเถอะครับ ผมตั้งใจเอามาให้คุณ” เขาบอกเสียงอ่อนโยน ร่างเล็กทำหน้าครุ่นคิดสักครู่จึงกินต่อ
“อ้าวคุณปาร์ค มาทำอะไรหรือค่ะ?” แชวอนที่เพิ่งเดินมาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจินโฮ ร่างเล็กที่ได้ยินเสียงดาราสาวถึงกับสำลักและรีบลนลานเก็บขนมปังใส่ถึงทันทีพร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้นยืน
“สะ....เสร็จแล้วหรือค่ะ?” อัญชันเอ่ยถามแชวอน เธอพยักหน้ายิ้มตอบ
“พอดีผมผ่านมาแถวนี้นะ เลยแวะมาดู เป็นยังไงบ้างครับ ผู้ช่วยคนใหม่?” จินโฮถามขึ้นอย่างอารมณ์ดีพลางหันไปมองร่างเล็ก แชวอนจึงหันไปมองตามและขำเล็กน้อย
“เธอน่ารักมากค่ะ แถมยังขยันมากๆด้วย ช่วยงานคนทั้งกองเลย” แชวอนพูดไปขำไป จินโฮไม่ค่อยเข้าใจนักจึงหันไปหาอัญชัน แต่ร่างเล็กก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดได้แต่ทำหน้าเอ๋อ
“ตอนบ่ายต้องไปรับบรีฟใช่ไหมครับ ดีเลยผมก็ว่าจะไปด้วย งั้นเราไปทานอาหารกันก่อนดีไหม แล้วค่อยไปพร้อมกัน…..เดี้ยวเอารถกลับบริษัทเลยนะ ฉันจะไปส่งพวกเธอเอง” จินโฮเสนอกับสองสาวและหันไปสั่งคนขับรถ ทั้งสามจึงเดินไปที่รถของเขา เขาหมายจะเดินไปเปิดประตูข้างคนขับให้อัญชัน แต่ก็ช้ากว่าคนร่างเล็กที่เดินไปเปิดประตูข้างหลังให้ดาราสาวเสียก่อน จินโฮได้แต่ทำหน้าเหวอก่อนจะขำกับตัวเอง เมื่อแชวอนขึ้นไปนั่งบนรถแล้วร่างเล็กก็ตามขึ้นไปอย่างสงบเสงี่ยม จินโฮจึงต้องนั่งหน้าคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้
“คุณอึนชันมีเรียนตอนกี่โมงครับ?” จินโฮเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศในรถเงียบ
“เอ๋?....เอ่อ...หนึ่งทุ่มค่ะ” อัญชันที่มัวแต่ลอบมองใบหน้าขาวของดาราสาว รีบตอบกลับแทบไม่ทัน
“เอ๋? คุณอัญชันยังเรียนอยู่หรอค่ะ?” แชวอนแปลกใจที่ทราบว่าอัญชันยังเรียนอยู่ เพราะตามที่คุณจางผู้จัดการบอกนั้นเธอมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งน่าจะเรียนจบไปนานแล้วหากไม่ได้ดร็อปการเรียนไว้แบบเธอ
“อ้อ เรียนปริญญาโทนะครับ คุณอึนชันนะเรียนจบปริญญาตรีจากเมืองไทยมาแล้ว แล้วถึงสอบชิงทุนมาเรียนที่นี่” จินโฮจัดการตอบให้เสร็จสรรพ อัญชันจึงได้แต่พยักหน้าตาม
“เก่งจังเลยค่ะ น่าอิจฉาจัง ฉันก็อยากจะเรียนต่อโทอยู่เหมือนกัน แต่แค่ปริญญาตรีก็ยังไม่ไหวเลยค่ะ” แชวอนชื่นชมอัญชันและพูดอย่างอ่อนใจกับตัวเอง
“ไม่หรอกค่ะฉันว่า ถ้าคุณแชวอนมีเวลาว่างจากงานบันเทิง คุณแชวอนก็จะกลับไปเรียนและจบได้ในเร็ววันแน่ๆค่ะ ฉันเชื่อว่าคุณแชวอนทำได้ค่ะ” อัญชันกล่าวอย่างจริงจังจนจินโฮและแชวอนยังแปลกใจ ก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอหลุดอาการคลั่งไคล้ออกไป ร่างเล็กจึงก้มหน้างุด
“ขอบคุณค่ะ” แชวอนกล่าวเสียงหวานด้วยดีใจที่มีคนเชื่อมั่นในตัวเธอ อัญชันมองดวงหน้าพิมพ์ใจที่ส่งยิ้มมา จึงโค้งรับคำขอบคุณอย่างอายๆ สองสาวต่างอมยิ้มอย่างมีความสุข ให้คนขับรถข้างหน้าเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่เขายังไม่กล้าพอที่จะคิดถึงมันอย่างจริงจัง จึงต้องปล่อยให้มันลอยผ่านสมองไป
เมื่อทั้งสามมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง จินโฮเลือกที่นั่งที่ไม่สะดุดตาคนมากนักเพื่อความเป็นส่วนตัว เขาแก้เกมส์ด้วยการขยับเก้าอี้ให้แชวอนนั่งก่อนด้วยรู้ว่าหากเขาไม่ทำสาวร่างเล็กต้องชิงลงมือก่อนเขาอีกเป็นแน่ จากนั้นเขาจึงขยับเก้าอี้ให้เธอนั่งบ้าง เมื่อบริกรนำเมนูมาให้ทั้งสาม แชวอนและจินโฮต่างมองดูเมนูอย่างตั้งใจ มีเพียงร่างเล็กที่ทำท่าลับๆล่อๆทำเป็นอ่านเมนูแต่สายตามองไปยังร่างบาง จินโฮที่เงยหน้าขึ้นมาพอดีเห็นอาการดังกล่าวจึงถามขึ้น
“เลือกได้แล้วหรอครับ?” เขาถาม
“อ่ะ!...ค่ะ...เอ่อ....เอาอันนี้” ร่างเล็กประหม่าตกใจจึงตอบไปไม่ทันคิดพร้อมกับชี้นิ้วมั่วไปที่เมนู
“ช็อกโกแลต ฟาวน์เทน ฟองดู!” จินโฮถึงกับอึ้งที่อัญชันเลือกเมนูนี้ อัญชันเองเมื่อก้มลงมองไปยังปลายนิ้วของตนก็รีบชักมือออก เพราะมัวแต่มองแชวอนแท้ๆ เธอจึงเปิดหน้าเมนูมั่วไปหมดดันมาเปิดหน้าของหวานแถมยังเลือกเมนูอลังการขนาดนี้ อัญชันถึงกับทำหน้าเสียไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
“ว้าว น่าทานจังเลยค่ะ ขอฉันทานด้วยได้ไหมค่ะ” แชวอนเอ่ยขึ้นเสียงใส เธอหลงใหลในรสชาติของช็อกโกแลตเป็นทุนเดิม เมื่อมาเห็นเมนูของชอบแบบนี้จึงอดใจไม่ได้
“เอ่อ...คือ...ค่ะ” อัญชันตอบรับอย่างงงๆ ผลกลายเป็นว่าเธอเลือกเมนูถูกใจดาราสาวไปสะอย่างงั้น เมื่อผลออกมาว่าสองสาวจะทานของหวานแทนอาหาร สุภาพบุรุษจึงต้องทำตัวเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จินโฮจึงสั่งช็อกโกแลต ฟาวน์เทน ฟองดู ซึ่งมีขนาดใหญ่มากเกือบจะเต็มโต๊ะอาหารและสูงเลยศีรษะไปครึ่งเมตร ทั้งสามตื่นตากับลาวาช็อกโกแลตที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงหยิบผลไม้และของข้างเคียงจุ่มลาวาช็อกโกแลตอย่างสนุกสนาน แชวอนหยิบสตอร์เบอรี่ลูกโตจุ่มลงไปและหยิบขึ้นมากัดอย่างเอร็ดอร่อย
“อืม...อร่อยที่สุด” เธอทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ร่างเล็กที่กำลังจะจุ่มมาสเมลโลเผลอมองจนตาค้างทำให้มือของเธอโดนเข้ากับช็อกโกแลตลาวา
“โอ้ย!” ร่างเล็กร้องอุทานขึ้นเมื่อผิวสัมผัสกับความร้อน จินโฮรีบลุกจากเก้าอี้มาดูมือของอัญชันทันที
“เป็นยังไงบ้างครับ!?” จินโฮถามอย่างเป็นห่วง
“แฮะๆ ไม่เป็นไรค่ะ”ร่างเล็กตอบก่อนจะรีบเช็ดมือที่เปื้อน แต่มันกลับไม่สะอาดทันใจ จินโฮจึงจับมือน้อยไว้และเป็นฝ่ายเช็ดให้เสียเอง เขาบรรจงเช็ดอย่างอ่อนโยนด้วยกลัวผิวของเธอจะละคาย
“เจ็บหรือเปล่าครับ? แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ” ร่างเล็กตอบอย่างเกรงใจ เธอค่อยๆหดแขนของตัวเองคืน ก่อนจะหันไปมองร่างบางที่กำลังมองเธออย่างเป็นห่วง
“มือไม่เป็นอะไรนะค่ะ?” แชวอนถามอย่างเป็นห่วง
“ค่ะ ไม่เป็นอะไรค่ะ” อัญชันตอบพร้อมพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิดเพราะความซุ่มซ่ามของตนแท้ๆทำให้ทั้งสองต้องเป็นห่วง
“นี่ครับมาสเมลโล” จินโฮยื่นมาสเมลโลที่จุ่มช็อกโกแลตแล้วให้อัญชัน
“สตอร์เบอรี่ไหมค่ะ?” แชวอนเองก็ยื่นสตอร์เบอรี่จุ่มช็อกโกแลตให้เช่นกัน อัญชันมองทั้งสองอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มตอบหน้าบาน
“ขอบคุณค่ะ” อัญชันรับของทั้งคู่มาและทานอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งสองต่างมองร่างเล็กที่กำลังทานอยู่อย่างเอ็นดู
เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปฟังรายละเอียดการจัดงานที่บริษัทเวชสำอางผู้ว่าจ้างแชวอน ทั้งสามก็ตรงไปที่นั่นทันที ณ บริษัทดังกล่าวคุณจางผู้จัดการแต๋วแตกของแชวอนก็ไปรออยู่ก่อนแล้ว
“ตายแล้ว! ไปไหนกันมาค่ะเนี่ย เดี๊ยนหัวใจจะวาย กลัวจะมาไม่ทัน” คุณจางจีบปากจีบคอทักทันทีที่เห็นทั้งสาม
“ขอโทษทีครับ เป็นผมเองที่พาสาวๆเขาเถลไถล เลยมาช้าไปหน่อย” จินโฮตอบแก้ต่างให้
“เอาเถอะค่ะ มาๆนั่งเร็วเขาจะเริ่มประชุมกันแล้ว” คุณจางบอกทั้งสาม ก่อนที่ผู้บริหารเจ้าของบริษัทเวชสำอางจะเข้ามา ทีมออร์แกไนท์ผู้รับจัดงานจึงเริ่มนำเสนอรายละเอียด อัญชันที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่งฟังตาปลิบๆเพราะไม่เข้าใจภาษาเกาหลี แต่ด้วยความที่ตนเคยเรียนการตลาดมาจึงสามารถเข้าใจรายละเอียดงานได้จากพรีเซ้นเตชั่นที่ฉายบนสไลน์และเอกสารประกอบที่แจกให้ แต่อยู่ๆบรรยากาศก็เข้าสู่ภาวะเครียดเมื่อผู้บริหารคนหนึ่งโวยวายขึ้น อัญชันถึงกับทำหน้าหลาและสงสัยจริงๆว่าเกิดอะไร จึงทำใจกล้ากระซิบถามจินโฮออกไป
“เกิดอะไรขึ้นหรอค่ะ?” อัญชันกระซิบกระซาบ
“ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจนะ ที่จะให้แจกสินค้าในงาน เพราะเขาไม่อยากเสียงบประมาณตรงนั้น” จินโฮอธิบาย
“เอ๊ะแต่เขาน่าจะรู้รายละเอียดมาก่อนแล้วนี่ค่ะ ทำไมถึงมาท้วงตอนนี้? แล้วเขาให้โปรเจ็คนี้ผ่านมาได้ยังไง?” อัญชันถามขึ้นอย่างสงสัย จินโฮได้แต่หยักไหล่ด้วยความจนปัญญา อัญชันมองภาพทีมพรีเซ้นต์พยายามอธิบายผู้บริหารเฒ่าคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนเขายังไม่พอใจอยู่ดี เธอจึงพลิกอ่านเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจแย้งขึ้น
“ขอโทษนะค่ะ ฉันรู้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่ฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ตัดงบสินค้าที่จะแจกในงาน เพราะมันคือสิ่งจำเป็นและเป็นหัวใจหลักของการจัดงานครั้งนี้ไม่ใช่หรือค่ะ เพราะคุณต้องการแนะนำสินค้าใหม่ตัวนี้ ถ้าคุณไม่ให้สินค้ากับเขาแล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่ามันดี เพราะเปอร์เซ็นที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนมาใช้หรือทดลองสินค้าใหม่นั้นน้อยมาก การแจกสินค้าถือเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้นที่จะซื้อสินค้าเรานะค่ะ ถ้าคุณจะตัดงบส่วนนี้ออก ฉันว่า คุณก็ไม่ควรจะจัดงานนี้เลยดีกว่า เพราะผลตอบรับที่ได้มันไม่คุ้มกับงบประมาณที่คุณประหยัดไว้แน่นอน” อัญชันโพล่งออกมาเป็นชุดอย่างลืมตัว ทุกคนในห้องต่างจ้องมองเธออย่างอึ้งกิมกี่ ก่อนที่เจ้าตัวจะรู้ว่าทำสิ่งไม่เหมาะสมลงไปสะแล้ว จินโฮเห็นท่าไม่ดีจะลุกขึ้นพูดแก้ต่างให้ แต่ถูกผู้บริหารที่อัญชันพูดใส่หน้ายกมือขึ้นห้ามไว้
“แล้วถ้าฉันให้งบตรงนี้ไป แต่ผลที่ได้มันไม่ต่างกันละ มันจะไม่เป็นการเปล่าประโยชน์หรอ” ผู้บริหารเฒ่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็น
“ไม่มีทางค่ะ ผลที่ได้มันย่อมต่างกันอย่างแน่นอน การที่เราให้สินค้าเขาไป ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เขาไปใช้เท่านั้น แต่เพื่อให้เขาสัมผัสและคุ้นเคยกับมัน การได้เห็นรูปทรงสินค้าและโลโก้ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับมัน นั่นจะทำให้พวกเขาซึมซับแบรนด์ของเราค่ะ และไม่ใช่เพียงแค่พวกที่เราแจกเท่านั้น แต่หมายถึงเพื่อนๆ ครอบครัว ญาติพี่น้องหรือคนรักของคนเหล่านั้น พวกเขาก็อาจจะได้สัมผัสสินค้าของเราด้วย และยิ่งดีไปกว่านั้นหากพวกเขาใช้สินค้าเราแล้วพอใจ นำไปบอกต่อคนอื่นๆ นั่นจะไม่ยิ่งเป็นการประหยัดกว่าการต้องไปเสียเงินซื้อสื่อโฆษณาหรือค่ะ” อัญชันอธิบายอย่างมาดมั่น ทุกคนในห้องประชุมต่างทึ่งในตัวเธอ ผู้บริหารเฒ่าทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจให้โปรเจ็คนี้ผ่าน ทีมออร์แกไนท์เซอร์ต่างยิ้มอย่างยินดีรวมถึงทุกๆคนในห้องนั้นด้วย เพราะไม่อยากจะปรับเปลี่ยนรายละเอียดใดๆอีกแล้ว
จากนั้นทีมออร์แกไนท์จึงพรีเซ้นต่อไป อัญชันเองก็ฟังอย่างตั้งใจแม้จะไม่เข้าใจภาษาเกาหลีก็ตาม โดยมีสายตาของจินโฮมองเธออย่างชื่นชมอยู่ข้างๆ ผู้หญิงร่างเล็กที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เธอไม่ใช่แค่น่ารักแต่ยังมีความสามารถที่เขาคาดไม่ถึง นั่นยิ่งทำให้เขาอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่านี้ ในขณะเดียวกันดาราสาวมุนแชวอนที่กำลังฟังรายละเอียดงานอย่างตั้งใจอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองร่างเล็กเป็นพักๆ ตั้งแต่ครั้งแรกแล้วที่ผู้หญิงร่างเล็กคนนี้ทำให้เธอแปลกใจเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอหวังว่าคงจะได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้น และเฝ้ารอกับสิ่งใหม่ๆที่อีกคนจะทำให้เธอแปลกใจ
ตกเย็นหลังเลิกประชุมทุกคนเดินออกมาอย่างโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น ทีมออร์แกไนท์เข้ามาขอบอกขอบใจอัญชันกันยกใหญ่ให้เธอโค้งตอบไปหลายครั้งจนเกือบปวดหลังเลยทีเดียว
“คุณทำให้ผมแปลกใจได้เสมอเลยนะครับ” จินโฮเอ่ยขึ้นเมื่อทีมออร์แกไนท์ผละไป อัญชันจึงหันไปมองเขาอย่างงงๆ พร้อมๆกับแชวอนที่หันไปมองเขาเช่นกัน นั่นเพราะเธอตั้งใจจะกล่าวประโยคนั้นกับอัญชัน แต่กลับโดนคนตัวสูงตัดหน้าไปสะก่อน
“แล้วนี่จะไปไหนกันต่อไหมค่ะ วันนี้แชวอนไม่มีคิวแล้วนี่” คุณจางกล่าวขึ้นขณะเดินออกมายังหน้าบริษัท
“นั่นสิไปทานอาหารค่ำกันดีไหมละครับ” จินโฮเสนอขึ้นให้อัญชันหูพึ่งที่จะได้ไปทานอาหารกับแชวอนอีก
“อ้อไม่ละค่ะ พอดีฉันมีนัดแล้ว” แชวอนกล่าวให้อัญชันใจแป้ว ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ดาราสาวจะดังขึ้น
“สวัสดี ฉันอยู่ข้างหน้าบริษัทจ๊ะ....อยู่...รีบมาสิ” เธอตอบปลายสายก่อนจะวางสายไป ไม่กี่อึดใจร่างโปร่งก็ปรากฏตัวขึ้น
“พี่จินโฮ!” ร่างโปร่งส่งเสียงทักมาแต่ไกล ให้ทุกคนหันไปมองเป็นทางเดียว
“ฮโยจู!!” จินโฮเอ่ยเสียงหลง
ป้ายกำกับ:
The Fan Club
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Thunder and the wind: The After war 1
Thunder and The Wind : The After War
ตอนที่1 ชนวนศึกแห่งรัก
ณ เสน่ห์จันทรา หลังเหตุการณ์สงบลง ทุกคนต่างกลับมาดื่มฉลองกันอย่างคึกคัก ภายในเรือน ฟ้าคำราม จาน ชิล อินอุก ยุนบก จองฮยางและฮงโด ต่างนั่งทานอาหารกันอย่างรื่นรมย์
“วันนี้ก็เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว คืนนี้เชิญพวกท่านพักที่บ้านข้าให้สบายเถอะนะ” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นกับอินอุก จองฮยางและฮงโด
“ยุนบกเจ้าก็นอนกับอาจารย์ของเจ้าก็แล้วกัน ส่วน...” ฟ้าคำรามจะจัดแจงที่นอนให้แต่ละคน หากแต่ไม่ทันพูดจบ สตรีสองนางก็สวนขึ้นพร้อมกัน
“ไม่ได้!” จานและจองฮยางเอ่ยขึ้นพร้อมกัน บุรุษทั้งหมดในวงจึงหันมามองพวกนางอย่างแปลกใจ พวกนางเองก็แปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายเอ่ยเหมือนตนจึงมองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนที่จานจะพูดอธิบายขึ้น
“จะให้ท่านทันวอนไปนอนอุดอู้กับน้องยุนบกได้อย่างไร ท่านเป็นถึงช่างเขียนหลวง” จานให้เหตุผล
“ไม่เป็นไรแม่นาง ข้ากับเจ้านี่นอนด้วยกันประจำ” ฮงโดกล่าวอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับกอดรัดคอลูกศิษย์เป็นการหยอกล้อ บุรุษในวงต่างมองภาพนั้นอย่างเอ็นดูผิดกับสตรีสองนางที่ตกใจกับการสนิทสนมนั้น
“ไม่ได้หรอกค่ะ ท่านมาเหนื่อยๆ พักห้องใหญ่ๆดีกว่า ชิลห้องของท่านยกให้ท่านทันวอนไปนะ” จานกล่าว
ชิลที่ได้ยินถึงกับสะอึกที่อยู่ดีๆ โชคก็หล่นใส่ตัก เขาได้แต่พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ในใจก็คิดว่า “แล้วคืนนี้ข้าจะนอนที่ไหนวะ”
ฮงโดจึงต้องรับน้ำใจเจ้าบ้านอย่างมีมารยาท
“งั้นก็เอาตามที่จานบอกละกัน ส่วนแม่นางจองฮยางก็ไปนอนกับเจ้าละกันยุนบก” ฟ้าคำรามพูดขึ้น อินอุกที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ก็สำลักทันที และรีบกล่าวแย้งขึ้นพร้อมๆกับฮงโด
“ไม่ได้ๆ!” ฮงโดและอินอุกกล่าวอย่างลนลาน ทุกคนจึงหันไปมองที่พวกเขา ก่อนที่ฟ้าคำรามจะหลุดหัวเราะก๊ากออกมา
“ข้าล้อเล่นหรอกน่า ใครจะให้นางนอนกับเจ้าบ้านี่กัน ฮ่าๆๆๆ เจ้าไปนอนกับแม่ข้าแล้วกันนะแม่นาง” ฟ้าคำรามเฉลยให้บุรุษทั้งสองโล่งใจ หากแต่ก็มีคนที่แอบเสียดายที่มันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น
“แล้วข้าล่ะ” อินอุกเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ว่าตนยังไม่มีที่นอน ฟ้าคำรามจึงหันมามองเขาและทำหน้าครุ่นคิด
“ไปนอนกับชิลไง” ฟ้าคำรามพูดพลางหันไปมองชิล อินอุกจึงหันตาม
“ข้ายังไม่มีที่นอนเลย ยังจะมานอนกับข้าอีก” ชิลกล่าวอย่างอ่อนใจ แล้วทุกคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน มีเพียงจองฮยางที่ยังทำหน้าไม่สู้ดีนัก นางได้แต่ลอบมองใบหน้าของยุนบกที่ตั้งแต่ฮงโดโผล่มาเขาก็ไม่แม้จะเหลียวมามองนาง นางมองดูภาพที่เขาและฮงโดพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ท้อใจ จนต้องขอตัวแยกจากวงออกมาก่อน โดยที่ยุนบกไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ จะมีก็แต่จานและอินอุกที่สังเกตอาการของนางได้ แต่พวกเขาก็ได้แต่มองตามนางอย่างเป็นห่วง
ตกดึกคืนนั้น พระจันทร์ที่นวลผ่องสาดแสงให้ยุนบกเดินออกมาดูมันอย่างอารมณ์ดีที่ระเบียงข้างบ้าน พอดีกับที่ฮงโดออกมาเดินเล่นเพราะเขารู้สึกแปลกที่
“เจ้ายังไม่หลับหรือนี่” ฮงโดทักขึ้น ยุนบกจึงหันไปมองตามเสียงเรียก
“อ้าวอาจารย์ ท่านเองก็ยังไม่นอนอีกหรือครับ” ยุนบกกล่าวพลางเดินเข้าไปหาฮงโด
“ฮ่าๆๆ สงสัยข้าคงจะตื่นเต้นมากไปหน่อยน่ะ” เขากล่างอย่างอายๆเล็กน้อย ก่อนจะสบตายุนบก
“ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว ได้มาเห็นเจ้าอยู่ตรงหน้าแบบนี้ มันทำให้ข้าไม่กล้านอนเลย เพราะกลัวว่าตื่นมาแล้วเจ้าจะหายไปอีก” ฮงโดกล่าวอย่างอ่อนโยนพลางจับใบหน้ายุนบกอย่างรักใคร่ ยุนบกเองก็หลับตารับสัมผัสนั้นอย่างพอใจพร้อมยิ้มน้อยๆ
“ข้าคิดถึงมือของท่านเหลือเกินอาจารย์” เขากุมมือใหญ่ของฮงโดให้สัมผัสใบหน้าตนมากยิ่งขึ้น
“ข้าเองก็คิดว่าจะไม่ได้พบท่านอีกแล้ว คิดว่าจะ....ไม่ได้สัมผัสมือนี้อีกแล้ว” ยุนกบกพูดพลางสบตาฮงโดอย่างคิดถึง ทั้งคู่จึงโผเข้ากอดกันอย่างถวิลหา พอดีกับที่จองฮยางออกมาเดินเล่น นางแทบหยุดหายใจกับภาพตรงหน้า หัวใจเหมือนแตกเป็นเสี่ยงๆจนต้องเอามือลูบเพื่อบรรเทา หากแต่ความเจ็บปวดไม่จากหาย ก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบแก้ม นางทนมองภาพนั้นไม่ได้อีกต่อไปจึงต้องเดินหนีไปยังระเบียงหน้าบ้าน และปล่อยโฮเมื่อปลอดคน
“หือ? ...” ยุนบกผละออกจากอ้อมกอดของฮงโดเมื่อรู้สึกว่ามีใครเดินผ่านมา
“มีอะไรรึ?” ฮงโดจึงถามขึ้นอย่างสงสัย
“อ้อ...เปล่าครับ ข้าแค่คิดว่ามีใครอยู่ตรงนั้น แต่พอมองก็ไม่ยักมี” เขาตอบพลางจ้องมองไปยังตำแหน่งที่จองฮยางเคยยืนอยู่
“แล้วเจ้าคิดว่าเป็นใครล่ะ?” ฮงโดถามขึ้น ยุนบกจึงหันไปมองเขา
“จะใครละครับ ข้าไม่ได้คิดว่าเป็นใครสักหน่อย แค่สงสัยว่ามีใครรึเปล่า” ยุนบกรีบพูดแก้ตัว
“ฮึ...คิดว่าข้าไม่รู้หรอ ข้าเป็นอาจารย์เจ้านะ แค่เจ้าอ้าปากข้าก็รู้แล้ว” ฮงโดพูดดัก
“อ่ะ? ...อะไรกันเนี่ยครับอาจารย์ ท่านพูดเรื่องอะไรเนี่ย” ยุนบกยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง ฮงโดจึงลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู
“ฮึ เจ้านี่...หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นนางนะ บางทีข้าก็อยากให้เจ้ารักตัวเองบ้าง ข้าจะได้ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงเจ้าถึงขนาดนี้” ฮงโดเฉลยขึ้นให้ยุนบกอายหน้าแดง
“อาจารย์...ก็ข้า....”ยุนบกไม่รู้จะตอบโต้ยังไง ได้แต่ก้มหน้าอายผู้เป็นอาจารย์
ฝั่งระเบียงหน้าบ้านที่จองฮยางใช้เป็นที่ระบายความช้ำใจ นางยังคงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น ก่อนที่อินอุกที่กำลังเดินหาห้องนอนอยู่จะมาพบเข้า เขารีบเข้าไปหานางทันที
“แม่นางจองฮยางเจ้าเป็นอะไรหรือ เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้” อินอุกถามอย่างเป็นห่วง จองฮยางจึงเงยหน้าขึ้น หน้าของนางนองไปด้วยน้ำตา
“แม่นางจองฮยางเจ้าเป็นอะไร ใครทำอะไรเจ้าหรือ หรือว่า....” อินอุกยังไม่ทันกล่าวจบก็ตกใจที่จองฮยางโผเข้ากอดเขา แม้เขาจะไม่ทันตั้งตัวแต่ก็กอดตอบเพื่อปลอบโยนนาง พอดีกับที่ยุนบกซึ่งแยกกับฮงโดแล้ว เดินมาเห็นเข้า เขาอึ้งกับภาพนั้น แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอันใดออกไปได้แต่แอบมองภาพนั้นอย่างช้ำใจก่อนจะเดินกลับห้องของงตัวเองไป
จองฮยางยังสะอื้นไห้ในอ้อมกอดอินอุก นางรู้สึกทนไม่ไหวกับความเจ็บช้ำนี้อีกแล้ว จนต้องขอพึ่งอ้อมกอดของคนตรงหน้าเพื่อบรรเทาความช้ำใจนี้อย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่วิสัยของนางแต่ใครเล่าจะเข้าใจ ต่อให้มีหัวใจแข็งดั่งหิน แต่มาเจอภาพช้ำใจแบบนั้นซ้ำๆ เป็นใครก็ทนไม่ได้ เมื่อนางร้องจนพอใจก็รู้สึกตัวว่าตนนั้นกระทำการอันไม่เหมาะสม และรีบผละออกจากอ้อมกอดของอินอุกทันที
“ข้า...ข้าขอโทษค่ะคุณชายฮง ข้าขอตัวก่อน” นางรีบตัดบทเดินจากไปทันที อินอุกได้แต่มองตามอย่างอาลัย คืนนี้เขาคงไม่ต้องการที่นอนแล้ว เพราะเขาคงจะนอนไม่หลับเป็นแน่
เช้าวันรุ่งขึ้นจานลุกขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำหน้าที่แม่บ้าน หลังเตรียมอ่างน้ำล้างหน้าให้สามีเสร็จเธอก็เดินตรงเข้าครัว แล้วก็พบเข้ากับจองฮยางที่กำลังง่วนจุดเตาอยู่
“ตายแล้ว! แม่นางจองฮยาง ทำไมเจ้ามาอยู่นี่ได้ล่ะ แล้วนั่นทำอะไรเนี่ย มาๆ ให้ข้าทำเอง เจ้าเป็นแขกของเรานะ” จานเอ่ยอย่างตกใจเมื่อพบว่ามีผู้มาแย่งตำแหน่งแม่ครัวตัดหน้าไปซะก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้ข้าทำเถอะ พวกท่านช่วยข้ามามาก ขอให้ข้าได้ตอบแทนบ้าง” จองฮยางหันมาพูดกับจาน ทำให้จานเห็นสีหน้าที่ซีดขาวและดวงตาที่ช้ำเหมือนดั่งร้องไห้มาทั้งคืนนั้น
“นี่...เจ้า...ได้นอนบ้างหรือเปล่า” จานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง จองฮยางจึงหลบหน้าหนี
“ข้า....คงเพราะแปลกที่เลยนอนไม่ค่อยหลับนะค่ะ” จองฮยางรีบอธิบาย
“ถ้าเช่นนั้น ทำไมตาของเจ้าถึงช้ำขนาดนี้” จานจี้ถามและพยายามเดินเข้าไปหาคนที่ก้มหน้างุดๆ
“คือข้า...ข้า...” จองฮยางจนปัญญาจะกลบเกลื่อนได้แต่พูดติดอ่าง จานจึงถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับคนตรงหน้า
“ข้าว่าเจ้าไปพักผ่อนดีกว่า เดี๋ยวอาหารข้าจัดการเอง” จานรีบตัดบท และเดินเข้าไปที่เตา
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้า...ข้าอยากจะทำค่ะ” จองฮยางยืนยัน พลางส่งสายตาอ้อนวอน จานจึงจำใจให้นางเป็นลูกมืออย่างเสียไม่ได้ พวกนางจึงช่วยกันจัดเตรียมอาหารให้แก่ทุกคน ซึ่งมีจำนวนมากเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่เคยเตรียมอาหารให้แก่คนเยอะๆแบบนี้มาก่อน พวกนางต้องเตรียมสำหรับสมาชิกในครอบครัวฟ้าคำราม รวมทั้งแขกที่มาพัก และยังเหล่าลูกสมุนต่างๆอีก เวลาผ่านไปจนใกล้ที่อาหารจะเสร็จจองฮยางก็เริ่มรู้สึกล้า หากแต่นางหาได้ปริปากไม่ นางยังคงเคี่ยวแกงในหม้อต่อไป ส่วนจานเองก็ยุ่งเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นอาการนาง ได้
เมื่ออาหารถูกจัดเตรียมเสร็จ พวกนางก็ยกไปยังห้องใหญ่กลางบ้านที่ที่ทุกคนจะมาทานอาหารร่วมกัน ในตอนนี้จองฮยางก็ล้าเต็มที นางเดินถือถาดอาหารเข้ามาภายในห้อง พอดีกับที่ทุกๆคนนั้นเดินเข้ามา แต่ก่อนที่นางจะวางถาดลงนางก็หมดสติไปเสียก่อน ถาดอาหารจึงล่วงลงพื้นพร้อมๆกับร่างบางของนาง ทุกคนต่างตกใจกับภาพที่เห็น ยุนบกที่เห็นดังนั้นก็หมายจะวิ่งไปช้อนร่างนางหากแต่ก็ช้ากว่าอินอุก เขาเข้าไปประคองร่างนางไว้ได้ก่อนไม่ให้ล้มกระแทกพื้น
“แม่นางจองฮยาง!” เขาอุทานออกมาเสียงดังพร้อมเขย่าร่างบาง
“พานางไปที่ห้องนอน” จานออกคำสั่ง อินอุกจึงอุ้มนางไปตามที่บอก ทุกคนต่างวิ่งตามร่างบางนั้นไป ยุนบกได้แต่มองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจ ที่ไม่สามารถช่วยนางไว้ได้ เขาก้มหน้ามองพื้นอย่างระอายไม่กล้าแม้แต่จะตามไปดูอาการนาง ก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อถูกมือหนาตีเข้าที่ศีรษะ
“ไม่คิดจะตามไปดูนางหรอ” ฮงโดเอ่ยขึ้น ยุนบกได้แต่ทำหน้าลำบากใจ
“ต่อให้ข้าไปก็ช่วยอะไรนางไม่ได้หรอกครับ” เขาจึงหันไปเก็บเศษอาหารและจานชามที่นางทำหล่น ฮงโดมองภาพยุนบกก้มงุดๆเก็บเศษชามก็รู้สึกโมโห เข้าจึงไปกระชากคอเสื้อลูกศิษย์ขึ้น
“งั้นก็ไปเป็นเพื่อนข้า” ฮงโดกล่าวและลากร่างยุนบกมา
ทุกคนต่างรออยู่หน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ จนเมื่อประตูถูกเปิดออกทุกคนก็กรูเข้าไปหาบุรุษที่เดินออกมา
“นางเป็นไงบ้าง” ฟ้าคำรามเอ่ยถามขึ้น
“เออเจ๊จานว่า นางไม่ได้พักผ่อนนะครับ นางให้ข้าไปเอาผ้ากับน้ำอุ่นมา ข้าขอตัวก่อนนะครับ” อินอุกตอบก่อนจะเดินไปหาสิ่งที่จานต้องการ เขาเดินผ่านร่างยุนบกที่ยืนกอดอกก้มหน้าอยู่ แม้เขาจะรู้สึกสงสัยท่าทีที่เปลี่ยนไปของยุนบกแต่ก็ยังไม่มีโอกาสถามจึงได้แต่เก็บเอาไว้ เมื่อเขาเดินพ้นไปยุนบกจึงเงยหน้าขึ้นมองตามร่างนั้นอย่างเจ็บปวด ภาพที่เขาเห็นเมื่อคืนยังตามหลอกหลอนเขาไม่หาย ทั้งที่ตนเคยคิดว่าอินอุกเหมาะสมและคิดจะยกจองฮยางให้ แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆทำไมมันช่างทำใจได้ยากถึงเพียงนี้ เขารู้สึกสับสนกับความรู้สึกนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะแสดงอาการอย่างไรต่ออินอุกดี จะโมโหหรือยินดีที่จองฮยางเลือกเขา
หญิงสาวนางหนึ่งเดินออกจากห้องมารับอากาศยามดึก เพื่อบรรเทาความว้าวุ่นใจ เมื่อนางเดินมายังระเบียงข้างบ้านก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคนที่นางรักกำลังกอดรัดกับชายอื่น นางพยายามจะเดินหนีหากแต่ก็ไม่สามารถก้าวขาได้ ภาพทรมานใจจึงยังดำเนินต่อไป ร่างสูงของชายคนนั้นกำลังโน้มลงจุมพิตคนรักของนาง
“ไม่!........” จองฮยางร้องตะโกนขึ้น จานที่เฝ้าไข้นางอยู่ถึงกับผวา รีบเข้าไปเขย่าร่างนางให้รู้สึกตัว ก่อนที่เปลือกตาฉ่ำจะเปิดขึ้น
“แม่นางจองฮยางๆ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จานถามพลางเขย่าให้ร่างบางตื่นจากฝันร้าย
“ข้า....นี่ข้า...เป็นอะไรค่ะ?” จองฮยางตื่นจากนิทราอย่างสลึมสลือ นางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งที่เมื่อกี้ยืนมองภาพบาดตาอยู่แท้ๆ ใยจึงมานอนสลบอยู่นี่ได้
“เจ้าเป็นลมน่ะ ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องช่วย ดูซิทำเอาพวกข้าตกอกตกใจกันหมด” จานกล่าว จองฮยางจึงรวบร่วมสติลำดับเหตุการณ์ตามที่จานบอก
“ข้าต้องขอโทษ ท่านจริงๆค่ะ” จองฮยางกล่าวอย่างรู้สึกผิดและพยายามจะลุกขึ้นแต่จานก็กดร่างนางให้นอนลง
“ไม่เป็นไร เจ้าพักผ่อนเถอะ ไม่อย่างงั้นคงทำให้ใครบางคนไม่เป็นอันทำอะไรแน่ หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา” จานกล่าวอย่างอารมณ์ดี ทำให้จองฮยางคิดว่าคนที่จานพูดถึงคือยุนบก นางจึงเผลอยิ้มดีใจ
“ เออคือ...ข้าเอาน้ำโสมมาให้ครับ” อินอุกบอกผ่านประตู
“นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี” จานเฉลยให้จองฮยางดีใจเก้อ ก่อนที่จะลุกออกไปเอาน้ำโสมจากอินอุก
“นางเป็นอย่างไรบ้างครับ” อินอุกถามทันทีที่จานออกมา
“นางฟื้นแล้ว เดี๋ยวพักผ่อนสักหน่อยก็คงหายดี” จานเล่า อินอุกจึงยิ้มหน้าบานและส่งถาดให้นาง จานจึงรับและกลับเข้าไปในห้อง
“ดื่มน้ำโสมสักหน่อยนะ วันนี้เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลย” จานกล่าวขณะวางถาดข้างๆที่นอน
“ขอบคุณค่ะ แต่ข้าอยากพักผ่อนมากกว่า ต้องขอโทษจริงๆค่ะ” จองฮยางปฏิเสธอย่างนอบน้อม ด้วยเพราะตอนนี้นางไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น เมื่อคิดว่าทั้งที่นางป่วยถึงเพียงนี้ แต่คนใจดำกลับไม่มาเหลียวแล นี่คงจะพูดจาหยอกล้อกับอาจารย์ของตนอยู่เป็นแน่ จองฮยางรู้สึกน้อยใจจนแทบอยากร้องไห้แต่นางก็กลั้นน้ำตาไว้เพื่อไม่ให้จานสงสัย
“เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวข้าจะมาดูใหม่” จานกล่าวก่อนจะออกไป เมื่ออยู่เพียงลำพังร่างบางก็กลั้นน้ำตา ไว้ไม่อยู่จึงปล่อยโฮจนเปียกหมอน
“ทำไมค่ะช่างเขียน ทำไม ท่านทำกับข้าแบบนี้ได้อย่างไร” นางตัดพ้ออย่างน้อยใจ น้ำตาก็หลั่งไม่ขาดสาย จนมือไปคว้าเข้ากับที่เครื่องประดับรูปผีเสื้อ นางกำมันไว้แน่นจนมือแดง
“ข้า...จะไม่ยอมแพ้อีกเด็ดขาด...ข้าจะไม่มีวันตัดใจจากท่าน ช่างเขียน” นางกล่าวอย่างมาดมั่น
หลังทราบอาการว่าจองฮยางปลอดภัยดี ยุนบกก็กลับมายังห้องของตน เขาเอาแต่นั่งถอนหายใจทิ้ง ในสมองก็คิดวนเวียนถึงภาพเมื่อคืนที่เห็น ก่อนจะนอนลงและเอามือก่ายหน้าผาก
“ข้าจะทำอย่างไรดี?” เขากล่าวอย่างกลัดกลุ้ม แล้วหยิบปอยผมที่จองฮยางให้ไว้ออกมาจากเสื้อ เขามองดูมันอย่างเจ็บปวด
“ข้าขอโทษจองฮยาง...ข้าไม่สามารถปล่อยเจ้าไปได้อีกแล้ว ข้าจะไม่มีวัน...ยกเจ้าให้กับใคร” เขากล่าวอย่างมาดมั่น
ป้ายกำกับ:
Thunder and The Wind
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)